อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 30 กันยายน 2553
“ริวโซ่...ริวโซ่...”

เสียงร้องของโอชินเงียบหายไปกับสายฝน ฝนเม็ดเล็ก ๆ แต่มันดังราวกับลูกเห็บร่วงจากฟ้ากระทบสรรพสิ่งบนพื้นโลกดังสนั่นไปทั้งละแวก โอชินเปล่งเสียงแหลมลึกออกมาอีกครั้ง จะก้าวเท้าออกมาข้างหน้า ทันทีพลาดความชื้นแฉะของดินที่เปียกฝน ร่างทั้งร่างล้มคะมำไปข้างหน้า

โอชินได้กลิ่นเลือดสด ๆ ที่ตรงไหนสักแห่งหนึ่งโชยมาต้องจมูกก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะหลุดลอย แล้วฝนก็ยังคำรามต่อไป สลับกับเสียงร้องของฟ้าลั่น...มันดังน่าสะพรึงกลัวยิ่งนักสำหรับรัตติกาลอันน่าสยอง...

---@@@---

เท้าของริวโซ่ยังคงซอยถี่ขึ้นแล้วถี่ขึ้น เขามุ่งตรงไปที่เมืองมากกว่าจะรู้สึกตัวว่ากำลังวิ่งฝ่าฝนเปียกโชก ทั้ง ๆ ที่ร่มกันฝนก็ถือ อยู่ในมือ...เขาจะต้องอาศัยสูติแพทย์จากในเมืองมาให้ทันก่อนตะวันขึ้นฟ้า...เพราะลูกในท้องของอาจึโกะจะตายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นโอชินก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ขึ้น มาอีก

คำพูดของมารดาก้องอยู่ในหู...สองสาม ครั้ง เขาวิ่งในความมืดและคลำหาทางไม่ถูก... หลายครั้ง เขาถูกหนามเกี่ยวเอาบ้าง แต่พอจะทนความแสบได้ หน้าที่ของเขา ต้องช่วยให้ทุกอย่างปลอดภัย และเมื่อนั้นก็จะได้ถึงคราวของภรรยาตนบ้าง

ถ้าอาจึโกะคลอดปลอดภัยเสียอย่างเดียวแล้ว การคลอดของโอชินก็จะต้องสะดวกไปทุกสิ่งรวมทั้งน้ำใจจากมารดาในเมื่อเขารับอาสาเป็นผู้ช่วยเหลืออย่างที่เขากระทำในขณะเวลานั้น...จะนึกเฉลียวใจสักน้อยนิดก็หาไม่ว่า ในขณะนั้นได้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับโอชิน

---@@@---

และแล้วสูติแพทย์ก็สามารถใช้เครื่องมือสมัยใหม่ช่วยเหลือให้การคลอดของอาจึโกะดำเนินไปด้วยความปลอดภัย เสียงร้อง เล็ก ๆ ดังขึ้นทำให้ริวโซ่กับฟุกุทาโร่ที่คอยอยู่ข้างนอกลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง...ไดโงะโร่เดินหัวเราะร่าออกมาจากในห้อง ตามหลังมาเป็น จึเนะโกะ

“คลอดแล้วว่ะ...เฮ่ะ...เฮ่ะ...เป็นผู้หญิง... ทั้งอาจึโกะและลูกปลอดภัย”

ริวโซ่กับฟุกุทาโร่ต่างจับมือกันและกันด้วยความลืมตัว...ไดโงะโร่ขอบคุณริวโซ่อย่างจริงใจ ริวโซ่เองก็โล่งอกเพราะโอชินจะปลอดภัย จากการถูกกล่าวหา ว่าแล้วริวโซ่ก็รีบขอตัวกลับไปที่บ้านเพื่อหวังแจ้งข่าวดีนี้ให้โอชินรู้

ริวโซ่เดินออกจากบ้านเห็นฟ้าสาง คลี่ม่านสีเทาอ่อนแห่งวันใหม่...เหมือนชีวิตใหม่ ที่โอชินจะได้รับ ต่อไปนี้ ชีวิตใหม่ของโอชิน ก็จะสว่างสุกใสเหมือนยามอรุณรุ่งของวันนี้... แต่เมื่อเปิดประตูเขตบ้านทาโนะคุระออกไป ก้าวข้ามธรณีประตูเท่านั้น พลันเห็นภาพที่ปรากฏ เบื้องหน้าหัวใจแทบหยุดทำงาน

ริวโซ่เปล่งเสียงร้องดุจดังสัตว์ที่ถูก ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์... ร่างของโอชินนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่กับดินตรงนั้น เศษโคลนตมกระเซ็นเพราะเม็ดฝนชะแปดเปื้อน ไปทั่วร่าง ริวโซ่กระโจนทีเดียวถึงร่างของภรรยาจับพลิกหงายหน้าเห็นน้ำเมือกสีขุ่นไหลออกจากปากน้อย ๆ ของโอชินไม่หยุด...ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท...เนื้อตัวเย็นเยียบ และที่เขาตกใจ สุดขีดก็คือดวงหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษของโอชิน

แม้แต่คนโบราณก็รู้ถึงอันตรายของการคลอดที่ยาวนานถึงกับมีคำกล่าวว่า “จงอย่าให้หญิงที่กำลังเจ็บครรภ์คลอดเห็นพระอาทิตย์ตกดินถึง 2 ครั้ง” เนื่องจากการคลอดของอาจึโกะเข้าข่ายการคลอดที่ยาวนานอันเกิดจากความผิดปกติของทารก...เป็นการผิดส่วนที่แท้

หมายถึงการผิดสัดส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อทารกอยู่ในท่าปกติ คือมีกระหม่อมน้อยเป็นส่วนนำ ซึ่งเป็นท่าที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวเด็กน้อยที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถจะคลอดได้ภายหลังที่การคลอดดำเนินคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพนานพอสมควรแล้ว

อันตรายจากการคลอดที่ยาวนานนี้ส่งผลกระทบทั้งมารดาและทารกในครรภ์ ภาวะช็อกทางสูติกรรมได้เกิดขึ้นกับอาจึโกะบ่อยครั้ง... เนื่องจากอยู่ในภาวะเครียดและเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียยิ่ง ด้วยเหตุนี้ความว้าวุ่นทั้งหลายจึงเกิดแก่มวลสมาชิกของบ้านทาโนะคุระทั้งคืน

อย่างไรก็ตาม การคลอดของอาจึโกะก็สามารถผ่านพ้นวิกฤติการณ์ไปสู่ความปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก...เมื่อฟ้าใกล้สว่าง แต่สำหรับโอชินนับเป็นรัตติกาลอันน่าสยองโหดร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ สมัยก่อนนี้ การคลอดลูกของผู้หญิงเสมอเท่าด้วยการออกรบของผู้ชาย...

ริวโซ่ประณามตนเองอย่างเงียบเชียบในการที่เขาได้ทิ้งภรรยาไปมัวแต่สนใจในเรื่องการคลอดของน้องสาวจนโอชินแทบจะเอาชีวิตไม่รอด...ยังเป็นคราวเคราะห์ดีของโอชินที่สูติแพทย์ยังอยู่ในบ้านทาโนะคุระ และได้ช่วยชีวิตโอชินไว้ได้ทันท่วงที...

แต่ทารกของโอชิน ซึ่งบอบบางและประสบภาวะชะงักงันของการเจริญเติบโตแพทย์ไม่อาจช่วยชีวิตเอาไว้ได้...ริวโซ่นั่งมองดูภรรยาของตนราวกับคนบ้า ไม่สนใจหนวดเคราที่ขึ้นจนแลครึ้ม ที่หน้าผากของโอชินมีผ้าเย็นโปะไว้จนกระทั่งบัดนี้ เธอยังไม่ฟื้นจากการสลบอันยาวนาน ไดโงะโร่ค่อยเลื่อนบานประตูออกและสืบเท้าเข้ามาหาบุตรชายด้วยความเห็นใจ

“เป็นยังไงบ้าง”

“ถ้าโอชินจะต้องตาย ผมก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรได้”

“พูดเป็นบ้า...ไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า... หมอเขาก็ตรวจดูแล้วว่าไม่มีโรคแทรกซ้อน ไม่นานก็หายเป็นปกติ...แกคอยดูแลให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”

ภายนอกห้องอันเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าโศกนั้น มีแต่เสียงหัวเราะครึกครื้น โอคิโย่ ตักน้ำแจกจ่ายให้บรรดาหญิงทั้งหลายที่มาช่วยการคลอดล้างมือ พลางบอกกับทุกคนว่า

“มาคลอดเอาเวลาที่แต่ละคนก็มีงานเกี่ยวข้าวกันทั้งนั้น ต้องขอโทษด้วยนะ...เสร็จแล้วเชิญข้างในนะคะ มีเหล้ายาปลาปิ้งเตรียมเอาไว้แล้วค่ะ”

ไดโงะโร่เปิดบานประตูบ้านอาศัยคลอดของโอชินออกมา สีหน้าเห็นเค้าแห่งความกังวลชัดเจน

---@@@---

เมื่อจัดงานด้านอาหารเตรียมเลี้ยงให้เป็นที่เรียบร้อย จึเนะโกะไม่ลืมเหตุการณ์อันแรงร้ายที่เกิดกับสะใภ้โอชิน รีบจัดอาหารมาส่งถึงบ้านอาศัย ริวโซ่เปิดประตูรับ

“ข้าวต้มมันเย็นไปหน่อยแล้ว เวลาจะกินค่อยอุ่นนะ ส่วนนี้เป็นของคุณริวโซ่ ทานเสียบ้างนะเดี๋ยวจะหมดแรงฟุบไปอีกคน”

“ขอบคุณครับ”

“โอชินเป็นยังไงบ้าง โหดร้ายทารุณมากนะคุณริวโซ่”

จากนั้นก็สาวเท้าข้ามกลับไปยังบ้านทาโนะคุระ ริวโซ่เลื่อนบานประตูให้ปิดลงดังเดิม นำอาหารมาวางไว้อย่างไม่สนใจที่จะกิน กลับมานั่งลงเคียงข้างภรรยา สุดสมเพชในตัวภรรยาอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงทารกของอาจึโกะ เปลี่ยนดวงหน้าของอาจึโกะผู้เป็นแม่เป็นดวงหน้าของโอชิน นึกเห็นเป็นอย่างนั้นแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏบนดวงหน้าของริวโซ่ ภวังค์ของเขาแตกกระจายเมื่อเสียงโอชินกังวานขึ้นแผ่วเบา

“ยิ้มอะไรหรือคะคุณ”

ริวโซ่สะดุ้งหันมา พบโอชินลืมตาใสแจ๋ว ยิ้มให้ตนและกล่าวต่อไปว่า

“ลูกล่ะคะ? ลูกผู้หญิงใช่ไหมคะ? อยู่ที่ไหนล่ะคะ?”

“หิวหรือยัง? พี่จึเนะทำข้าวต้มมาให้ เห็นยังหลับอยู่ก็เลยเอากลับไป บอกว่าเมื่อจะกินก็จะอุ่นให้ร้อน ฉันจะไปเอามาให้นะ”

“พาลูกมาด้วยนะคะ ฉันอยากเห็นหน้าแกค่ะ อยากให้ทานนมด้วย”

ริวโซ่เห็นใบหน้าของโอชินที่บ่งบอกถึงความปลาบปลื้มแห่งการเป็นมารดาแล้วรู้สึกมีก้อนอุปสรรคก้อนหนึ่งมาติดอยู่ที่ลำคอยากที่จะกลืนมันลงไปได้

“อย่าเพิ่งพูดมากเลย ตอนนี้พักผ่อนให้มาก ๆ นะ”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

โอชินกล่าวแล้วจะลุกนั่ง แต่ถูกริวโซ่ประคองให้ล้มตัวลงนอนไปเหมือนเดิม

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร เมื่อกี้นี้ก็ไปที่บ้านหลังใหญ่ ไปเรียกหมอตำแย...”

“เอ้อ...หมอ...หมอตำแยเขามาดูให้ แล้ว...”

“ค่อยยังชั่ว แต่หลังจากนั้น จำอะไรไม่ได้เลย คงทำให้ทุกคนยุ่งกันไปหมดสินะ”

ริวโซ่อยากจะร้องไห้ กัดฟันตัวเองแน่น บอกภรรยาสุดที่รักว่า “เอาเถอะ จะไปพาลูกมาให้...ตอนนี้นอนก่อนนะ...รอประเดี๋ยว...”

จับภรรยาที่เพียรจะลุกนั่งให้นอนลงไปอีกครั้ง ค่อย ๆ ถอยกายออกมาแล้วสาวเท้ารวดเร็วข้ามไปยังบ้านทาโนะคุระ...เมื่อมาถึงห้องครัวได้พบจึเนะโกะ ทรุดกายลงนั่งด้วยความโทมนัสใหญ่หลวง

“โอชินเป็นยังไงบ้าง ฟื้นหรือยัง”

ริวโซ่นั่งตาค้าง ทันทีได้ยินเสียงพวกผู้หญิงกับมารดาพากันหัวเราะครึกครื้นเสียงขรมอยู่ในห้องถัดไป ริวโซ่เหลือจะอดทนต่อไปได้ ทะลึ่งสุดตัวแล้วถลันไปยังห้องนั้น จึเนะโกะตกใจร้องเรียกไม่ทัน ได้ยินเสียงริวโซ่ตวาดดังลั่นมานอกห้อง

“หัวเราะเหมือนไอ้พวกบ้ากัญชา ยินดีอะไรกันวะ หนวกหูจะตายห่าอยู่แล้ว”

ครู่เดียวเห็นโอคิโย่ดึงเอาริวโซ่ออกมาจากห้อง ไดโงะโร่ตามมาข้างหลัง

“ทำไมถึงได้สำรากคำหยาบคายยังงั้นออกมา เขาอุตส่าห์มาช่วยเรานะ ให้มีมารยาทผู้ดีเสียบ้าง”

“ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท โอชินน่ะแท้งลูกหวิดจะตายอยู่เสือกมากินเหล้าฉลองกันแต่หัววัน คนมีมารยาทดีเขาทำกันแบบนี้เรอะ”

“หยุดเสียที ริวโซ่ เป็นผู้ชายทำไมถึง ทำตัวทุเรศแบบนี้เล่า”

ริวโซ่ตาลอยราวกับคนบ้า “จะมีใครบ้างไหมที่รับรู้ความรู้สึกของผม ก็แน่ละซี คุณ แม่รักอาจึโกะคุณแม่ถึงได้ดีใจ แต่โอชินล่ะ?... โอชินจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่างยังงั้นใช่ไหม”

โอคิโย่ ในส่วนลึกของหัวใจก็รู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้างเหมือนกัน นิ่งไปครู่หนึ่งกล่าวแผ่วเบา “เรื่องมันแล้วไปแล้วจะทำอะไรได้ มันเป็นพรหมลิขิตของแต่ละคน...”

ริวโซ่หันขวับ ดวงตาของเขาราวกับไฟที่ลุกโชนในเตา “พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ...ถ้าผมอยู่กับโอชินละก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก...แต่นี่เป็นเพราะผมไปตามสูติแพทย์ให้อาจึโกะ ผม...ผมจะไม่มีวันกล้าเผชิญหน้ากับโอชินได้อีกแล้ว...ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริงกับเธอ...”

ไดโงะโร่หัวใจเต้นแรง ลงนั่งเคียงข้างบุตรชายถามว่า “นี่โอชินเขาฟื้นแล้วรึ?”

ริวโซ่หันมามองหน้าบิดา “เธอจะขอดูหน้าลูกที่เกิดมาแน่ะครับ จะให้ผมพูดยังงั้นได้ยังไง คิดเรอะว่าผมจะพูดได้ ร่างกายเธออ่อนเพลียขนาดนั้น ขืนบอกความจริงให้เธอทราบ เธออาจจะช็อกตายไปเลยก็ได้”

โอคิโย่ยืนนิ่ง แต่ร่างกายรู้สึกสั่นเทาอย่างไม่รู้สาเหตุ ไดโงะโร่ตบบ่าลูกชายเบา ๆ

“เอาเถอะ พ่อจะเป็นคนพูดให้เอง... เรื่องแบบนี้จะปิดอยู่ได้อย่างไร”

จากนั้นชวนริวโซ่ข้ามกลับมาหาโอชินที่บ้านอาศัยคลอดโอชินเมื่อได้เห็นหน้าสามีก็ส่งยิ้มให้หวานชื่นขณะบิดาของสามีทรุดกายลงนั่งข้างตัว

“ไหนล่ะคะลูกฉัน”

“โอชิน...น่าเสียใจนะ...ที่เธอแท้งเสียก่อน...โอชินเธอยังสาวจะมีลูกอีกกี่คนก็ได้”

“ไม่จริงค่ะ...ไม่จริง ลูกไม่ได้แท้ง... ยัง...ลูกฉันยังไม่ตาย...ฉันเป็นคนตัดสายสะดือเอง...แต่ไม่มีน้ำร้อนจะล้างก็เลยเอาเสื้อห่อไว้... ลูก...ลูกฉันอยู่ไหนคะคุณ”

ริวโซ่อดกลั้นไม่อยู่ เบือนหน้าหนีมิให้โอชินได้เห็นน้ำตาพรากแก้ม โอชินยิ้มปลาบปลื้มเมื่อคิดถึงลูกที่เกิดมา

“ตัวแกยังอุ่น หัวใจก็ยังเต้นตุ้บ ๆ แก ยังไม่ตาย แกมีชีวิต ฉันดีใจจนร้องตะโกนเรียกหาคุณ...จะมาว่าลูกฉันแท้ง ตายได้อย่างไร ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ ฉันคลอดของฉันคนเดียว ลูกเต้นอยู่ในอุ้งมือของฉัน ถึงแกจะตัวเล็กไปหน่อย แกก็มีชีวิต...จริงนะ...เป็นความจริง...”

ไดโงะโร่เองแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ไปด้วย พยักหน้าหงึกหงักกล่าวว่า “โอชิน...ตอนที่ริวโซ่มาพบเธอน่ะ เธอนอนสลบอยู่ด้านหลังของ บ้านใหญ่พอดี สูติแพทย์ยังอยู่ก็เลยช่วยชีวิตได้ทันท่วงทีช้านิดเดียวเธอก็อาจจะต้องเสียชีวิต ไปด้วย...แพทย์พยายามช่วยลูกของเธอเหมือนกัน แต่ตอนที่พบน่ะ...ลูกเธอได้แท้งตายเสีย ก่อนแล้ว”

โอชินนอนฟังหน้าตาเฉย สายตามองดูเพดานที่เต็มไปด้วยหยากไย่ กล่าวออกมาว่า “ไม่จริงค่ะ...ลูกฉันยังไม่ตาย...ยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย”

“โอชิน...ตอนฉันอุ้มนั้น ลูกของเราตายแล้ว...”

“หมอบอกว่า เด็กตายตอนคลอดเนื่องมาจากอ่อนแอเกินขนาด อยู่ได้ประเดี๋ยวก็เสีย ชีวิต ตอนอยู่ในท้องเด็กขาดการบำรุง”

“ได้โปรดเถอะค่ะ...ฉันขอเห็นหน้าลูกของฉัน...”

สิ้นคำก็ผุดลุกนั่ง คว้าเอาสามีเป็นหลักไม่ให้ล้ม ริวโซ่กอดรัดภรรยาด้วยความสงสารสุดขีด โอชินหัวเราะพร้อมกับยืนยันจะขอดูหน้า ลูกให้ได้ เพราะได้ตั้งชื่อไว้ให้แล้วด้วยว่าอาอิซึ่ง แปลว่ารัก เพราะโอชินตั้งใจจะให้ลูกที่เกิดมาเป็นที่รักของทุกคน

หลุดอ้อมกอดของผัว โอชินคลาน กระเสือกกระสนด้วยความปรารถนาจะไปพบลูกแรกเกิด ริวโซ่ตะปบเมียเอาไว้อีกครั้ง กอดไว้แน่น

“ลูกจะต้องกินนมแล้วค่ะ แน่ะได้ยินไหม ร้องไห้ใหญ่เลย...อาอิ... อาอิ... อาอิ ลูกแม่...”

ไดโงะโร่ถอนหายใจยาว มองดูหน้าที่เปียกโชกด้วยน้ำตาของริวโซ่ด้วยความเห็นใจ ในความปวดร้าวระบมของชายหนุ่มสุดที่จะพรรณนาได้...

---@@@---

บาดแผลทางใจของโอชินสาหัสเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจได้ แม้แต่ริวโซ่ผู้เป็นสามี นับแต่ได้ยอมรับรู้ว่าเธอแท้งลูกตายแล้ว โอชินหมดอาลัยตายอยากในชีวิตไม่ยอมพูดจากับผู้ใด เอาแต่นั่งตาลอยมือถือดอกไม้เด็ดกลีบของมันทิ้งเล่นดุจคนที่ไร้สติ

นมสองข้างก็คัด โอชินไม่สนใจในความเจ็บปล่อยให้น้ำนมไหลเปียกโชก ริวโซ่ทนดูไม่ได้ต้องเอาผ้าซับซุกไว้ข้างในทั้งสองข้าง โอคิโย่ นั่งอยู่ที่ขอบธรณีประตูบ้านอาศัยของโอชิน แลดูร่างของโอชินที่นั่งหันหลังให้แสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาทางบานหน้าต่างนั้นประหนึ่งรูปปั้นด้วยศิลาเก่า ๆ ริวโซ่นั่งอยู่ไม่ห่างไกล กล่าวกับมารดาด้วยความคับแค้นใจเป็นที่สุด

“โอชินอุตส่าห์ตั้งชื่อลูกเป็นอย่างนั้นแสดงว่าภายในจิตใจของเธอต้องการความรัก จากทุกคนในบ้านทาโนะคุระ แต่คุณแม่...”

เสียงของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายขาดหายไป มันแห้งเหือดดุจน้ำที่ถูกความร้อนผ่าวของผืนทะเลทรายซึมซาบ

“ริวโซ่.. แม่เองใช่ว่าจะใจจืดใจดำกับโอชินนะ แต่แม่บอกแล้วว่า ในบ้านหนึ่งถ้าจะมีการคลอดสองรายพร้อมกันแล้ว จะต้องมีเคราะห์ เสร็จแล้วมันก็เป็นความจริงตามที่แม่วิตก”

โอชินล้วงเอาผ้าซับน้ำนมออกมาจาก อกเสื้อ ริวโซ่ขยับตัวลุกขึ้นช่วยเปลี่ยนผ้าซับ น้ำนม โอคิโย่มองแล้วก็ถอนหายใจยาว

“โลกนี้มันไม่ค่อยจะเป็นไปอย่างที่คิดเลย...โอชินไม่ค่อยจะได้กินอะไร น้ำนมทะลักแล้วทะลักอีก...ส่วนอาจึโกะกินสารพัดแต่ไม่ยอมมีน้ำนมให้ลูกกินเอาเลย”

โอคิโย่ถอนใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินซึมกลับมาที่บ้านทาโนะคุระ ได้ยินเสียงทารกของอาจึโกะส่งเสียงจ้า ก็กล่าวกับจึเนะโกะซึ่งกำลังล้างถ้วยชามอยู่ในครัว เพราะรู้ดีว่าลูกของ อาจึโกะกำลังหิวนมอีกแล้ว จึเนะโกะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ได้แต่ยิ้ม ๆ มองดูมารดาของสามีเดินซึมเข้าไปในห้องพักฟื้นของอาจึโกะบนเรือน

อีกไม่กี่นาทีถัดมาริวโซ่ก็เดินถือถาดน้ำชาเข้ามาในครัวเพื่อขอน้ำร้อนจากจึเนะโกะ อีกฝ่ายจึงถามถึงอาการของโอชิน

“ยังซึม ๆ เหมือนเดิมครับ ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา...ปกติโอชินเขาเป็นคนใจแข็งนะครับ ไม่น่าจะมาเป็นแบบนี้เลย”

“ความรักลูกน่ะ มันไม่จำกัดว่าต้องใจแข็งหรือใจอ่อนหรอก แถมโอชินยังต้องมาเจอความทารุณตอนคลอด มันก็นรกชัด ๆ นั่นแหละ ต้องตัดสายสะดือด้วยตัวเองนี่...ฉันว่ามันทารุณเอามาก ๆ...ที่อาจึโกะไม่มีน้ำนม ก็เพราะถูกพระเจ้าลงโทษน่ะ”

ยังไม่ทันริวโซ่จะกลับ ได้ยินเสียงมารดาร้องเรียกขึ้น

“ริวโซ่..แม่อยากจะขอร้องอะไรหน่อย...”

ทันทีอาจึโกะคลานออกมาจากในห้องพักฟื้นร้องบอกมารดาว่า “แม่ไม่ต้องพูด ไม่ต้องขอร้อง...”

โอคิโย่หันกลับไปแว้งกัดลูกสาวทันที “ทำไม แกจะให้ลูกแกตายเพราะไม่ได้กินน้ำนม ยังงั้นรึ”

“ขอร้องคนอื่นก็ได้นี่นา...”

โอคิโย่ไม่ฟังเสียง หันมาทางบุตรชาย กล่าวว่า “แม่อยากให้ลูกของอาจึโกะได้กินน้ำนมของโอชิน...จะได้ไหม”

ริวโซ่ตาขวางขึ้นมาทันที “ทำยังงั้นได้ยังไง คิดถึงหัวอกโอชินเขามั่งซิครับคุณแม่...”

“เหอะน่า ลูกผู้หญิงน่ะเขาไม่ใจแคบหรอก โอชินน่ะเวลานมคัดก็อดจะคิดถึงลูกไม่ได้ ถ้ามีเด็กให้กินนมเสียบ้าง จะเป็นลูกของใครก็ช่างเถอะ...คงจะทำให้โอชินคลายความคิดถึงไปบ้างนั่นแหละ”

ริวโซ่โกรธแค้นสุดขีดตะเบ็งออกมาว่า “พูดเอาแต่ได้...ไม่ตกลงครับ” สิ้นคำฉวยเอาถาดน้ำร้อนออกไปจากบ้านทาโนะคุระ...ก้าวพ้นชายคามาได้ยินเสียงฝีเท้าติดตามมาติด ๆ หันไปพบจึเนะโกะ เรียกเอาไว้

“คุณริวโซ่...นี่ฉันคิดเอาเองนะ...ตอนนี้โอชินเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจ ถ้าได้สัมผัสอุ้มเด็กอุ้มเล็กให้กินนมบ้าง อาจจะเป็นการดีสำหรับโอชินอย่างที่คุณแม่พูดก็ได้”

ริวโซ่ชะงัก เสียงจึเนะโกะกังวานสืบไปว่า “ที่พูดนี้ ก็ด้วยความปรารถนาดีต่อโอชิน”

ริวโซ่คล้อยตาม อีกไม่นานจึงยินยอมให้มารดาอุ้มเอาทารกของอาจึโกะมาหาโอชิน... เลื่อนบานประตูเข้าไปรับเอาทารกจากอุ้งมือกอดของมารดา ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาภรรยาด้วยไม่แน่ใจว่าจะเป็นการถูกต้องดีหรือไม่อย่างไร...นั่งลงข้างภรรยาอย่างเงียบเชียบ กล่าวเสียงแผ่วเบา

“โอชิน...ขอให้เด็กคนนี้กินนมเธอหน่อยนะ...”

โอชินยังคงนั่งตาลอยเหมือนไม่ได้ยินความที่ริวโซ่ได้กล่าวขึ้น

“เด็กมันหิวนมน่ะ...”

โอชินนิ่ง ค่อย ๆ หันมามองดูริวโซ่ ด้วยสายตาไม่กะพริบ ความเงียบระทึกอยู่ในใจของโอคิโย่ที่เฝ้ามองดูอยู่ใกล้ ๆ ที่สุดโอชินก็ค่อย ๆ ยื่นแขนออกไปรับเอาทารกนั้นเข้ามาแนบไว้กับทรวงอก โอคิโย่ยิ้มสดใส พร้อมกับเสียงถอนหายใจใหญ่ของริวโซ่ดังขึ้น

เมื่อไดโงะโร่กลับมาจากสมาคมทะเล ได้ทราบว่าโอคิโย่อุ้มเอาทารกไปขอน้ำนมโอชินกินก็เดือดแค้น ถอดเสื้อนอกออกพลางกล่าวกับอาจึโกะว่า

“ทำไมถึงได้ทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้น รู้ก็รู้ว่าโอชินมันเสียอกเสียใจแค่ไหน ไอ้แบบนี้มันเท่ากับซ้ำเติมกันนี่”

ยังไม่ทันสืบเท้าออกไปก็เห็นโอคิโย่เดินอุ้มทารกลูกของอาจึโกะเข้ามาในบ้านยิ้มแฉ่งร่าเริง ส่วนทารกนั้นหลับปุ๋ย

“อาจึโกะเอ๊ย...เด็กกินนมซะอิ่มเลยแหละ โอชินให้เด็กดูดนมเฉย...หน้าตาของเขาตอนนั้นไม่ผิดอะไรกับแม่ของเด็กที่กำลังกินนม...คงจะคิดว่าเป็นลูกของตนเองน่ะ... เฮ้อ...ก็คงจะต้องให้กินนมโอชินไปสักพักหนึ่ง... อาจึโกะ...”

อาจึโกะหน้าตาไม่สบาย เสียงมารดา กล่าวกับตนว่า “แกต้องระลึกถึงบุญคุณของ โอชินเขานะ เขาให้นมเลี้ยงลูกของแกไว้”

พลางหันมาทางจึเนะโกะในครัว บอกว่า “จึเนะโกะ...ช่วยหาอาหารดี ๆ ที่มันบำรุงร่างกายของโอชิน เอาไปให้เขากินหน่อย...ไม่ต้องเสีย ดายเงินหรอกนะ ต้องประคบประหงมให้โอชินเขากลับฟื้นคืนดีแข็งแรงเหมือนเดิมเข้าใจไหม”

จึเนะโกะยิ้มดีใจกล่าวรับ โอคิโย่อุ้มหลานอย่างสบายใจ ไดโงะโร่เลยยืนเซ่อ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของโอคิโย่ที่มีต่อโอชินผู้อาภัพ จึงลืมเสียสิ้นที่จะต่อว่าต่อขานภรรยาของตน...

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 30 กันยายน 2553
บัลแฮ เข้ามารายงานพระนางชอนชู ว่า เมื่อคืนนี้มีเรือพวกหนี่เจินอยู่สองลำ ล่องผ่านแม่น้ำซัลซูแล้วก็ล่องไปจอดอยู่แถวอันบุก

“ที่นั่นไม่มีหน่วยงานทางการทหารอยู่ เลยนี่”

“ออกจากแถวอันบุกแล้ว...พวกมัน ไปที่ไหนกันต่อล่ะ” กัมชัน ถาม

“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ได้ส่งคน 2 คน ออกไปสืบเรื่องราวแล้ว เมื่อเราไปถึงที่นั่นคงจะรู้”

“พวกเราจะเดินทางไปต่อยังไงหา” พระ นางชอนชู ตรัสถาม

“เมื่อพวกมันเลือกเดินทางทางน้ำ พวกเราเองก็คงจะต้องเดินทางไปทางน้ำด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ กระหม่อมหาเรือได้ลำนึง ที่จะ..พาพวกเราไปอันบุก เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ค่อยไปหาคนของเจ้า” กัมชัน กล่าว

“ได้ขอรับใต้เท้า”

---@@@---

แฮงซูให้โจซังกุงออกมาหาที่นอกวัง และสั่งให้นางรายงานเรื่องขององค์ชายแคลองทั้งหมดให้กับพวกตนได้รับรู้ โดยโจทูจะเป็นคนที่คอยไปฟังข่าวทุกวัน แต่โจซังกุงบอกว่าไม่ใช่เรื่อง ง่าย วอนซุงสั่งกำชับว่า เรื่องนี้จะปล่อยให้พระสนมรู้เรื่องไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากกล้าให้เรื่องหลุดไปแม้แต่ครึ่งคำ ชีวิตของเจ้ากับนางจะอยู่ในอันตราย
---@@@---

พระเจ้าซองจงตรัสถามโกฮอนว่า ตอน นี้ท่านคังกับพระนางซุงด๊อกบุกไปในพื้นที่พวกหนี่เจินหรือ เมื่อรู้ว่าเป็นความจริง จึงถามถึงจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย พร้อมถามถึงจิตใจประชาชนเป็นยังไงบ้าง

“ทำไมเจ้าถึงไม่ตอบข้า...”

“คือ...ท่านอ๋อง ขอพระองค์อย่าได้... สนใจเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ จิตใจของผู้คนที่ฮวางจูเป็นไงบ้าง”

“เอ่อ..กระ กระหม่อม ไม่กล้าทูลเลยพ่ะย่ะค่ะ โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยเถิด”

“ก็ได้ ไม่ต้องบอกก็ได้ พวกนั้นคงจะด่าว่าข้าเป็นคนทรยศบรรพชน เป็นคนต่ำทราม เฮ้อ..แม้แต่เสด็จย่า ก็คงกำลังโกรธแค้นข้าจากปรโลกสินะ” พระเจ้าซองจง ตรัส

---@@@---

บัลแฮจับคนของเผ่าหนี่กลับมาคนหนึ่ง ที่บอกว่า เห็นเรือของเผ่าหนี่เจินผ่านไปลำนึง แต่เมื่อคังโจเค้นถาม กลับบอกว่าไม่รู้ว่าเรือล่องไปทางไหน แต่ห่างจากไปสองชั่วยาม มีชนเผ่านึงที่น่าจะรู้ คังโจ กัมชัน จึงพากำลังทหารออกไปตามก็พบกับกามุน กัมชันจึงแสดงตัวว่าเป็นชาวโครยอจากฮวางจู สองวันก่อนมีพวกหนี่เจิน กลุ่มหนึ่ง ที่โจมตีวังที่ฮวางจู แล้วมาจับตัวคนของพวกตนไปด้วย แต่กามุนบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกตน จากนั้นก็พาทั้งหมดไปพบหัวหน้าเผ่า

“ไหนบอกพวกเรามาซิ ว่าใครเป็นคนที่...ไปโจมตีฮวางจู” กัมชัน ถาม

“พวกเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หัวหน้าเผ่า กล่าว

“ไม่ต้องมาโกหกเลย คนที่พาพวกเรามา บอกว่าพวกเจ้ารู้เรื่องนี้อย่างดี ถ้าไม่ใช่ฝีมือพวกเจ้า ก็บอกมาซะ” คังโจ กล่าว

“ข้าคือพระมเหสีของพระเจ้าคยองจง ถ้าพวกท่านช่วยเราตามหาเชลย เราจะขอบคุณท่านอย่างมาก” พระนางชอนชู ตรัส

“แต่..ถ้าหากพวกท่านปฏิเสธ เราคงต้องส่งทัพใหญ่มาโจมตีท่านแทน และชนเผ่าของท่านอาจจะต้องถูกทำลายก็ได้” กัมชัน ขู่

“ถ้าหากเราช่วยท่านได้ ท่านจะรับข้อเสนอสักข้อได้มั้ย” ชียัง ถาม

“ชียัง” หัวหน้าเผ่า เรียก

“ท่านพ่อ เรามีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นี่อาจจะเป็นโอกาส”

“มีเงื่อนไขอะไร?” พระนางชอนชู ตรัส

“เรื่องนี้ เอาไว้ช่วยคนของพระมเหสีได้ก่อนค่อยว่ากัน”

“พวกนั้นเป็นใครจะตามหาได้ที่ไหน”

“ถิ่นของพวกมันอยู่ห่างจากสถานที่แห่ง นี้มาก พวกเราเองก็เป็นศัตรูกับมัน มันเป็นพวก ที่ถูกกองทัพชี่ตันขับไล่ลงไปทางใต้” ชียัง กล่าว

---@@@---

พระนางชอนชู คังโจ และกัมชัน ยังไม่แน่ใจในข้อมูลที่ชียังให้ แต่ทั้งหมดตกลงที่จะเชื่อ และติดตามไป แต่พระนางชอนชู ก็รับสั่งให้คอยจับตาดูพวกนี้ลับ ๆ ด้วย ด้านวังอุก ได้มาหาพระมเหสีฮอนจอง

“ไม่เจอกันเสียนานนะ....ท่าน...ท่านจำข้าไม่ได้แล้วเหรอ” วังอุก กล่าว

“ใครว่าล่ะ...ไม่ใช่อย่างนั้น นี่เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย”

“เสียงผีผาเมื่อครู่ไพเราะจริง ๆ ไพเราะกว่าที่ข้าเล่นเองอีก เสียงนั้นเป็นเสียง...ที่พระนางบรรเลงใช่มั้ย”

---@@@---

พระนางชอนชู และพวก ให้ชียังและพวกพาเดินทางมาเพื่อตามหาพวกที่ถูกจับตัวมาระหว่างเดินทางก็ถูกกับดัก จนเกิดการต่อสู้กันขึ้น สุดท้ายก็สามารถช่วยฮยังบีและตัวประกันที่ถูกจับตัวมาได้

“หยุดได้แล้ว” อิลลา กล่าว

“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าเผ่านี้ หยุดโจมตีเราได้แล้ว พวกเราขอยอมแพ้แล้ว” หัวหน้าเผ่า กล่าว

“เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าที่นี่เหรอ?” พระนางชอนชู ตรัสถาม

“ท่านเข้าใจถูกแล้ว”

“แล้วทำไมต้องมาโจมตีวังมองบ๊อก มาแก้แค้นที่เราต่อต้านพวกชนเผ่าหนี่เจินรึไงหา”

“ไม่ใช่หรอก พวกเราแค่ทำไปเพื่อความอยู่รอดของชนเผ่าเท่านั้น”

“หมายความว่ายังไง? ไปโจมตีวังของเชื้อพระวงศ์ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความอยู่รอดหา”

“เราคิดจะจับพระมเหสีเพื่อเรียกเอาเงินค่าไถ่จากราชสำนักโครยอ”

“ว่าไงนะ” พระนางชอนชู ตรัสถาม

“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่า ข้าขอรับผิดชอบเอง ได้โปรดปล่อยคนในเผ่าของข้าไปด้วย เพราะพวกเค้าไม่ได้มีความผิดอะไรเลย”

“อย่าฆ่าตัวตายนะ” คังโจ กล่าว

“อา...”

“เจ้าเป็นอะไรไป” พระนางชอนชู ตรัส

“นายน้อย” อิลลา กล่าวเรียก

---@@@---

พระสนมยอนฮึงทูลพระเจ้าซองจง ให้เสด็จไปเยี่ยมพระมเหสีที่กำลังประชวรอยู่ที่วังหลังบ้าง เมื่อเสด็จไปก็พบกับองค์หญิงซอน ดูแลพระมเหสีมุนด๊อกอยู่ จึงรับสั่งให้ออกไปก่อน

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถจะลุกขึ้นมาถวายพระพรได้”

“ไม่เป็นไร เจ้ากินยาที่ทางหมอหลวง จัดเตรียมมาให้จนหมดรึเปล่าหา”

“ไม่มีประโยชน์อีกแล้วเพคะ หม่อมฉันมักจะสร้างความเดือดร้อนให้พระองค์เสมอเลย”

“ข้า..ได้ยินว่าเจ้าอยากพบข้า”

“เพคะ”

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“อนาคตของลูกสาวหม่อมฉันเพคะ”

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 30 กันยายน 2553
“เจ้าเกือบตายเพราะช่วยเรา” พชรเอ่ยปากหลังจากจัดการกับทหารสอดแนมเสร็จ

“หากมินาลินไร้เจ้าชายรัชทายาท แล้วใครที่จะโค่นดารัณลงได้ แม้ต้องตายเพื่อท่านก็นับเป็นเกียรติสูงสุด”

“เราคงต้องแยกกันตรงนี้ เจ้ารีบไปเถอะก่อนที่ดารัณมันจะสงสัยในตัวเจ้ามากไปกว่านี้”

---@@@---

บาจรีย์หมกมุ่นค้นหาข้อมูลการรักษาโรคเกี่ยวกับสมองจากทางอินเทอร์เน็ต มุ่งมั่นอยากช่วยฟื้นความจำให้วาสิน ตัดหน้าลำธาร บาจรีย์คิดว่าถ้าวาสินได้อยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยอาจจะฟื้นความจำได้ดีกว่า พอรู้จากภูษณะว่าวาสินเคยมาล่าสัตว์กับมาดิสร์ที่ภูเขาด้านใต้ ของป่าแถบนี้อยู่บ่อย ๆ จึงแอบพาวาสินเข้าไปในป่าโดยไม่ยอมบอกให้ใครรู้

พอรู้ว่าวาสินหายตัวไป ลำธารก็นึกถึงคำพูดบาจรีย์ที่บอกจะหาทางช่วยวาสินขึ้นมาได้ ลำธารสังเกตเห็นมีรอยเท้าผู้ชายกับผู้หญิงย่ำออกไปนอกค่าย จึงแอบตามไป โดยไม่ลืมทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้บนต้นไม้ ตามประสบการณ์ที่ได้จากการเดินป่าหลบพวกทหารดารัณกับพชร

บาจรีย์พาวาสินไปรื้อฟื้นความทรงจำที่นั่งร้านส่องสัตว์กลางป่า วาสินเห็นเชือกที่ผูกติดกับนั่งร้านห้อยลงมา แทนที่จะนึกถึงเหตุการณ์ตอนล่าสัตว์กับมาดิสร์ได้ กลับนึกถึงเรื่องที่ถูกดารัณจับมัดกับรถแล้วลากไปทั่ว เมืองแทน

วาสินเริ่มมีอาการหวาดกลัว คลุ้มคลั่ง มองเห็นบาจรีย์บิดเบี้ยวเพี้ยนไปอย่างน่ากลัว บาจรีย์พยายามจะเข้าไปปลอบ วาสินหยิบไม้ขึ้นมาถือเป็นอาวุธ พลางเหวี่ยงแขนไปมากันไม่ให้บาจรีย์เข้าถึงตัว ส่งผลให้ท่อนไม้ฟาดหน้าบาจรีย์จนล้มลง

วาสินวิ่งกระเซอะกระเซิงหายเข้าป่าไป บาจรีย์ฝืนลุกขึ้น แล้ววิ่งตามวาสินไป ลำธาร ตามมาเจอ พยายามจะเข้าไปปลอบให้วาสินสงบลง บาจรีย์ดื้อดึงไม่ยอมเชื่อลำธาร ทำให้วาสินคลั่งหนักขึ้นกว่าเก่า บาจรีย์จะเข้าไปจับตัววาสิน วาสินถอยหนีจนเสียหลัก ร่วงไถลลงไปตามทางลาด หัวฟาดกับต้นไม้อย่างแรง ล้มลงสลบที่โคนต้นไม้

ลำธารช่วยห้ามเลือดให้วาสิน แล้ว ปลอบบาจรีย์ที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ให้มาช่วยกันประคองพาวาสินกลับไปรักษาตัวต่อที่ค่าย ธามกับพชรอาศัยสัญลักษณ์ที่ลำธารทำไว้ ตามมาช่วยกันพาวาสินกลับไปรักษาตัวต่อที่ค่ายได้ทันเวลา

บาจรีย์รู้สึกผิด เดินเข้าไปเกาะแขนพชร ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้วาสินได้รับบาดเจ็บ พชรเครียดจัดตวาดใส่ บาจรีย์น้ำตาคลอ นึกน้อยใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ธีรัชเดินออกมา บอกว่าวาสินพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด เพราะวาสินเสียเลือดไปมาก โชคดีที่ลำธารมีกรุ๊ปเลือดเดียวกันได้บริจาคเลือดช่วยชีวิตวาสินไว้ บาจรีย์อึ้งไป ที่ความดีความชอบทั้งหมดไปตกอยู่ที่ลำธาร!

บาจรีย์หันหลังปาดน้ำตา เดินหนีจากทุกคนไปอย่างเจ็บช้ำ ธามนึกเป็นห่วง รีบเดินตามไปพูดจาเย้าแหย่ปลอบใจ แต่บาจรีย์กลับร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจ ธามนึกสงสารจึงหลอกให้บาจรีย์ทำข้าวต้มหม้อโตให้ทุกคนในค่ายกิน เพื่อให้บาจรีย์ได้รู้สึกว่าตนเองมีค่า มีความสำคัญกับคนอื่น ๆ นอกเหนือจากพชร บาจรีย์เห็นทุกคนในค่ายกินข้าวต้มกันอย่างเอร็ดอร่อยก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจเรื่องพชรไม่หาย

“บาจรีย์ คุณหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองมากเกินไป คุณสนใจก็แต่พชร อะไร ๆ ก็พชร แต่คุณรู้มั้ยว่า คุณยังมีประโยชน์คุณน่ะทำดีให้กับคนอื่น ๆ ได้อีกตั้งเยอะ แบ่งเวลาเอาใจพชร หันมาใส่ใจคนอื่น ๆ รอบตัวคุณบ้าง แล้วคุณจะมีความสุขมากขึ้น”

“แต่ความสุขอย่างเดียวของฉัน คือได้เป็นคนพิเศษของพี่พชร”

ธามได้แต่มองตามหลังบาจรีย์ที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกสงสาร “แต่คนพิเศษของพชร มีได้แค่คนเดียว แล้วอาจจะไม่ใช่คุณก็ได้”

---@@@---

ลำธารเป็นห่วงพชรที่คอยนั่งเฝ้าวาสินอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมกลับไปนอนหลับพักผ่อน จึงตัดสินใจเข้าไปเปลี่ยนเวรช่วยเฝ้าวาสินแทน พชรดีใจมากที่รู้ว่าลำธารเป็นห่วง

“ลำธารความรู้สึกที่คุณมีให้ผม มันยังไม่เปลี่ยนไปใช่มั้ยครับ”

“ฉันไม่พร้อมจะคุยปัญหาที่มันผ่านมาแล้ว ฉันไม่อยากรื้อฟื้นมัน ปล่อยให้มันเป็นสายลมที่พัดผ่านไปเถอะพชร”

“แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจกันอย่างนั้นเหรอ”

“บางทีการที่ฉันไม่รับรู้ปัญหาของนายมากไปกว่านี้ คงทำให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยความทุกข์ที่น้อยลง”

พชรเศร้าลง ก่อนหันหลังเดินจากไป ลำธารถอนใจระบายความกลัดกลุ้มกับปัญหาหัวใจที่คาราคาซัง

“พชรฉันกลัวที่จะรู้เหตุผลว่าทำไมเราถึงรักกันเหมือนเดิมไม่ได้”

พาริณที่แอบดูอยู่รีบเดินออกมาหา ลำธาร “ฉันเห็นด้วยที่เธอไม่ควรรับรู้ แต่ความจริง มันก็คือความจริง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับความรักก็คือการที่ไม่มีวันรักกันได้ อีกไม่นานหรอก เธอจะเข้าใจมันเอง”

พาริณเดินจากไป แอบสะใจอยู่ลึก ๆ

“ไม่มีวันรักกันได้ เธอหมายความว่ายังไง” ลำธาร มองพาริณเดินจากไปอย่างคาใจ ข้องใจในสิ่งที่พาริณต้องการจะสื่อ!!!

---@@@---

ตอนที่ 14

พาริณแอบเข้าไปขโมยสร้อยรักเท่าชีวิตจากห้องพักของพชรมาเก็บไว้ เพราะไม่อยากให้พชรมอบสร้อยเส้นนี้ให้ใครอีก

---@@@---

ชาครวางแผนให้พชรพากองกำลังใต้ดินบุกเข้าไปในคลังแสงของดารัณทางเส้นทางลับที่ใช้สำหรับลำเลียงกำลังและหลบหนีศัตรู หลังจากบุกยึดและทำลายคลังแสงได้แล้วก็ค่อยขนอาวุธออกทางประตูทางเข้าปกติที่มีทหารดารัณคอยเฝ้าอยู่ แต่ชาครจะช่วยมอมเหล้าพวกทหารเตรียมพร้อมไว้ให้

ก่อนออกไปรบ พชรพยายามจะปรับความเข้าใจกับลำธารอีก แต่ลำธารไม่เปิดโอกาส ให้ ด้านบาจรีย์พยายามทำอาหารไปง้อพชร แต่พชรกลับไม่สนใจ ภูษณะรู้สึกสงสารที่เห็นพชรยกอาหารที่บาจรีย์ตั้งใจทำมาให้เป็นพิเศษให้จ่าแสงกิน จึงรีบเดินตามไปปลอบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บาจรีย์รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่

ธีรัชรู้ว่าพชรคงอยากได้กำลังใจจาก ลำธารก่อนออกไปรบ จึงพูดเตือนสติให้ลำธารได้คิด และตัดสินใจซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ธีรัชไปดักรออวยพรให้พชรโชคดีกลางทาง พชรยิ้มกว้างอย่างมีความสุขจนแทบล้นทะลัก ผิดกับพาริณที่ได้แต่ยืนมองดูพชรกับลำธารอย่างหงุดหงิดกับภาพบาดหัวใจ

---@@@---

อดิศรบุกเดี่ยวไปหาดารัณที่พระราชวัง มินาลิน ดารัณไม่กล้าทำอะไร เพราะอดิศรอ้างว่ามาคอยดูแลรับผิดชอบหน่วยแพทย์สากลที่มาปฏิบัติงานเพื่อมนุษยธรรมอยู่ในมินาลิน สองฝ่ายใช้จิตวิทยาสงครามประสาทเข้าห้ำหั่นกัน ในขณะที่ใบหน้ายิ้มแย้ม

พชรนำกองกำลังบุกเข้าโจมตีคลังแสงของดารัณตามแผนการที่ชาครวางไว้ ราชิตรู้ข่าว รีบเตรียมกำลังทหารจะไปจัดการกับพวก พชร อดิศรสบโอกาสช่วยเหลือพชร ด้วย การพูดจาดูถูกว่ากองกำลังของดารัณคงไม่มีประสิทธิภาพถึงปราบกบฏไม่ได้เสียที ดารัณเสียหน้ามาก จำต้องสั่งให้ราชิตไปจัดการกับพวกพชรตามลำพัง ไม่ให้เอากองกำลังติดตามไปด้วย

แผนที่ชาครวางไว้ให้ ทำให้พวกพชรสามารถจัดการกับพวกทหาร และทำลายคลังแสงของดารัณได้อย่างง่ายดาย ดารัณไม่พอใจมาก แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่าอดิศรเข้าร่วมกับพวกพชรก็จำต้องปล่อยตัวอดิศรกลับไป

หลังทำลายคลังแสงเสร็จ พวกพชรช่วยกันลำเลียงอาวุธขึ้นรถยีเอ็มซีเตรียมขนกลับไปค่าย ราชิตเดินทางมาถึงคลังแสงพอดี พชรอยากให้ชาครกลับไปที่ค่ายด้วยกันเพราะรู้ว่าราชิตคงไม่ปล่อยชาครให้รอดไปได้ แต่ชาครอาสาอยู่คอยกันราชิตให้

ราชิตบุกยิงเข้าใส่พวกพชร พวกพชรยิงต่อสู้ ก่อนรีบขึ้นรถกันหมด ไม่นานนักรถยีเอ็มซีแล่นออกไป ชาครควักปืนขึ้นยิงกราด โยนระเบิดใส่พวกราชิต ก่อนวิ่งหนีไปอีกทาง ราชิตสั่งพวกทหารให้ตามพวกพชรไป ส่วนตัวเองวิ่งตามชาครไปด้วยความโกรธแค้น

พวกพชรจัดการฆ่าทหารดารัณที่ตามมาจนเกลี้ยง พชรเป็นห่วงชาครมาก ตัดสินใจขับรถยีเอ็มซีย้อนกลับไปช่วยชาคร แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตชาครไว้ได้ทัน ทุกคนรู้สึกโศกเศร้ากับการจากไปของชาครเป็นอย่างมาก

ตอนที่ 15

พชรนำศพชาครกลับมาทำพิธีเผาที่ค่าย วาสินเศร้าสลดมากกว่าใครกับการจากไปของชาคร อดิศรเห็นทุกคนอยู่ในอาการเศร้าสลด ไม่ลืมกำชับเตือน

“หมดเวลาแห่งความเสียใจแล้ว แม้จะทำลายคลังแสงได้แต่ยังห่างไกลจากชัยชนะ”

“ซ้ำยังเติมเพลิงแค้นให้แก่ดารัณ นับแต่วินาทีนี้เตรียมรับมือการโจมตีของมันให้ดี” พชรหันไปบอกทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อมกับปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น!

---@@@---

ดารัณโกรธมากสั่งรัฐมนตรีคลังให้เอาเพชรพลอยที่มีอยู่ในคลังออกมาขายเพื่อซื้ออาวุธใหม่ไว้ใช้ต่อกรกับพวกพชร รัฐมนตรี คลังไม่เห็นด้วยกับการนำเอาเพชรพลอยสำรองที่มีไว้ใช้ในยามฉุกเฉินออกมาซื้ออาวุธ จึงถูกดารัณฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด

คเชนทร์และคามินคือคู่หูนักฆ่าจอมเหี้ยมโหด อดีตคือทหารผู้เชี่ยวชาญการสู้รบ ในป่า ทั้งสองเคยถูกวาสินสั่งจำคุกตลอดชีวิต แต่แหกคุกหนีไปได้ คเชนทร์ชอบการเข่นฆ่า บ้าคลั่ง อาวุธคือกริชคู่ ส่วนคามินเงียบขรึม เลือดเย็น แต่ก็โหดเหี้ยมสุด ๆ มีอาวุธเป็นขวาน สับแหลก

คเชนทร์และคามินบุกเข้ามาลอบฆ่าวาสินในวังด้วยความแค้น แต่กลับได้เจอกับ ดารัณและราชิตแทน ดารัณรีบเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส หลอกใช้คเชนทร์และคามินให้ไปจัดการฆ่าพชรแทนราชิตทันที

---@@@---

ลำธารเป็นห่วงพชร จึงทำน้ำสมุนไพรมาให้พชรดื่มแก้เครียด พชรพยายามจะปรับความเข้าใจกับลำธาร แต่ลำธารยังทำใจแข็งเดินหนีกลับออกไปจากเรือนพักพชร โดยไม่รู้ว่า ภูษณะบังเอิญผ่านมาเห็นพชรสารภาพรักลำธารเข้าพอดี

ภูษณะโกรธมากท้าพชรประลองดาบ ภูษณะฟาดฟันดาบใส่พชรไม่ยั้ง พชรเอาแต่ตั้งรับไม่ยอมสู้ ธามกับบาจรีย์เดินผ่านมาเห็น พากันแปลกใจ แล้วพชรก็ทนไม่ไหวโยนดาบทิ้งลงกับพื้น ภูษณะเกือบยั้งมือไม่ทัน คมดาบห่างจากใบหน้าพชรนิดเดียวเท่านั้น

“หยิบดาบขึ้นมาสิวะ”

“ไม่ นายคงไม่ได้อยากประดาบกับฉัน จริง ๆ มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ”

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 30 กันยายน 2553
“เหมยสวีทกิ๊กหนุ่มไฮโซ ควงกันจองเรือนหอ” แต้วอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้านี้ เหมยเดินออกมาแต้วจึงส่งให้เหมยดู เหมย หงุดหงิดที่นักข่าวเต้าข่าวโดยที่ไม่เป็นความจริงสักนิด เพราะเขากับไม้เป็นพี่น้องกัน แต้วพยายามบอกว่าไม้ชอบเหมย แต่เหมยยืนยันว่าไม้เป็นน้องชาย แต้วบอกว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เหมยชะงักเพราะจริงอย่างที่แต้วพูด แต่ยังไงเหมยก็ยืนยันว่าเหมยไม่เคยคิดกับไม้แบบนั้น และไม่มีวันคิดด้วย เหมยหันหน้าจะเดินออกจากบ้าน ก็ชะงักเมื่อเห็นไม้ยืนจ้องเธออยู่ เหมยและไม้มองหน้ากัน คราวนี้ทั้งสองคนมีเรื่องต้องคุยกันซะแล้ว

---@@@---

ด้านปยุตรอ่านข่าวและภาพที่ลงหนังสือ ปยุตรรู้ดีว่าไม้คิดยังไงกับเหมย และแม้ว่าข่าวที่ออกมาจะเป็นเพียงการขายข่าว แต่ความรักที่ไม้มีให้เหมยมันเป็นเรื่องจริงที่ปยุตรอดหึงไม่ได้

---@@@---

เหมยกับไม้นั่งคุยกันแบบเปิดใจ เหมย บอกว่าไม่ได้คิดอะไรนอกจากเห็นไม้เป็นน้องชายและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

“เพราะพี่เหมยมีพี่ยุตรใช่มั้ย พี่เหมย ถึงรักผมไม่ได้”

“ฟังพี่นะไม้ ถึงพี่ยุตรเขาจะไม่เข้ามาในชีวิตพี่ พี่ก็ไม่มีวันคิดแบบนั้นกับไม้ ลองกลับไปคิดดูดี ๆ ว่าความรู้สึกที่ไม้มีให้กับพี่ มันใช่ความรักแบบหนุ่มสาวหรือเปล่า หรือจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ความผูกพันที่ไม้เข้าใจผิดไปเอง”

ไม้พูดไม่ออก เหมยเสยผมไม้ปลอบอย่างเอ็นดู “เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมนะ”

ไม้มองหน้าเหมย เหมยยิ้มให้อย่างจริงใจและว่าสักวันไม้จะต้องเจอคนที่ใช่ เหมยจับมือไม้ให้กำลังใจ ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินออกไป แต่ไม้เรียกไว้ก่อนจะบอกว่าเขาจะพยายามทำอย่างที่เหมยบอก แม้ว่าจะยากก็ตาม เหมยยิ้มกว้าง ทั้งคู่เหลือเพียงความบริสุทธิ์ใจให้แก่กัน เหมยโผเข้าไปกอดน้องชายอย่างสุดรัก ไม้กอดตอบ แต่จังหวะนั้นปยุตรเดินเข้ามาเห็นช็อตเด็ดพอดี แอบจี๊ดในใจ!!! เหมยหันมาเห็นปยุตร จึงผละตัวออกจากไม้

“ผมมารับเหมยไปกองถ่าย ป่านนี้นักข่าวคงรอเหมยอยู่เต็มกองแล้วล่ะ เหมยสูดลมหายใจหนัก ๆ พร้อมเจอกับปัญหา เหมยนำเดินออกไป ปยุตรมองไม้อย่างข้องใจนิด ๆ แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่า ปยุตรจึงไม่พูดอะไร และจะเดินออกไป แต่ปยุตรต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงไม้ดังขึ้นมา

“ฝากดูแลพี่เหมยแทนผมด้วยนะพี่ยุตร” ปยุตรหันกลับมา ไม้ยิ้มน้อย ๆ ให้ ปยุตรยิ้ม ออกมาได้บ้างเหมือนกัน

---@@@---

ป้องนั่งสับสนจมกับความคิดของตัวเอง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจโทรฯ หากันต์ กันต์ซึ่งกำลังดูแลแม่กุ้ง เห็นป้องโทรฯ เข้ามาก็ไม่อยากรับเพราะยังน้อยใจเรื่องที่ป้องแถลงข่าวว่าไม่ได้คิดอะไรกับกันต์ กันต์เดินออกจากห้องมารับโทรศัพท์ เสียงกันต์เรียบนิ่งพร้อมรับฟังทุกอย่าง ป้องไม่ได้บอกอะไรมากแค่บอกว่าตอนเย็นจะไปหาที่โรงพยาบาล หลังวางสาย ทั้งคู่ต่างก็หนักใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

---@@@---

เหมยตอบคำถามนักข่าวตามความจริงว่าบ้านที่จะซื้อ เธอและไม้น้องชายตั้งใจเพื่อเป็นอนาคตให้น้อง ๆ และครอบครัว ทำให้เหมย ได้คะแนนไปอีกในสายตานักข่าว น้ำหวานเห็นแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้ มดแดงพอจะรู้ว่างานนี้เป็นฝีมือเต้าข่าวของน้ำหวานจึงพูดแดก น้ำหวาน ไม่ยอมแว้ดใส่ มดแดงอารมณ์เสียเดินปลีกตัวไป น้ำหวานเดินมาประจันหน้ากับเหมย

“สงครามระหว่างเธอกับชั้นมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เตรียมตัวไว้ได้เลย!!!” พูดจบก็สะบัดเดินออกไปทันที

เหมยอึ้งไป รู้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือน้ำหวานแน่ สุดจะเหนื่อยหน่ายใจ

---@@@---

นักข่าวทยอยกันกลับหลังสัมภาษณ์เสร็จ น้ำหวานเห็นปยุตรก็ปรี่เข้ามาทักเสียงหวาน ปยุตรทำหน้าเซ็ง ๆ ไม่อยากเสวนาด้วย น้ำหวานแหย่เรื่องเหมยกับไมค์ที่ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ ปยุตรบอกเขารู้ดีว่าเหมยเป็นคนอย่างไร น้ำหวานส่งสายตาหวานเชื่อมให้ปยุตรอย่างเปิดเผย ทันใดนั้นไฟที่เซตฉากก็ล้มคว่ำลงมาตรงหน้าน้ำหวาน ด้วยความตั้งใจของใครคนหนึ่ง ปยุตรคว้าตัวน้ำหวานหลบ ไฟเฉียดน้ำหวานไปนิดเดียว แต่ขาไฟก็ล้มมากระแทกแขนปยุตรที่เอาตัวบังน้ำหวานอยู่

หน้าของปยุตรแนบกับหน้าน้ำหวาน น้ำหวานรู้สึกอบอุ่นจากสัมผัสของปยุตรขึ้นมาในฉับพลัน เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยยกไฟขึ้นจากตัวปยุตร ทีมไฟขอโทษขอโพยและรีบยกไฟออกไปจากตรงนั้น น้ำหวานกล่าวขอบคุณปยุตรและมองอย่าง ชื่นชม เหมยเดินออกมาจากห้องแต่งตัว และต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำหวานยืนอยู่กับปยุตร

น้ำหวานเหลือบเห็นเหมยจึงจงใจแกล้งโดยการจับแขนปยุตรด้วยความเป็นห่วง ปยุตรว่าไม่เป็นไร น้ำหวานทำทีจะเดินไปแต่แกล้งเดินล้ม ปยุตรต้องเข้าไปประคองอีกครั้ง คราวนี้น้ำหวาน กอดซบอกปยุตรให้เหมยเห็นจัง ๆ น้ำหวาน ส่งสายตาท้ารบ เหมยอึ้งไป ก้มหน้าพยายามไม่คิดมาก แต่ก็ความน้อยใจมันมีมากกว่า น้ำตาเอ่อ ขึ้นมาทันที เหมยรีบปาดน้ำตา และเดินเลี่ยงไปทางอื่น น้ำหวานยิ้มสะใจ ก่อนที่จะหันมองตาม ปยุตรอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แปลกไป

ชายลึกลับคนที่ตั้งใจทำไฟล้มใส่น้ำหวาน มองเหตุการณ์ที่ไม่เป็นอย่างที่ใจหวังด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านโกรธแค้น

---@@@---

ตอนที่ 21

ไม้นั่งซึมอยู่หน้าบ้าน แต้วเดินออกมา เห็นเลยลงนั่งปลอบไม้

“ถ้าเรารักใครสักคน แล้วไม่ได้รับความรักนั้นตอบ มันก็เจ็บแบบนี้ล่ะ แต่เราก็ยังมีความสุขที่ได้รักเขาไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่ามันคงต้องยอมเป็นทุกข์ที่ต้องรอว่าเมื่อไหร่เค้าจะรักเรา”

ไม้ยิ้มเข้าใจที่แต้วพูดหมดทุกอย่างแล้วแซวแต้ว “แก่แดด พูดยังกับเข้าใจความรักได้ดีนักนี่” แต้วหัวเราะเบา ๆ “ก็แต้วเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน” ไม้ชะงักกึก ลึก ๆ แล้วไม้ก็รู้ว่าแต้วรักเขา แต่ไม้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนที่ เขาจะรักแต้วได้เหมือนอย่างที่เขารักเหมย แต่อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีแต้วคอยนั่งเป็นเพื่อนยามที่เขาทุกข์ใจ

---@@@---

ที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล ป้องบอกกันต์ว่าคุณพิงค์เรียกเข้าไปพบ เตือนให้รักษา ภาพลักษณ์ เพราะกลัวคนดูรับไม่ได้ กันต์เห็นใจป้องจึงขอยุติความสัมพันธ์ กันต์ค่อย ๆ เดินจากไป แต่ป้องคว้ามือเอาไว้ ป้องบีบมือกันต์แน่น “ผมไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น และผมอยากให้คุณอยู่ข้าง ๆ ผมแบบนี้” กันต์ยิ้มปนเศร้า เหมยที่ยืนมองทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ รู้สึกเข้าใจ จึงเดินเข้าไปหาน้องชาย

“พี่ไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างกันต์กับคุณป้อง ความจริงมันเป็นยังไง แต่พี่แค่อยากจะบอกว่า ความสุขของคนเราคือการได้ยืนอยู่บนความจริง ไม่โกหกคนอื่น และที่สำคัญต้องไม่โกหกตัวเอง” เหมยพูดเหมือนสะท้อนใจเรื่องของตนเอง กันต์และป้องมองหน้ากันรู้สึกผิดที่หลอกตัวเอง “บางครั้งความจริงมันก็ไม่ได้มาพร้อมกับการยอมรับ แต่จำไว้นะความจริงมันมาพร้อมกับความสุขเสมอ เชื่อพี่นะกันต์” เหมยพูดจบก็ให้กำลังใจกับทั้งสองคน ด้วยการแตะบ่า แล้วก็เดินไปทางห้องคนไข้แม่กุ้ง ทั้งป้องและกันต์ยังยืนนิ่งทบทวนสิ่งที่เหมยพูด เพียงชั่วครู่ ทั้งสองมองหน้ากัน แต่คราวนี้เห็นประกายในแววตาของทั้งคู่เปล่งออกมาอย่างชัดเจน

---@@@---

ในห้องพัก เหมยป้อนข้าวแม่กุ้ง แต่ หน้าตามีแววกังวล ยังคิดวนเวียนถึงเรื่องปยุตร และน้ำหวาน แม่กุ้งจับสังเกตได้ เหมยสารภาพ ทั้งน้ำตา “เหมยไม่เข้าใจคุณยุตรเค้าเลยค่ะแม่ เหมยเห็นว่าเขาจับมือถือแขนกับน้ำหวาน แต่พออยู่ต่อหน้าเหมย เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมยไม่เข้าใจจริง ๆ”

“ไม่เข้าใจ ก็ต้องหาทางทำความเข้าใจ ให้เร็วที่สุด ความรักน่ะถือทิฐิไม่ได้นะลูก ถ้าเหมยรักคุณยุตร เหมยก็ต้องเปิดใจกับเขา” เหมยพยักหน้ารับฟังสิ่งที่แม่กุ้งสอน แต่ลึก ๆแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะเคลียร์กับปยุตรได้จริงหรือ

---@@@---

ที่คอนโดฯ น้ำหวานนั่งอยู่บนโซฟา นึกถึงเหตุการณ์ที่ปยุตรช่วยเธอไว้ น้ำหวานยิ้มละไม สัมผัสอันอบอุ่นแบบนั้น เธอไม่เคยได้ รับจากใครนอกจากความรู้สึกที่ได้จากปยุตร น้ำหวานตัดสินใจกดโทรฯหาปยุตรทันที ปยุตรที่กำลังนั่งเขียนข่าวอยู่รับสาย น้ำหวานขอบคุณปยุตรยกใหญ่พร้อมหยอดคำหวาน ปยุตรชะงักไป ฝ่ายเหมยหยิบมือถือออกมากดโทรฯหา ปยุตร แต่เป็นสายเรียกซ้อน ปยุตรมองมือถือเห็นว่าเป็นสายเรียกซ้อนจากเหมยก็จะหา ทางวางสายจากน้ำหวาน แต่ไม่มีจังหวะ ปยุตร พะวงกับสายของเหมยตลอดเวลา ฝั่งเหมยก็ถือสายรออยู่อย่างอดทน ปยุตรตัดบทจากน้ำหวานจังหวะที่ปยุตรตัดสายน้ำหวานทิ้ง เหมยก็วาง สายไป แล้วก็ปิดเครื่อง “ไม่คุยก็ไม่ต้องคุย คนบ้า” ปยุตรโทรฯกลับไปหาเหมยแต่เหมยปิดเครื่องไปแล้ว ทางฝั่งน้ำหวานที่ถูกปยุตรตัด สายทิ้ง ก็เริ่มหงุดหงิด “คุณยุตร น้ำหวานจะ ทำให้คุณเห็นว่าน้ำหวานมีดีกว่านังเหมยเป็นไหน ๆ” ดวงตาน้ำหวานวาวโรจน์ ครั้งนี้เธออยากได้ปยุตรจริง ๆ

---@@@---

ที่วัด พีทและรมมี่มาไหว้พระด้วยท่า ทีสบายใจ รมมี่ไม่ได้มีท่าทางเปรี้ยวฉูดฉาดเหมือนเดิม จากนั้นทั้งคู่ไปให้อาหารปลากันต่อด้วยท่าทางนิ่ง ๆ แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ให้อาหารปลาเสร็จแล้วเราไปนมัสการ หลวงพ่อกันนะคะ ฉันอยากให้ท่านช่วยดูฤกษ์ให้”

“ฤกษ์อะไร?”

“ก็งานแต่งงานของเราน่ะสิคะ”

พีทอ้าปากค้างแบบคาดไม่ถึง รมมี่ถามเย้า ๆ

“หรือจะไม่แต่ง?”

“แต่งสิ ผมอยากแต่งงานกับคุณ ไชโย” พีทตะโกนเสียงดัง พีทมองหน้ารมมี่แล้วยิ้มกว้าง สองหนุ่มสาวประสานสายตากัน ก่อนหันไปให้อาหารปลาต่ออย่างมีความสุข

---@@@---

รมมี่กับพีทนัดเหมยกับปยุตรออกมาทานข้าวนอกบ้าน เพื่อบอกข่าวดี เหมยยังงอนปยุตรอยู่เลยไม่ค่อยสบตา

“คือว่า..ผมกับรมมี่จะแต่งงานกัน”

เหมยกับปยุตรประหลาดใจไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ เหมยยิ้มกว้างแสดงความยินดีกับ ทั้งคู่

“ดีใจด้วยนะรมมี่ คุณพีท”

“ขอแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าบ่าวครับ”

“โห ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก ต้องขอดูพฤติกรรมก่อน เรื่องเก่าชั้นไม่สน แต่ถ้ามีเรื่องใหม่มาชั้นเอาตายแน่”

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 30 กันยายน 2553
“ชุมศรีเอ๊ย...พี่มีเธอเป็นน้องอยู่คนเดียว พี่ก็ต้องรักต้องห่วงเธอ...ฉะนั้นพี่ไม่มีวันยอมให้น้องต้องไปทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อย่างนั้นหรอก”

“แต่..คุณประจวบ”

“อย่าห่วงเลย...พี่ไม่ปล่อยให้ว่าที่น้องเขยไปเสี่ยงตายเหมือนกันน่า”

ชุมศรีมองดูพี่ ซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล ตื้นตัน...ประจวบเดินเข้ามา ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

“พี่ชวนเรียกผมเหรอครับ”

“อืม...ชุมศรีออกไปข้างนอกก่อนไป ผู้ชายเขาจะคุยกัน”

ชุมศรีออกไป ประจวบมองตาม ชวนหยิบซองเงินในลิ้นชักออกมา แล้วยื่นให้ประจวบ

“เอาเงินนี่ไปใช้หนี้ซะ”

ประจวบอึ้ง ระคนตกใจ “แต่...”

ชวนยัดซองเงินใส่มือประจวบ “ไม่ต้องแต่ ฉันไม่ได้ให้เงินนายไปเปล่า ๆ ฉันมีงานให้นายทำด้วย”

“งานอะไรครับ”

“อืมมม...พี่จะให้นายทำงานในหน้าที่ดูแลผู้หญิงที่น่ารัก ๆ ซักคนนึง นายจะทำได้มั้ย”

“ดูแลผู้หญิง!! งานอื่นไม่ได้เหรอครับ ผม...”

“ทำไม กลัวอะไร ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือชุมศรีน้องพี่เองล่ะ”

“พี่ชวน...”

“นายพอจะคุ้มครองชุมศรีให้เขาอยู่ดีมีสุข และซื่อสัตย์กับเค้าไปตลอดได้มั้ย”

“ได้ครับ” ประจวบรับปากอย่างมั่นใจ

“ถ้าอย่างนั้น ก็รีบเอาเงินไปใช้หนี้ซะ แล้วรีบกลับมาที่นี่นะน้องเขย”

ประจวบยิ้มตื้นตันกับความมีน้ำใจของสองพี่น้องคู่นี้

---@@@---

วันต่อมาประจักษ์ประคองวนิดา สีหน้าดีขึ้นแล้ว เข้ามาในบ้านมหศักดิ์ ป้าทอง จวง ตามมา

“ระหว่างที่ฉันไปทำงาน เธอต้องทานข้าว ทานยาให้ตรงเวลา ถ้ารู้สึกไม่ดี รีบโทรฯ หาฉันทันที”

ป้าทองกับจวงมองประจักษ์กับวนิดาแล้วอมยิ้ม

“ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ ฉันดูแลตัวเองได้ แผลที่ขาแค่นี้ ยังไกลหัวใจอีกเยอะ”

“ไกลหัวใจเธอ แต่ใกล้หัวใจฉัน...ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา ใจฉันคงทนไม่ได้”

“คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มีป้าทองกับจวงคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ”

“มันก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ใครจะดูแลเธอได้ดีเท่าฉัน”

ประจักษ์มองวนิดาแววตาเป็นห่วงอย่างจริงจังจนวนิดาพูดไม่ออก ป้าทองกับจวงหัวเราะคิกคักเขินอายแทน ทำเอาเสียบรรยากาศ ประจักษ์กับวนิดาได้ยินหันไปมอง ป้าทองกับจวงรีบปิดปากแล้วอมยิ้มแทน ประจักษ์ผละออกห่างวนิดา

“ฉันไปนะ แล้วจะรีบกลับมา”

“ค่ะ”

ประจักษ์ยิ้มแล้วเดินออกไป วนิดายิ้มค้าง เห็นป้าทองกับจวงมองอยู่ วนิดาเขินอายหน้าแดง...ประจักษ์เดินออกมาเจอกับพิสมัยที่เดินออกมา

“เย็นนี้เธอว่างมั้ย ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”

พิสมัยมองประจักษ์นิ่งอึ้ง เพราะรู้ว่าประจักษ์จะคุยเรื่องอะไร ถึงตัวเย็นใจสั่น แต่พยายามไม่แสดงออก พิสมัยถามจะคุยเรื่องอะไร ประจักษ์บอกจะคุยเรื่องของเรา พิสมัยใจเสียแต่ก็รับปาก

---@@@---

ปราณีเปิดประตูเห็นพิสมัยร้องไห้ฟูมฟายก็ตกใจ ถามว่าเป็นอะไร พิสมัยโผเข้ากอดปราณี

“ปราณีช่วยฉันด้วย คุณพี่ไม่รักฉันแล้ว คุณพี่ไม่รักฉัน ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี ฮือฮือ”

“ใจเย็น ๆ ก่อนพิสมัย เธอพูดอะไรของเธอ คุณใหญ่จะไม่รักเธอได้ยังไง”

พิสมัยเอาแต่ร้องไห้ ปราณีดึงพิสมัยออกมามอง

“ตอนที่คุณพี่ ฉัน แล้วก็นังวนิดาติดอยู่ในวิหารพระฯ คุณพี่ไม่สนใจ ไม่ห่วงฉัน คุณพี่เอาใจแต่นังวนิดา ดูแลมันจนออกนอกหน้า ทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน สิ่งที่คุณพี่ทำมันทำให้ฉันมั่นใจว่าคุณพี่รักนังวนิดา...เย็นนี้คุณพี่นัดฉันให้ออกไปพบ คุณพี่บอกว่าจะคุยเรื่องของเรา คุณพี่ต้องบอกเลิกฉันแน่ ๆ ปราณี ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่อยากเสียคุณพี่ไป ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณพี่ ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันอยู่ไม่ได้” พิสมัยร้องไห้หนักมาก

“พิสมัย! ตั้งสติแล้วฟังฉัน...เธอจะอ่อน แอแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเธออ่อนแอ เธอจะเสียคุณใหญ่ให้นังวนิดา เธอจะยอมแพ้มันเหรอพิสมัย!”

พิสมัยนิ่งคิดตามที่ปราณีพูด “แล้วเธอ จะให้ฉันทำยังไง?” ปราณียิ้มร้าย มีแผนการ พิสมัยมองสงสัย

---@@@---

อำไพนั่งคุยอยู่กับวนิดา ไม่นานมนตรีวิ่งหน้าตาตื่นเต้นดีใจเข้ามา วนิดากับอำไพหันไปมองมนตรีที่ตรงปรี่เข้ามาจับมือวนิดาแน่น วนิดาชะงัก อำไพตกใจ

“พอรู้ว่าคุณนิดกลับมา ผมก็รีบมาหาคุณ นิดทันทีเลย ไม่ได้เจอหน้าคุณนิดตั้งหลายวัน ผมจะขาดใจตายให้ได้ ผมคิดถึงคุณนิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”

“หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีด้วยรึเปล่าคะ”

มนตรีเคลิ้ม “ครับ...เย้ยย!! นั่นมันคนตายแล้ว” พอนึกได้หันตาเขียวใส่อำไพ

“ถ้าคุณยังไม่ปล่อยมือคุณนิด คุณประจักษ์ ได้เล่นงานคุณตายแน่”

มนตรีผงะ ตกใจ รีบปล่อยมือจากวนิดาแล้วยิ้มแหย ๆ

“ขอโทษครับ ผมลืมตัว ดีใจมากไปหน่อย วันนี้คุณนิดว่างมั้ยครับ...ผมอยากชวนไปดูหนัง”

“ขอบคุณนะคะที่ชวน แต่นิดไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ”

“ไม่สบาย!! คุณนิดไม่สบายเป็นอะไร ครับ แล้วไปหาหมอรึยัง”

อำไพทนไม่ไหว “โอ๊ย! ถามไม่หยุดแบบ นี้ คุณนิดจะตอบได้ยังไง”

มนตรีเงียบ วนิดาอมยิ้มขำ ๆ กับท่าทางของมนตรีกับอำไพ

“คุณนิดหกล้มตอนที่ไปบางปะอิน หยุด!..ฟังฉันพูดให้จบก่อนแล้วค่อยถาม ตอนนี้อาการคุณนิดดีขึ้นแล้ว แต่ยังไม่สมควรออกไปไหน เอ้า อยากถามอะไรก็ถาม”

มนตรีอึ้งเพราะไม่มีอะไรจะถามแล้ว “ขอให้หายเร็ว ๆ นะครับ น่าเสียดายกว่าผมจะได้ตั๋วหนังรอบแรกมา เลือดตาแทบกระเด็น”

“งั้นให้คุณจี๊ดไปดูหนังเป็นเพื่อนคุณมนตรี สิคะ”

อำไพกับมนตรีตกใจ

“จี๊ดเหรอคะ?”

มนตรีรีบปฏิเสธจนดูเหมือนรังเกียจ “โอ๊ย ไม่เอาหรอกครับ”

อำไพหมั่นไส้ ดึงตั๋วมาจากมือมนตรีทั้งสองใบ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปดู จี๊ดไปนะคะคุณนิด”

อำไพลุกเดินออกไป มนตรีเหวอ หันไปตะโกนไล่หลังอำไพ

“เฮ้ยได้ไง!!...ผมไปก่อนนะครับ” มนตรีบอกวนิดา แล้วรีบวิ่งตามอำไพไป

---@@@---

ในที่สุดมนตรีกับอำไพก็ต้องดูหนังด้วยกัน อำไพกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะดูเพราะเป็นหนังผี ยกมือขึ้นมาปิดตา แต่ก็กางนิ้วออกดู เสียงดังโครม! ออกมาจากในหนัง อำไพกรี๊ดลั่น มนตรีสะดุ้งเฮือก! มนตรีกระซิบ “นี่ เบา ๆ หน่อยได้มั้ย อายคนอื่นเค้า”

“ก็มันน่ากลัวนี่นา... นั่นไง ๆ ผีมาแล้ว”

อำไพจิกแขนมนตรีแน่นโดยไม่ตั้งใจ มนตรีสะดุ้งโหยง ร้อง โอ๊ย!

“กลัวเหมือนกันเหรอ”

“กลัวบ้าอะไร เธอจิกแขนฉันอยู่”

อำไพก้มมองเห็น ตกใจ รีบปล่อย ยิ้มแหย ๆ มนตรีหัวเสีย อำไพหันไปดูหนังเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง อำไพกรี๊ดลั่นพร้อมจิกแขนมนตรีซ้ำรอยเดิม มนตรีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด... หลังดูหนังจบ อำไพยังตื่นเต้นกับหนังที่ดูเมื่อกี๊

“หนังอะไรก็ไม่รู้ทั้งสนุกทั้งน่ากลัว วันหลังถ้ามีหนังสนุก ๆ แบบนี้อีก บอกกันบ้างนะ”

มนตรีไม่ตอบ เซ็ง อำไพหันไปมองแปลกใจ

“ทำไมคุณมนตรีทำหน้าแบบนี้ หนังไม่สนุกเหรอ”

“จะสนุกได้ยังไง มีคนมาจิกแขน ร้องกรี๊ด ๆ ๆ อยู่ข้างหู ฉันเจ็บไปหมดทั้งแขนแล้วเห็นมั้ย”

อำไพก้มมองเห็นแขนมนตรีเป็นรอยแดง อำไพตกใจ

“อุ๊ย! ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

มนตรีส่ายหน้าเซ็ง เดินออกไป อำไพจ๋อย รู้สึกผิด

---@@@---

วนิดากำลังทานข้าวอยู่ ป้าทองนั่งอยู่ ใกล้ ๆ ไม่นานถมเข้ามาบอกว่ามีโทรศัพท์ถึงวนิดา ป้าทองกับวนิดามองหน้ากันด้วยความ สงสัย

“จากใคร?”

“ไม่ใช่ธุระที่ฉันต้องถาม”

ถมสะบัดก้นเดินออกไป ป้าทองขมุบขมิบปากด่า วนิดาแปลกใจว่าใครโทรฯ หาเธอ... วนิดารับสายโทรศัพท์สีหน้าแปลกใจ

“คุณพิสมัย??”

ป้าทองยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินชื่อพิสมัยก็สงสัย

“ได้สิคะ คุณต้องการพบฉันที่ไหน... ตกลงค่ะ”


วนิดาครุ่นคิดสงสัยว่าพิสมัยนัดเธอออกไปทำไม?

---@@@---

ประจักษ์เดินเข้ามาเห็นพิสมัยยืนรออยู่ที่ในสวนหย่อม ประจักษ์หน้าเครียดเดินมาหาพิสมัย ทันทีที่พิสมัยหันมาเห็นประจักษ์ ก็แกล้งตีหน้าเศร้าเสียใจ

“น้องขอโทษที่น้องทำตัวไม่ดีกับคุณพี่แล้วก็วนิดาตอนที่เราติดอยู่ในวิหารพระด้วยกัน”

พิสมัยรีบพูดต่อ เข้ามาจับมือประจักษ์ น้ำตารื้นขึ้นมา สีหน้าเศร้าสร้อยดูน่าสงสาร

“คุณพี่อย่าโกรธน้องนะคะ ที่น้องทำไป เพราะน้องกลัว กลัวจะออกไปจากที่นั่นไม่ได้ และที่สำคัญ...น้องกลัวว่าคุณพี่จะทิ้งน้องไปหา วนิดา”

ประจักษ์ชะงักถูกจี้ใจดำ น้ำตาพิสมัยไหลออกมาพอดี

“ยิ่งเห็นคุณพี่เอาใจใส่ ดูแล เป็นห่วงวนิดา ทำเอาน้องทนไม่ได้ หัวใจของน้องมันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนทำให้น้องแสดงความก้าวร้าวออกไป คุณพี่อภัยให้น้องนะคะ” พิสมัยแกล้งร้องไห้ แล้วทรุดเข่าลงกับพื้นทำท่าจะกราบเท้าประจักษ์ ประจักษ์ตกใจ รีบย่อตัวลงมาจับไหล่พิสมัย

“พิสมัย...เธอจะทำอะไร”

“น้องทราบดีว่าคุณพี่คงไม่หายโกรธน้องง่าย ๆ น้องก็เลยจะแสดงความบริสุทธิ์ใจให้คุณพี่เห็นจะให้น้องไปกราบขอโทษวนิดาด้วยอีกคน น้องก็ยอม”

ประจักษ์พูดไม่ออกเมื่อพิสมัยมาไม้นี้ ประจักษ์ดึงพิสมัยให้ลุกขึ้นยืน

“เธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ ฉันกับนิดไม่โกรธเธอหรอก”

“จริงนะคะคุณพี่ คุณพี่กับวนิดาไม่โกรธน้องจริง ๆ นะคะ”

ประจักษ์พยักหน้า พิสมัยโผกอดประจักษ์แน่นด้วยความดีใจ หน้าเปลี่ยนเป็นร้ายทันที ประจักษ์ยิ่งเครียดหนัก เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย พิสมัยผละออกมามองประจักษ์ด้วยสีหน้าสำนึกผิด พิสมัยเน้นน้ำเสียงย้ำ “คุณพี่ยังจำสัญญาที่ว่าจะแต่งงานกับน้องคนเดียวได้มั้ยคะ”

ประจักษ์ชะงัก กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจ “จำได้สิ”

“ชายชาติทหารอย่างคุณพี่รักษาคำมั่นสัญญายิ่งชีพ น้องจะรอวันนั้น วันที่เราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ...ขอให้คุณพี่รู้ไว้ นะคะ ว่าน้องเป็นคนเดียวที่รักคุณพี่ด้วยหัวใจที่แท้จริง ไม่มีผู้หญิงคนไหน ที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณพี่ได้เท่าน้องอีกแล้ว”

พิสมัยกอดประจักษ์แน่นด้วยความรัก ประจักษ์พูดอะไรไม่ออกอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก หลุบตามองพิสมัยลำบากใจ...วนิดาเห็นประจักษ์กับพิสมัยกอดกัน รู้สึกเจ็บปวด พิสมัยหันมาเห็นวนิดายืนอยู่ ยิ้มเยาะเย้ยวนิดาอย่างผู้ชนะ วนิดาเศร้าและเสียใจสุด ๆ

---@@@---

วนิดานั่งเศร้าอยู่ที่ศาลาบ้านมหศักดิ์ ยังอึ้ง ๆ งง ๆ รู้สึกเสียใจและเจ็บปวดไม่หาย ประจักษ์เดินหน้าเครียดมาหยุดยืน โดยไม่รู้ว่า วนิดานั่งอยู่ที่ม้านั่งหลังพุ่มไม้และบังเอิญหันมาเจอหน้ากัน ชะงักกันไป วนิดาลุกขึ้นยืน ทั้งคู่ดูเก้อ ๆ เขิน ๆ

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ค่ะ เอ่อ...แต่ฉันกำลังจะไปนอนแล้ว”

วนิดาหันหลังจะเดินไป ประจักษ์รีบเรียกไว้

“นิด” ประจักษ์มองสบตา รู้สึกสับสน เงียบไปนาน จนวนิดาแปลกใจ

“คุณมีอะไรจะพูดเหรอคะ”

“เอ้อ...ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

วนิดาเดินออกไปตามทาง เจอพิสมัยยืนรออยู่มุมหนึ่ง วนิดาชะงัก ไม่อยากมีเรื่องจะเดินหนี

“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ”

“ถ้าเป็นเรื่องคุณประจักษ์ ขอให้คุณสบายใจว่าฉันจะไม่มีวันเป็นมือที่สามมาจากคุณ ถ้าทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ฉันจะหย่ากับคุณประจักษ์ทันที และคุณประจักษ์ก็จะไม่มีวันได้พบหน้าฉันอีก”

“รู้เองอย่างนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูด จำคำพูดของเธอวันนี้เอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน วนิดา” พิสมัยจิกตามองวนิดาอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเดินออกไป วนิดารู้สึกเศร้าขึ้นมา

---@@@---

เช้าวันใหม่ น้อมหัวเราะเสียงดังลั่นมีความสุขสุด ๆ ในมือมีจดหมายจากประจวบ

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ตาเล็กเขียนมาบอกว่าภายในอาทิตย์นี้จะกลับมาใช้หนี้นายดาว”

น้อมหันไปยิ้มร่ากับพิสมัยและถม

“นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเลยนะคะคุณแม่”

“ใช่ลูก แม่ดีใจจริง ๆ นังวนิดามันจะได้ขนข้าวขนของออกไปจากบ้านเราสักที”

น้อมนิ่งไป แล้วก็นึกอะไรชั่ว ๆ ออกยิ้มมุมปาก หันไปมองพิสมัยกับถมอย่างมีแผนการ...เมื่อวนิดากับประจักษ์กลับมาด้วยกัน จากการที่วนิดาไปไหว้กระดูกย่ามณฑาที่วัด ระหว่างนั้นน้อม พิสมัยเดินออกมา พิสมัยมองวนิดากับประจักษ์ไม่พอใจ

“พ่อใหญ่...ทำไมถึงมาด้วยกัน ไปไหนกันมาเหรอ”

“ไปไหว้คุณป้ามณฑามาครับ”

“แหม...น่าเสียดายที่ฉันมาช้าไปหน่อย ไม่งั้นแกจะได้ไปบอกข่าวสำคัญกับกระดูกย่าของแก”

ประจักษ์กับวนิดามองน้อมสงสัย

“คุณแม่พูดอะไร?”

“คุณเล็กเขียนจดหมายมาบอกว่าจะกลับมาภายในอาทิตย์นี้ค่ะ”

วนิดา ประจักษ์ อึ้ง ตกใจ มองหน้ากันเพราะมันเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก

“ยินดีด้วยนะวนิดา เธอจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รักอีกต่อไปแล้ว”

พิสมัยปรายตามองประจักษ์ ประจักษ์มองวนิดาไม่วางตา วนิดาพูดอะไรไม่ออก

“พ่อใหญ่ เงียบทำไมล่ะลูก ดีใจจนพูดไม่ออกเหรอที่น้องจะกลับมา”

ประจักษ์ยังเงียบ พิสมัยเข้ามาควงแขนประจักษ์แนบแน่น

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 29 กันยายน 2553
“ขอให้คลอดปลอดภัยนะจ๊ะ”

จึเนะโกะกล่าวแล้วหันกายกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่...โอชินรับเอาผ้าปูพื้นมาถือไว้กล่าวกับสามีว่า

“แม้แต่พี่จึเนะก็ยังเป็นห่วงเป็นใยฉัน ฉันจะต้องคลอดเองให้ได้โดยจะไม่รบกวนผู้อื่นให้เดือดร้อนเลย”

“เว้นแต่ฉันคนเดียวนะโอชิน” ริวโซ่เติม ประโยคของภรรยาพลางยิ้มให้อย่างมั่นใจและหนักแน่น

---@@@---

ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ถึงกาลกำหนดคลอดของโอชิน นาทีแห่งการคลอดชีวิตใหม่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่วันนี้ก็วันพรุ่งนี้ แต่โอชินมิได้คำนึงยังคงช่วยสามีเก็บเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ในนา...อันว่าเรานี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเป็นลูกสาวของแม่ที่เป็นชาวนาผู้ยากจน แม่ซึ่งเคยคลอดในกลางนามาแล้ว...ทำไมเราจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้...โอชินคะนึงไปในระหว่างทำงาน

ผืนนามีน้ำเจิ่งนองด้วยฝนตกชุก แต่ข้าวสาลีก็งอกงามเก็บเกี่ยวไปแทบจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยด้วยความปราโมทย์ในผลผลิตที่แรงแห่งสองมือกระทำมันขึ้นมา...เขากับเธอช่วยกันเกี่ยวตลอดทั้งวัน โอชินก้มหลังตัดต้นข้าวด้วยเคียวด้ามสั้น ก้มหลังได้อย่างลำบากเพราะท้องอันใหญ่โต การทำงานจึงล้าหลังริวโซ่ ชั่วระยะไม่นานนักเขาก็รุดหน้าไปกว่าเธอทิ้งเธอไว้ข้างหลัง แต่ริวโซ่ก็มิได้ลืมว่าโอชินตก อยู่ในสภาวะใดแล้ว บ่อยครั้งเขาจะเหลียวกลับมาดูเมียข้างหลัง...บางครั้งเคียวหลุดจากมือ หลังจากอัตราความรวดเร็วของการเกี่ยวข้าวนั้นช้าลง ๆ

ริวโซ่จะพลอยหยุดระงับการทำงานของเขาไปด้วย ยืนมองด้วยความห่วงใย จนกระทั่ง โอชินก้มไปจับเคียวขึ้นมาใหม่แล้วเกี่ยวเก็บสืบไปโดยมิได้ปริปากเขาจึงถอนใจพลอยโล่งอก... งานของเขาวันนั้น เสร็จเกือบค่ำมืด เมื่อมาถึงบ้านที่อยู่นอกเขตบ้านหลังใหญ่ ตะวันก็ตกดินแล้ว ทิ้งรัศมีมีแผดจ้าสุดท้ายก่อนความมืดจะเข้ามาแทนที่...เขาพากันล้างแข้งขาอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านเหมือนเคย ริวโซ่กล่าวกับภรรยา

“วันนี้รู้สึกเจ็บท้องหรือไง”

“พอทนได้ค่ะ...ท้องคราวนี้รู้สึกเด็กไม่ค่อยดิ้นเลย ผิดกับยิ่ว...ตอนนั้นถีบแม่ยังกะอะไรดี...”

“คงจะเป็นผู้หญิงสมใจฉันแน่เลย”

ระหว่างนั้นมีเสียงฝีเท้าอันร้อนรนของใครคนหนึ่งดังออกมาจากในบ้าน คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นพบจึเนะโกะหน้าตาตื่น ในมือถือคบไฟที่ยังไม่ได้จุด

“อาจึโกะเจ็บท้องนานแล้ว อยากให้ช่วยไปรับหมอตำแยที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน มันมืดแล้ว หมอมาไม่ถูก...ถ้ามีคนไปรอรับก็จะสะดวกขึ้น เป็นหมอตำแยที่มาจากในเมือง ถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันนี้ก็คงไม่ต้องรบกวน...ช่วยหน่อยนะ”

ริวโซ่รับคบไฟมาพร้อมด้วยชนวนจุดไฟ เร่งฝีเท้าออกจากบ้านทาโนะคุระไปทันที จึเนะโกะว่าอาจึโกะคงจะคลอดก่อนโอชิน โอชินเสนอตัวจะช่วยเหลือแต่จึเนะโกะว่าไม่ต้องเพราะรู้ว่าโอชินเหนื่อยมามากแล้ว พร้อมกับบอกว่าทำกับข้าวไว้ให้โอชินแล้วด้วยเพราะกลัวว่าจะยุ่งเรื่องอาจึโกะคลอดลูกจนไม่มีเวลาหาให้

เมื่อจึเนะโกะกลับเข้าบ้านหลังใหญ่ไปแล้ว โอชินก็เข้าไปที่บ้านพักของตนเองหาไม้ขีดมาจุดตะเกียง แต่แล้วโอชินก็เกิดอาการเจ็บท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความเจ็บร้าวนั้นเตือนสติให้โอชินระลึกว่านาทีสำคัญกำลังจะมาถึง...เอามือกุมหน้าท้องพลางกล่าวเสียงสั่นเครือกับตัวเอง เบา ๆ

“ยังนะ...ยังหรอก...เจ็บแค่นี้ยังไม่คลอดหรอก...”

โอชินเอามือควานไปจนถึงกระดาษน้ำมันที่พับเรียบร้อย นำมันออกมาคลี่ปูไปบนพื้น จากนั้นค่อยไปหยิบผ้าอ้อมที่มารดาจากยามางาตะ ส่งมาให้ เอาขึ้นมาแนบแก้มด้วยความคิดถึงแม่อย่างชนิดที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน

“แม่จ๋า...ถ้ามีแม่อยู่ใกล้ ๆ...”

เสียงขาดหายเพราะความเจ็บทวีความรุนแรงมากขึ้น...โอชินรู้สึกใจหายวาบเมื่อคิดไป ว่าขณะนี้เสมือนตนอยู่ตามลำพังผู้เดียว ด้วย ริวโซ่เพิ่งจะออกไปรอรับหมอตำแยให้อาจึโกะ ความวุ่นวายและกังวลใหญ่หลวงในบ้านหลังใหญ่มีมาโดยตลอด จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสองยาม หมอตำแยก็ยังเอาลูกออกจากท้องของอาจึโกะไม่ได้ ริวโซ่อยู่กับพี่ชายใหญ่ข้างเตาไฟด้วยจิตใจกระวนกระวายเพื่อให้น้องสาวคลอดลูกโดยเรียบร้อย...

“นานไม่ใช่เล่นนะ...!”

ริวโซ่รำพึงออกมา พอดีกับมารดาเดินหน้า ซึมออกมาจากห้องข้างใน ทรุดกายลงนั่งเหมือนคนที่สิ้นแรง กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

“หัวเด็กมันโตมาก...อาจึโกะเป็นลมไปหลายตลบแล้ว...แม่สมเพชจนทนดูไม่ไหว”

ความผิดปกติของแรงคลอด ทำให้อาจึโกะประสบอยู่ยามนั้น...หัวเด็กไม่ยอมเข้าอุ้งเชิง กรานแสดงให้เห็นว่ามีการหดรัดตัวของมดลูกที่ผิดปกติ หากปล่อยทิ้งเนิ่นนานก็จะเกิดอาการขั้นต่อไปคือมดลูกเปลี้ยแรง อันตรายยิ่งกว่านี้คือ ถ้าการผิดสัดส่วนระหว่างหัวเด็กกับเชิงกรานแม่แล้วแทนที่มดลูกจะหดรัดตัวเฉื่อยลง กลับจะหดตัวแรงขึ้นจนทำให้มดลูกแตกได้ ไดโงะโร่เดินเหงื่อเต็มใบหน้าออกมาอีกคนหนึ่ง

“เข้าไปเป็นกำลังใจให้อาจึโกะหน่อยซิ ...โอคิโย่...”

“แย่ถึงเพียงนั้นเทียวหรือครับ”

“แม่นึกแล้วมันผิดที่ไหน นี่เป็นเพราะมาคลอดพร้อมกับโอชินพระเจ้าถึงได้ลงโทษ... ถ้าโอชินมันเชื่อแม่ยอมไปคลอดซะที่อื่น...”

“ยังจะมาพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก”

โอคิโย่ลุกขึ้นยืน สายตาที่มองมายัง ริวโซ่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “คอยดูนะ ถ้า อาจึโกะหรือลูกมันเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันจะฆ่านัง โอชิน”

“โอคิโย่...”

จึเนะโกะวิ่งถลันออกมาจากในห้องหน้าตาตื่นราวกับถูกไฟไล่มาข้างหลัง ร้องบอกโอคิโย่ เสียงหลง

“คุณแม่...คุณอาจึโกะเรียกหาค่ะ...”

“เห็นลูกได้รับความทรมานแบบนั้น ฉันทนดูไม่ไหว...”

“ไป...เข้าไปดูทำไมจะดูไม่ได้ ในเมื่อเธอส่งเสริมอาจึโกะให้มันเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ผลมันก็เกิดอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“ริวโซ่...เพราะแกทีเดียว แกพานังโอชิน มา อาจึโกะมันจึงต้องทรมานเบบนี้...”

“บ้า...พูดบ้าอีกคำเดียวเป็นต้องเห็นดีกัน”

โอคิโย่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น รีบเข้าไปข้างในห้องตามหลังไปติด ๆ ก็คือจึเนะโกะ ไดโงะโร่หันมาทางริวโซ่

“นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้ว แกไม่ไปดูโอชิน เขาบ้างรึ”

“ยังไม่มีทีท่าเลยครับ คุณพ่อ ถ้าเขามีอะไรเขาก็คงจะมาเรียกเองนั่นแหละ ตอนนี้คุณแม่เป็นห่วงอาจึโกะมาก ขออยู่ดูให้คลอดเสร็จก่อนก็แล้วกันครับ”

ระหว่างนั้นโอคิโย่ก็วิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องบอกว่าหมอตำแยเอาไม่อยู่แล้วจะต้องไปตามสูติแพทย์ในเมือง ริวโซ่รีบอาสาจะไปตามมาให้ทันที เขาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปโดยไม่มีคบไฟส่องสว่างทางอย่างไม่คิดชีวิต

ถึงตอนนี้โอชินก็เจ็บร้าวสุดขีดบนใบหน้ามีเหงื่อโทรมเป็นเหงื่อที่เกิดจากความเจ็บร้าว...โอชินเลื้อยคลานไปตามพื้นห้องด้วยความลำบากยากเย็น...จนกระทั่งมือเอื้อมถึงบานประตูใหญ่...พยายามออกแรงเลื่อนจนสำเร็จ... สายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาต้องแสกหน้าพร้อมด้วยพายุที่โหมกระหน่ำ...

โอชินพูดอะไรไม่ออก...ตั้งใจจะเปิดบานประตูส่งเสียงเรียกหาสามีสุดที่รัก...แต่รู้สึกปวดร้าวจนแทบจะทนต่อไปมิได้...ดวงตาพร่าพราวด้วยสายฝน...หอบหนักดุจดังเสียงหอบของสัตว์ป่าที่ได้วิ่งมาเป็นระยะทางไกลแสนไกล โอชินพยายามทรงตัวแนบกับเสาต้นใหญ่หน้าประตู...อ้าปากอย่างยากเย็นแล้วตะโกนสุดเสียง

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา dailynews

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 29 กันยายน 2553
น่าสงสัยอย่างนั้นรึ” จีแบก ถาม

“พระนางซุงด๊อกขัดรับสั่งของท่านอ๋องมาหลายครั้ง ไปทำสงครามกับพวกหนี่เจิน โดยไม่สนใจว่าเหมาะสมหรือไม่ จะไม่ทำให้พวกหนี่เจินโกรธได้ยังไงกัน อีกอย่างในอดีตตอนที่ พระอัยยิกายังมีพระชนม์ชีพ พระนาง ซุงด๊อกกับฮวางจู...ยังเคยทำท่าจะกระด้างกระเดื่อง อีกต่างหาก”

“อะไรกัน ตอนนี้วังมองบ๊อกกำลังเป็นเป้าโจมตี ทำไมต้องมาพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวด้วย” จีแบก กล่าว

“เพราะว่าข้าสงสัยว่าพวกเขาอาจจะอาศัยเรื่องนี้ เพื่อจะก่อตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้นมาใหม่ โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงยังไงล่ะ”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ สามารถคาดเดาได้เลยว่าพวกหนี่เจิน จะมีความกล้าบุกเข้ามาในวังของพระอัยยิกาได้อย่างไร ไม่น่าเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ” ซิมอูน กล่าว

“นี่พวกเจ้าพูดเหลวไหลอะไรกันเนี่ยตอนนี้วังมองบ๊อกถูกโจมตีอยู่ พวกเจ้ารู้บ้างรึเปล่า”

“ฝ่าบาท วังมองบ๊อก เป็นสถานที่ที่พระองค์ประสูติ และเติบโตมานะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงใคร่ครวญให้ดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ” กัมชัน ทูล

“แต่ว่าท่านอ๋อง แม้ว่าวังมองบ๊อกจะเป็นสถานที่ประสูติของพระองค์ก็จริง แต่ก่อนที่จะทำเรื่องราวให้กระจ่างนั้น การส่งทหารไปเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ชอยรัง ทูล

“มันก็จริง แต่ว่า...ตอนนี้น้องสาวข้าเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ จะให้ข้านั่งเฉยได้ยังไง ข้าจะให้ท่านคังกัมชัน เดินทางไปยังฮวางจู เพื่อไปตรวจสอบเรื่องนี้มาให้ชัดเจน” พระเจ้าซองจง ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”

---@@@---

เมื่อพระนางชอนชู มาถึงวังมองบ๊อก ซอลฮวาก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้น มีคนเสียชีวิตทั้งหมด 20 คน มีคนบาดเจ็บอีก 40 กว่าคน อีก 15 คนถูกจับเป็นเชลย และสามารถฆ่าผู้บุกรุกไปได้ 20 คน

“มันจับฮยังบีไป ที่ฮยังบีต้องถูกจับ ก็เพราะว่านางต้องการปกป้องข้า” ฮวางโบซอล กล่าวทูล

“ไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ฮยังบีไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เมื่อก่อนนางเคยลำบากมายิ่งกว่านี้ นางคงไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เป็นไร” คังโจ กล่าวทูล

“พระมเหสี ท่านคังกัมชันมาเพคะ” แม่นมยูน เข้ามาทูล

เมื่อคังกัมชัน มาถึงก็รายงานพระนางชอนชู ว่าพวกขุนนาง หาว่าพระนางเป็นคนก่อเรื่องขึ้น

“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ท่านอ๋องลืมแล้วเหรอ ว่าที่นี่คือที่ประสูติของพระองค์ ตอนนี้คนที่เคยดูแลเค้ามาตั้งแต่เล็กตายไป ยังมาพูดแบบนี้”

“ท่านอ๋องต้องการให้กระหม่อมเดินทางมาเพื่อสืบหาความจริง เมื่อไหร่ที่ราชสำนัก ตรวจสอบเรื่องเสร็จ ก็จะส่งทหารมา เพื่อช่วยในการตามจับคนร้ายพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปบอกเค้าว่าข้าไม่ต้องการ”

“พระมเหสี”

“ถ้ามัวรอให้เค้ามาทำการตรวจสอบ คนของเราอาจถูกฆ่าหมดก็ได้ กลับไปบอกท่านอ๋องของท่าน ว่าพวกเราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเค้า”

“พระมเหสี แต่พวกเราไม่ได้มีกำลังทหารมากขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้บาดเจ็บกันไปหลายคน และอีกหลายคนถูกจับตัวไป แถมถูกขังที่ไหนเราก็ไม่รู้” คังโจ ทูล

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ครูฝึกคังพูดถูก เขตพื้นที่ที่พวกหนี่เจินทำการยึดครองอยู่ มันกว้างเกินกว่าที่จะตามหาได้ง่าย ๆ นะพระมเหสี” กัมชัน ทูล

“ก็เพราะพื้นที่ของพวกหนี่เจิน กว้าง จนหาไม่ได้ง่าย ๆ ทางราชสำนักก็เลยไม่ยอมส่งทหารมาช่วย อีกอย่างถ้าต้องออกไปตาม หาหลายกันหลายอาทิตย์ ถ้ายังรอต่อไปอีกพวกฮยังบีอาจจะตายกันหมดก่อนก็เป็นไปได้ ข้าพูดผิดรึเปล่า”

“เฮ้อ...”

“เอาคำพูดข้าไปบอกกับท่านอ๋อง ว่าถ้าหากตอนนั้นพระองค์ไม่สั่งปลดทหารรักษาการณ์ที่นี่ ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกอย่าง ถ้าหากประเทศเราใช้ไม้แข็งกับพวกหนี่เจินแต่แรก พวกนั้นคงไม่กล้าโจมตีวังมองบ๊อกแบบนี้ ดังนั้น กลับไปทูลกับพระองค์ว่า ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฮวางจู ไปนั่งถกแนวความคิดปรัชญา กับพวกขุนนางกลุ่มชิลลาต่อไปให้พอเถอะ”

“กระหม่อม จะกลับไปพร้อมกับพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านคัง จะยังไม่กลับราชสำนักเหรอ” คังโจ ถาม

“ข้าอยากกลับไปพร้อมพระมเหสี ถ้าหากท่านคิดจะออกไปตาม หาร่องรอยของพวกหนี่เจินจริงละก็ ท่านก็ต้องมีคนคุ้นเคยกับพวกหนี่เจินอย่างข้า”กัมชัน กล่าว

---@@@---

ซอฮุย เชิญเหล่าขุนนางมาประชุม

“ข้าเชิญทุกคนมาเพื่อจะมาหารือเรื่อง วังมองบ๊อกถูกโจมตีโดยพวกชนเผ่าหนี่เจิน ว่าควรทำไง ข้าเกรงว่าท่านอ๋องอาจจะ...ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะมีความขัดแย้งอยู่กับพระนางซุงด๊อกอยู่ เช่นนี้อาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองก็ได้”

“แต่ว่าท่านอ๋องก็ได้ส่งท่านคังกัมชันไป ทำการตรวจสอบแล้วนี่นา” อินคอง กล่าว

“แต่แค่นี้น่าจะยังไม่พอ พักนี้ พวกหนี่เจินได้มารุกรานคนของเราหลายสิบครั้ง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแต่ละครั้ง ท่าทีของทางเราก็ไม่กระตือรือร้นซักเท่าไหร่ แล้วเมื่อสามปีก่อน หน้านี้ ก็มีการประกาศกฎหมายที่สั่งให้พวกทหารกลับไปทำไร่ทำนากันเกือบหมด แทบจะเป็นการสลายกำลังกองทัพที่เรามีอยู่เลยนะ” จีแบก กล่าว

“แต่แบบนี้ มันก็ทำให้ประชาชนต่างมีอาหารเพิ่มขึ้น รู้สึกดีใจกันถ้วนหน้านี่” เอินคง กล่าว

“เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่ แต่เราไม่มีนโยบาย ที่มารองรับสถานการณ์ฉุกเฉินเลย ถ้าหากวันไหนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมา พวกเราก็อาจถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย” คอมอึย กล่าว

“แต่ว่าท่านอ๋อง เป็นคนที่รังเกียจ การใช้กำลังและความรุนแรงอย่างยิ่ง เป้าหมายของพระองค์อยู่ที่การนำมาซึ่งชีวิตที่สงบสุขได้ ดังนั้น ข้าคิดว่าพวกเราอย่ามาหารือกันเรื่องทำสงคราม อีกเลย” ยังยู กล่าว

---@@@---

พระนางซองจง คังโจ และกัมชัน วิเคราะห์ว่าพวกหนี่เจินที่มาคงไม่ใช่พวกโจรหนี่เจินธรรมดา น่าจะเดินทางมาด้วยเส้นทางน้ำ เพราะทางบก ไม่มีทางพากันมาได้เยอะ คังโจ เสนอให้ลองไปดูที่ท่าเรือแพซูก่อน กัมชัน จึงบอกให้ซอลฮวา กลับไปที่ที่ราชสำนักแล้วกราบทูลท่านอ๋องก่อน ส่วนตนจะอยู่ เพื่อจับกุมตัวพวกโจรก่อน

---@@@---

พระมเหสีฮยังบีถูกจับตัวมา ถูกโจรหนี่เจิน สอบสวนว่านางเป็นพระมเหสีของพระราชาคยองจงใช่หรือไม่ ระหว่างนั้นลูกน้องโจร ก็เข้ามาบอกว่า คนที่ถูกจับตัวมาไม่ใช่พระมเหสี หลังจากเอาไปเทียบกับรูปวาดแล้ว พบว่าไม่ใช่...พระมเหสี แต่ว่าเป็นนางกำนัล เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าเผ่าไม่พอใจอย่างมาก เพราะทำให้ความพยายามสามปีสูญเปล่า อิลลา เสนอให้ฆ่าพวกนางทิ้งแล้วยกเลิกภารกิจ แต่ชียังไม่เห็นด้วย เพราะเดาว่า พวกนั้นจะต้องมาตามเชลย เหล่านี้ ให้อดทนรอกันอีกหน่อย ถ้าไม่มาค่อยฆ่าเชลยทั้งหมดทิ้ง

---@@@---
อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 29 กันยายน 2553
“เออ ให้มันได้ยังงี้...ถ้าคุณรักเค้า รู้มั้ยว่าผู้ชายเค้าต้องการอะไร เค้าต้องการให้ผู้หญิงที่เค้ารัก เชื่อมั่นในตัวเค้า ไม่ว่าจะยังไงก็ตามคุณจะไม่เชื่อก็ได้ แต่ที่ผมพูด จริงหรือไม่จริง ลองคิดดู คุณก็จะรู้”

ธามทำเป็นเดินไปอย่างแมน ๆ เหมือน ยอมให้บาจรีย์ตัดสินใจเอง แต่จริง ๆ แล้วแอบเดินไปหลบอยู่หลังต้นไม้ คอยมองว่าบาจรีย์จะทำยังไง พอเห็นบาจรีย์ตัดสินใจเดินกลับไปเรือนพัก ธามก็ค่อยโล่งอก

“ก็เป็นเด็กดีเหมือนกันนี่นา” ธามมอง บาจรีย์ที่เดินกลับไป อดยิ้มนิด ๆ ไม่ได้

---@@@---

วันรุ่งขึ้น พชรกลับมานำสหายใต้ดินออกฝึกซ้อมแต่เช้า ภูษณะและบาจรีย์พากันดีใจมาก พชรขอโทษธามที่พูดจาไม่ดีใส่ แถมยังไล่ให้ธามกับพวกกลับไปเมืองไทยอีก ธามทำเป็นเก๊กเดินหนีไป ทำเอาทุกคนใจคอไม่ดี ภูษณะร้องถามว่าธามจะไปจริง ๆ เหรอ ธามหันกลับมาบอกว่าใช่ ทุกคนหน้าเสียหนักขึ้น แต่พอได้ยินธามพูดต่อว่าจะไปเอาอาวุธใหม่มาให้ใช้ ทุกคนก็ค่อยโล่งอก

“ว่าแต่..อะไรกันที่เปลี่ยนใจนายให้หาย เป็นบ้าเป็นบอได้” ภูษณะนึกสงสัย

พชรนิ่งอึ้งไป ตอบไม่ได้ แต่สายตาเหลือบไปเห็นลำธารที่ยืนหลบอยู่ไม่ไกล...อึ้งไป ทันที พชรกับลำธารสบตากันในชั่วอึดใจ เหมือน กับโลกได้หยุดหมุนไป พาริณมองตามสายตาของพชรไป เห็นลำธารที่กำลังจะผละไปพอดี พาริณชะงักไปทันที

---@@@---

ทหารของดารัณกลับไปเล่าเรื่องชาครให้ ราชิตฟัง ราชิตใช้ให้ทหารคนดังกล่าวย้อนกลับไปสืบดูว่าในบ้านหลังนั้นมีอะไร ชาครพยายามปกปิดอะไรอยู่ ทหารคนดังกล่าวย้อน กลับมาอีกครั้ง พบวาสินอยู่ในบ้านตามลำพัง โชคดีทหารคนดังกล่าวจำหน้าวาสินไม่ได้ วาสิน กลัวมากคว้าหินที่อยู่ใกล้มือเป็นอาวุธฟาดใส่ หัวหทารคนดังกล่าวจนตาย ชาครกลับมาเห็น จึงตัดสินใจพาวาสินไปหาพชรที่ค่าย

ไม่มีใครจำวาสินได้ มีเพียงพชรกับพาริณ เท่านั้นที่จำได้ ภูษณะกับธามยังคงไม่ไว้ใจชาคร คิดว่าการที่ชาครพาวาสินมาอาจเป็นแผนตบตาหลอกให้เชื่อใจ ชาครเล่าว่าวาสินเกิดความแคลง ใจในตัวดารัณมานานแล้วจึงได้ส่งตนไปเป็นไส้ศึก ความเคลื่อนไหวของดารัณทั้งหมดมีเพียงชาครเท่านั้นที่ล่วงรู้

“แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ใช่นกสองหัว”

“ไม่ใช่แค่พวกท่านหรอกที่ระแวงข้า ข้ารู้ดีว่าราชิตเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน แต่มันต่างกันตรงที่นกสองหัวตัวนี้ เลือกที่จะภักดีต่อกษัตริย์วาสินต่างหาก ข้าต้องไปแล้ว ถ้ามีความ เคลื่อนไหวของดารัณ ข้าจะรีบรายงานทันที”

พอชาครกลับไปแล้ว พชรก็รีบพาวาสิน ไปให้ลำธารตรวจร่างกาย ลำธารบอกว่าสิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือต้องพยายามเรียกความทรงจำจากสิ่งที่คุ้นเคย ข้าวของ ผู้คน เรื่องราวต่าง ๆ พชรต้องคอยอยู่เคียงข้างช่วยฟื้นความทรงจำให้กับวาสิน พชรขอให้ลำธารช่วย บาจรีย์จ้องมองพชรที่มองดูลำธารอย่างชื่นชมด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบ

---@@@---

ชาครย้อนกลับมาเก็บ ทำลายหลักฐานทุกอย่างที่บ้านพักวาสิน เสร็จแล้วถึงค่อยกลับไปหาราชิตในเมือง แต่พอไปถึงกลับถูกราชิตจับตัวไว้ในฐานะไส้ศึก โดยมีศพของทหารที่ราชิต ใช้ให้ไปตามสืบเรื่องวาสินเป็นหลักฐาน ชาครคิดหาทางรอดด้วยการหยิบตราประจำตำแหน่งของตัวเองออกมา แล้วโยนไปที่ศพทหาร

“ทำอะไร คืนตำแหน่งให้ก่อนตายยังงั้นเหรอ”

“ข้าให้มันไงล่ะ มันอยากจะได้ตำแหน่ง ของข้านักถึงกับไปเป่าหูท่าน ว่าข้าเป็นไส้ศึก มันเข้ามาจู่โจมจะเอาชีวิตข้า คงกะว่าข้าตาย มันจะได้ขึ้นแทน”

ราชิตฟังชาคร นิ่งอยู่ ใจยังไม่เชื่อ “ปาก ดีนัก คิดว่าข้าจะเชื่อรึไง ถ้าอย่างนั้นทำไมเจ้าถึงไม่รีบไปรายงาน”

“ก็ข้าตกผาไปพร้อมกับมัน กว่าจะกลับขึ้นมาได้”

“เจ้าคิดว่า ข้าจะใจอ่อนงั้นเหรอ รู้มั้ย ว่าทำไมข้าสวามิภักดิ์แก่ท่านดารัณ นอกจากลาภยศ นั่นก็เพราะข้าชอบความเด็ดขาดของท่าน อะไรที่ไม่ชอบมาพากล ก็ต้องปราบให้ราบคาบ”

ราชิตสั่งให้ทหารยิงชาครทิ้ง แต่แล้วจู่ ๆ ชาครก็หยิบเอามีดขึ้นมาปาดดวงตาข้างหนึ่ง เลือดสาดกระจาย

“ข้าไม่มีอะไรให้ท่านเชื่อ นักรบที่นายไม่เชื่อใจ ก็มืดมนดังคนตาบอด ข้าโง่ที่ปล่อยให้เพื่อนมาทรยศได้ ต้องได้รับผลตอบแทนเช่นนี้”

ชาครลุกขึ้นอย่างไม่กลัวเกรง ทิ้งอาวุธ ทั้งหมด เดินโซเซไปอย่างไม่สนใจไยดีใด ๆ ไม่สนว่าข้างหลังมีกระบอกปืนจ่ออยู่ถึง 3 กระบอก ชาครเดินไปเรื่อย ๆ และเริ่มเจ็บมากขึ้นมากขึ้น...จนทรุดลง ราชิตกับพวกทหารปล่อยชาครทิ้งไว้อย่างนั้น ชาครโล่งอกที่สามารถหนีรอดจากเงื้อมมือราชิตไปได้

“ท่านวาสิน ท่านจะต้องกลับมาจำความได้และกลับมาเป็นมิ่งขวัญให้แก่มินาลินของเรา”

---@@@---

ธามได้ข่าวว่ามีกลุ่มคนแปลกหน้าแบกโลงไม้เดินผ่านมาใกล้ค่ายกองกำลังใต้ดิน จึงพาจ่าแสงกับกองกำลังจำนวนหนึ่งไปตรวจดู พบอาวุธจำนวนมากซุกซ่อนอยู่ในโลง ทุกคนพากันตกใจ แต่พอรู้ว่าทั้งหมดเป็นแผนของอดิศร ก็ค่อยโล่งใจ

---@@@---

ตอนที่ 13

ลำธารดีใจมากที่ได้พบกับอดิศร พชรมองลำธารที่กอดอดิศรแน่น ด้วยแววตาเศร้าระคนเอ็นดู เมื่อเห็นหญิงที่เขารัก กลับเป็นเหมือนเด็ก ๆ อดิศรเห็นลูกสาวดูผอมลง อดเป็นห่วงไม่ได้ ลำธารไม่อยากให้พ่อเป็นห่วง จึงโกหกว่าเธอสบายดี ที่ดูผอมอาจเป็นเพราะไม่ได้ทานอาหารฝีมือแม่มานาน

พชรเดินมาหาอดิศร ตั้งใจจะชวนไปพบกับวาสิน ลำธารรีบปาดน้ำตาอย่างไม่ให้มีพิรุธ พชรเห็นลำธารร้องไห้ก็ตกใจจะเข้ามาแตะไหล่ปลอบ ลำธารผงะหนีไม่ให้พชรสัมผัสตัว อดิศรเห็นอาการคนทั้งสองก็สงสัยในความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก

วาสินจำอดิศรไม่ได้ พยายามนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก พชรมุ่งมั่นอยากช่วยวาสินฟื้นความจำ จึงพาลำธารไปที่เรือนพัก ค้นหาข้าวของของวาสินที่เก็บรวบรวมมาได้ให้ลำธารดู

“ตอนที่ดารัณก่อกบฏ เราไม่สามารถจะรวบรวมอะไรมาได้ นี่เป็นของที่ท่านพ่อให้ผม มันน้อยเกินไปใช่มั้ย”

“แต่การที่จะฟื้นความทรงจำของท่าน ของพวกนี้อาจไม่จำเป็น คนไข้ส่วนมาก มักจดจำฐานะหน้าที่ของตัวเอง ได้ไม่เท่ากับจดจำครอบครัว หรือคนที่รัก แต่บางที ครอบครัวของท่านอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้”

“ผมก็เหมือนคนอื่น ๆ ถึงจะแบกรับ หน้าที่ไว้ขนาดไหน แต่ส่วนที่หล่อเลี้ยงหัวใจ ก็คือคนที่เรารัก”

ลำธารเห็นสีหน้าแววตาของพชร ที่สื่อสารความในใจ ถึงกับมือไม้อ่อน จนเผลอทำของ หล่น พชรก้มช่วยจับไว้ มือของทั้งสองสัมผัสกัน ใบหน้าประชิดกันเพียงแผ่นกระดาษคั่นกลาง ลำธารเคลิ้มไปชั่วขณะ แต่พอนึกขึ้นได้ รีบชักมือออกแล้วเดินหนีกลับไปที่เรือนพักของวาสินทันที พชรมองตามลำธาร ถอนใจด้วยความว้าวุ่น ที่แทบจะเก็บเอาไว้ไม่อยู่

พชรค้นหารูปของเนตราไปให้วาสินดู แม้วาสินจะจำไม่ได้ว่าเนตราเป็นใคร แต่ก็รู้สึกผูกพันกับเนตราเป็นอย่างมาก รู้สึกเหมือนกับว่า “รักเท่าชีวิต” ลำธารเห็นว่าวาสินเริ่มจำอะไรได้บ้าง จึงบอกให้วาสินลองคิดทบทวนดูอีกที ว่ามีภาพความทรงจำอะไรที่เกี่ยวโยงกับสร้อยรักเท่าชีวิตที่เนตราใส่อยู่บ้าง

วาสินมองภาพสร้อยรักเท่าชีวิต พยายาม นึกทบทวน แต่บาจรีย์กลับโผล่เข้ามาขัดจังหวะ วาสินไม่มีสมาธิรวบรวมความคิด พชรขอให้บาจรีย์ออกไปจากเรือนพัก ปล่อยให้การฟื้นความทรงจำเป็นหน้าที่ของลำธาร บาจรีย์น้อยใจมาก เดินหงุดหงิดออกมาระบายอารมณ์นอกเรือนพัก แต่กลับมาเจอ กับธาม สองคนปะทะคารมกันอีก บาจรีย์น้อย ใจมากยิ่งขึ้น ที่ใคร ๆ ก็ไม่รัก ไม่ชื่นชม ไม่เหมือนกับลำธาร

---@@@---

เวคินสืบรู้มาว่าคลังอาวุธที่ใหญ่ที่สุดของดารัณ ตั้งอยู่ไม่ห่าง จากวังมินาลินมากนัก แต่การจะบุกเข้าไปโจมตีคลังอาวุธของดารัณกลับไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะดารัณวางกองกำลังคุ้มกันไว้อย่างแน่นหนา ทุกคนพากันท้อใจ แต่อดิศรกลับเห็นต่าง มั่นใจว่าไม่มีที่ไหนที่ไม่มีจุดอ่อน ถ้ารู้ว่าจุดอ่อนของคลังอาวุธของดารัณอยู่ตรงไหนก็จะสามารถโจมตีคลังอาวุธได้ พชรนึกถึงชาครขึ้นมาทันที

การเสียสละดวงตาหนึ่งข้าง ทำให้ชาครรอดชีวิตมาได้ แต่ดารัณยังคงไม่เชื่อใจชาคร ราชิตจึงส่งคนไปคอยจับตาดูพฤติกรรมชาคร อย่างใกล้ชิด พชรแอบส่งข่าวผ่านเจ้าของร้านเหล้าในเมือง บอกให้ชาครช่วยสืบหาจุดอ่อนของคลังอาวุธของดารัณมาให้

---@@@---

ชาครแอบหลบออกมาพบกับพชรที่เนินเขาชานเมืองมินาลิน เพื่อมอบแผนที่ฐานทัพที่ซ่อนคลังอาวุธ พร้อมอธิบายแผนการบุกเข้าโจมตีคลังอาวุธให้พชรฟัง โดยไม่รู้ว่าทหารสอดแนมของดารัณแอบติดตามมาคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของชาครอย่างใกล้ชิด

ทหารสอดแนมบุกจู่โจมเข้าจับกุมพชรกับชาคร จะเอาตัวไปให้ดารัณ พชรกับชาครช่วยกันจัดการทหารสอดแนม พชรเกือบพลาดท่า โดนทหารสอดแนมแทง ชาครโผเข้าบัง โดนกริชแทงถากสีข้างแทนพชร พชรรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 29 กันยายน 2553
รมมี่กับพีทมานั่งคุยกันที่สวนแห่งหนึ่ง รมมี่บอกว่าผู้ชายที่พีทเห็นเป็นลูกเจ้าของสินค้าที่รมมี่กำลังจะเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้ แต่พีทยังหึง ๆ บ่นว่ารมมี่ทำตัวสนิทสนมมากเกินไป รมมี่งอนตอกกลับว่าจะให้ทำหน้าบึ้งใส่หรือไง พีท รีบเดินตามไปง้อ

“แล้วเรื่องแค่นี้เหรอที่คุณบอกว่าลำบาก ใจที่จะบอกผม?”

รมมี่ชะงัก พีทจับสังเกตได้และว่า รมมี่มีเรื่องปิดบังเขาอยู่ รมมี่อึกอัก ลำบากใจที่จะพูดแต่ก็จำใจบอก “ถ่ายโฆษณาตัวนี้ มันได้เงินเยอะ แต่มีเงื่อนไขว่า รมมี่ต้อง...ต้องเสริมหน้าอก”

“เสริมหน้าอก!!” พีทเหวอ มองรมมี่อย่างไม่เข้าใจ รมมี่ไม่รู้จะพูดยังไงต่อ ผลุนผลันออกไปจากตรงนั้น พีทวิ่งตามไปทันที

---@@@---

แฟชั่นโชว์เริ่มต้นขึ้น นางแบบและนายแบบทยอยกันอวดโฉม ถึงคิวของไม้และน้ำหวาน ทั้งคู่ออกไปยืนโพสกลางเวที น้ำหวานส่งสายตาหวานเชื่อมใส่ไม้ ประหนึ่งว่าเป็นแอ๊คติ้งของการเดินแบบ ไม้รู้ธาตุแท้ของน้ำหวาน เขาจึงไม่สบตาด้วย แต่น้ำหวาน ก็ยังพยายามส่งสารทางสายตาไม่ได้หยุดหย่อน

---@@@---

พีทวิ่งเข้ามาคว้ารมมี่ไว้บอกให้คุยกันให้รู้เรื่องก่อน รมมี่หันขวับมาบอกว่าพอบอกความจริงพีทก็รับไม่ได้ พีทว่าไม่ใช่ว่าเขารับไม่ได้ เพราะตอนนี้ใคร ๆ เขาก็ทำหน้าอกกันทั้งนั้น

“แต่..มันเป็นของปลอม..” รมมี่หวั่น ๆ

“ของปลอมแล้วไง?” พีทถามกลับ รมมี่ ตาโตแปลกใจ “หมายความว่าคุณโอเคที่ชั้นจะทำหน้าอก?”

“ไม่โอเค!!!” พีทพูดตามตรงรมมี่เหวอ พีทจ้องหน้ารมมี่ “ผมถามคุณหน่อย จริง ๆ แล้วคุณอยากทำหน้าอกรึเปล่า” รมมี่ทำหน้าอึกอัก พีทยิ้มเพราะรู้ว่ารมมี่ก็ไม่อยากทำ

“แต่เงินเป็นล้านเลยนะ...”

“ก็เลยยอมเจ็บตัวงั้นเหรอ?! คุณยกเลิกถ่ายโฆษณาบ้าบออะไรนั่นไปเลย” พีทสรุป

“พูดง่ายนี่ คุณก็เห็นว่าเงิน....” รมมี่ยังพูดไม่จบ พีทก็สวนขึ้น “คุณเป็นแฟนผม ผมเลี้ยงคุณได้!! ผมไม่ปล่อยให้แฟนผมต้องไปเจ็บตัวเพราะเงินแค่นั้นหรอก”

รมมี่เถียงไม่ออก แต่ก็ยังทำเฉไฉ “อย่า มาปากดีเลย แฟน...สุดท้ายมันก็เป็นคนอื่น”

“ผมจะไม่ใช่ “คนอื่น” สำหรับคุณ เราจะเป็น “คนคนเดียวกัน” ถ้าคุณให้โอกาสผม” รมมี่หันขวับ พีทพูดต่อจริงจัง “แต่งงาน กับผมนะรมมี่!! ถึงแม้ว่าเราจะรู้จักกันไม่นาน แต่ผมมั่นใจ ว่าคุณคือ “คนที่ใช่” สำหรับ ผม” รมมี่ยิ้มกว้าง จ้องหน้าพีทอย่างคาดไม่ ถึง พีทจูบมือรมมี่ และยิ้มให้อย่างจริงใจ

---@@@---

ไม้เปลี่ยนชุดเสร็จเดินไปหามดแดง น้ำหวานเห็นไม้จะกลับจึงหาเรื่องเข้าไปทัก มดแดงชะงักแต่ก็รู้ได้ทันทีถึงจุดประสงค์ของน้ำหวาน จึงบอกให้บอกลาซูเปอร์สตาร์หน่อย เพราะดูเหมือนว่าน้ำหวานอยากเข้ามาทักทายทายาทนักธุรกิจพันล้าน น้ำหวานรู้ว่ามดแดงแดกดันแต่ก็เฉไฉ ทำเป็นไม่สนใจ

“เรียกน้ำหวานก็ได้นะคะ คำว่าซูเปอร์ สตาร์น่ะ คนอื่นเค้าเรียกกัน คนกันเองอย่างเรา เรียกชื่อดีกว่าค่ะ” น้ำหวานทำท่าอ่อนหวาน

“คนกันเอง?? โอ๊ะ โอ เป็นคนกันเองตั้งแต่เมื่อไหร่ค้า น้องน้ำหวาน” มดแดง แดกดันอีก

น้ำหวานหน้าตึง แต่ปรับน้ำเสียงหวาน ว่ารู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย มดแดงยังแดกดันไม่เลิก “ค่ะ!!! ไม่เสียหาย ถ้าไม่คิดจะทำเรื่องให้มันเสียหาย อ้อ!!! แล้วถ้าอยากจะทำความรู้จักไมค์เค้ามากกว่านี้ ก็คงต้องไปขออนุญาตพี่สาวเค้าก่อนนะคะ”

น้ำหวานยิ้มได้ ดีใจคิดว่ามดแดงจะเปิด ทางให้ มดแดงรีบบอก “เพราะว่าไมค์น่ะเค้าเป็นน้องชายของเหมย ขีดเส้นใต้คำว่า น้องชายของเหมย เหมือนฝัน น่ะรู้จักมั้ย” พูดจบ ก็พาไม้เดินออกไป น้ำหวานหน้าเสียไม่อยากเชื่อ ว่าไม้จะเป็นน้องชายของ นังเหมย!!!

---@@@---

กันต์โทรฯ หาป้อง แต่ป้องไม่ยอมรับสาย แม้กันต์จะกระหน่ำโทรฯ เท่าใดแต่ก็ไร้วี่แวว ด้านป้องเห็นกันต์โทรฯ หาก็ลำบากใจมาก ไม่รู้จะตัดสินใจชีวิตออย่างไร

ป้องมาหาคุณพิงค์ตามที่คุณพิงค์เรียกให้มาพบ คุณพิงค์พูดเรื่องข่าวที่ว่าป้องเป็นเกย์ กับกันต์ ป้องสับสนมาก เพราะหากเรื่องเขากับกันต์เปิดเผยอนาคตคงจบเห่ ป้องจึงบอกคุณพิงค์ว่าเขากับกันต์ไม่มีอะไรกัน คุณพิงค์ว่าเรื่องระหว่างกันต์และป้องจะไม่ขอยุ่งเพราะเป็น เรื่องส่วนตัว แต่อยากเตือนป้องว่าให้วางตัวให้ดีเพราะทุกอย่างอยู่ในสายตาประชาชน

“ต่อไปผมจะระวังให้มากกว่านี้ครับ แต่ ผมกับกันต์ไม่ได้มีอะไรกันจริง ๆ ครับ” คุณพิงค์ จ้องหน้าป้องอย่างรู้ทัน “จำไว้นะป้อง คำพูดเป็นนายเรา ก่อนจะพูดอะไรคิดให้ถี่ถ้วน ถ้าคนอื่นเค้าจับได้ว่าเราโกหก เราจะไม่มีที่ยืนในวงการนี้!!” ป้องไม่แน่ใจว่าที่พิงค์พูดแบบนี้ เป็นเพราะว่ารู้ความจริง หรือพูดเพื่อเตือนสติให้ป้องพูดความจริงกันแน่?!!

---@@@---

ไม้มาหาเหมยที่กองถ่ายยอดยาหยี น้ำหวานเห็นก็ปรี่เข้ามารับ แต่ถูกเจ๊มดแดงเข้ามาขัดบอกเหมยเข้าฉากอยู่ และแกล้งย้ำต่อหน้าน้ำหวานว่าไมค์น่ารักที่เป็นห่วงพี่สาวคือเหมย น้ำหวานเสียอารมณ์ที่มดแดงมาขัดจังหวะทุกที ถ่ายจบซีน ไม้ชวนเหมยไปธุระ เหมยรับปาก ว่าจะไปด้วย พอดีปยุตรเดินเข้ามา ไม้บอกว่าวันนี้เหมยคงไปกับปยุตรไม่ได้เพราะวันนี้เหมย “มีเดท” กับเขา ปยุตรติดใจคำว่ามีเดท เพราะ ไม่เหมือนพี่กับน้องใช้พูดกัน

“ก็คงอย่างนั้น!!!” ไม้เปิดเผยจริงจัง แบบไม่กลัวเกรง

“แล้วเหมยเค้าคิดแบบเดียวกับที่ไม้คิดหรือเปล่า?” ปยุตรถามตรง ๆ ไม้ชะงัก “พี่เหมยคิดยังไงไม่รู้ ผมรู้อย่างเดียวว่า ผมรักพี่เหมย!!”

ปยุตรอึ้งไป ขณะเดียวกันน้ำหวานแอบฟังอยู่พอจะเดาเหตุการณ์ออก เป็นเวลาเดียวกับที่เหมยเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและเดินออกมา เหมยบอกว่าจะไปธุระกับไม้และชวนปยุตรไปด้วย ไม้รีบกันโดยบอกว่าปยุตรไม่ไป และนาน ๆ พี่น้องจะได้อยู่ด้วยกัน ปยุตรอึ้ง ๆ และบอกเหมยว่าวันหลังนัดกันใหม่ก็ได้ เหมย ยิ้มและเดินออกไปกับไม้ ปยุตรมองตามแบบน้อยใจนิด ๆ น้ำหวานหาโอกาสซ้ำเติมเหมย อยู่แล้วจึงคิดแผน โดยโทรฯ ไปบอกนักข่าว

---@@@---

ไม้พาเหมยมาที่สำนักงานบ้านจัดสรรแห่งหนึ่ง โดยบอกว่าจะซื้อบ้านให้แม่กุ้งและครอบครัว เหมยยิ้มให้ไม้อย่างตื้นตันใจ เหมย กับไม้เดินดูบ้านแบบต่าง ๆ เหมยบอกว่าจะช่วยออกเงิน ไม้จับไหล่เหมยให้หันมามองหน้ากัน ไม้ว่าเหมยเหนื่อยมากกว่าแล้ว เขาก็ควรจะช่วยเหลือ ทั้งคู่จึงตกลงที่จะช่วยกันซื้อบ้านให้แม่กุ้ง สายตาที่ไม้มองเหมยไม่เหมือนกับที่พี่น้องควรจะเป็นจริง ๆ แต่เหมยไม่ได้คิดอะไร ขณะที่ปาปารัซซี แอบถ่ายภาพของสอง คนไว้ทุกอิริยาบถ

---@@@---

รมมี่มาหาเป้ยคนที่ติดต่องานโฆษณาให้ โดยรมมี่บอกว่าจะไม่รับงานชิ้นนี้ เป้ยว่าน่าเสียดายเพราะค่าตัวสูงถึง 7 หลัก รมมี่ว่าเงินอาจมีค่า แต่มันไม่มีค่าเท่ากับคนที่รักรมมี่ เป้ยเหวอ ๆ ไม่เข้าใจคำพูดรมมี่ รมมี่เลยตัดบทสรุปว่าไม่รับงานนี้ก่อนจะเดินออกไป รมมี่เดินออกมาหาพีท ที่ยืนรออยู่ พีทยิ้มให้พร้อมตั้งแขนให้รมมี่ควง รมมี่ยิ้มกว้างควงแขนกันเดินไปหวานชื่น

เป้ยวิ่งกระเซอะกระเซิงตามออกมา หวังจะเปลี่ยนใจ แต่รมมี่หันมาโบกมือให้เป้ย “แล้วชั้นจะหาใครมาเป็นพรีเซ็นเตอร์แทนล่ะเนี่ย” เป้ยมองหน้าอกตัวเอง “โอ๊ย..ยังตู้มไม่พอ!!!”

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา dailynews

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 29 กันยายน 2553
ประจักษ์กับพิสมัยพากันออกมาจากวิหาร ประจักษ์กวาดตามองหาวนิดา จนเห็นร่างวนิดาล้มลงอยู่ตรงกำแพงวิหารรีบวิ่งไปดูวนิดาด้วยความเป็นห่วงใย

“นิด เธอเป็นยังไงบ้าง”

“ไม่เป็นไรค่ะ”

ทันใดนั้น เลือดก็ไหลซึมลงมาที่หน้าผากวนิดา ประจักษ์ตกใจ “เธอหัวแตก”

“คงโดนประตูกระแทกแรงไปน่ะค่ะ”

ประจักษ์รีบใช้ผ้าเช็ดหน้านั้น เช็ดเลือดให้ทันที

“โธ่ นิดของฉัน ฉันทำให้เธอเจ็บตัวอีกจนได้”

วนิดามองประจักษ์ดีใจลึก ๆ ในคำพูดของเขา ขณะที่พิสมัยยืนดูอย่างสมน้ำหน้า ก่อนจะรีบวิ่งไปที่เรือ โดยไม่รั้งรอใคร วนิดาขยับตัวจะลุกขึ้นเดินตาม แต่ก็ลุกไม่ไหว ขาเจ็บแปล๊บขึ้นมา แล้วเซล้มลงไปกับพื้น ประจักษ์เข้ามาอุ้มวนิดากลับมาที่เรือ

---@@@---

ประจักษ์อุ้มวนิดาเข้ามาในบ้าน พิสมัยกับไปล่ตามเข้ามา น้อมถึงกับอึ้ง ป้าทองกับจวงรีบออกมารับด้วยความตกใจ

“คุณนิดเป็นอะไรคะ”

“ฉันหกล้มน่ะป้า ไม่เป็นอะไรมากหรอก”

“ไม่เป็นอะไรมาก แล้วทำไมถึงเดินเองไม่ได้”

“ผมขอตัวพานิดไปทำแผลก่อนนะครับ”

ประจักษ์ตัดบทพาวนิดาเดินเข้าไปเลย ป้าทอง จวง ไปล่รีบตาม...น้อมหันไปมองตามด้วยความโมโห ก่อนจะหันมาทางพิสมัยที่ยืนตาแดงก่ำ น้ำตารื้นด้วยความโกรธ

“มันเกิดอะไรขึ้น?”

พิสมัยกัดกรามแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความแค้น...ประจักษ์อุ้มวนิดาขึ้นไปบนห้องและทำแผลให้วนิดาจนเสร็จเรียบร้อยจึงเดินออกมาจากห้องเจอน้อมยืนรออยู่

“นึกยังไงถึงไปที่วิหาร”

“ก็ไม่นึกอะไรนี่ครับ”

น้อมฉุนทันที “พ่อใหญ่!! เราอย่ามากวน แม่นะ ในนั้นมีแต่กระดูกผี มันน่าสำราญตรงไหนฮะ!!”

“มันไม่น่าสำราญหรอกครับ แต่ในนั้นเป็นที่เก็บกระดูกคุณปู่คุณย่าคุณลุงบรรพบุรุษของเรา การที่ผมจะไปเคารพพวกท่าน มันน่าแปลกตรงไหน คุณแม่ต่างหากล่ะครับที่แปลก...ทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมไปที่นั่น หรือว่าคุณแม่กลัวอะไร”

ประจักษ์มองแม่อย่างจับผิด น้อมชะงัก ก่อนจะพูดเสียงแข็ง “ทำไมแม่ต้องกลัว?!!”

“ไม่รู้สิครับ ผมก็พูดไปเรื่อย”

ประจักษ์จะเดินออกไป น้อมเรียกไว้

“จะไปไหน แม่ยังพูดไม่จบ นับวันเราชักเหลวไหลใหญ่ ทำอะไรไม่ไว้ตัว ไปอุ้มชูนังวนิดามันทำไม นังนั่นมันมารยาทำตัวน่าสงสาร พ่อใหญ่ดูไม่ออกเหรอไง”

ประจักษ์สุดทนหันมาทางน้อม “คนที่ผมดูไม่ออก คือคุณแม่ต่างหาก”

น้อมงงมองประจักษ์งง ๆ ไม่เข้าใจ

“พูดอย่างนี้ หมายความว่ายังไง”

“คุณแม่แน่ใจเหรอครับว่าป้ามณฑามีชู้ และล้างผลาญสมบัติของคุณลุงจริง”

น้อมหน้าถอดสี ประจักษ์มองหน้าแม่เย้ยหยัน ก่อนจะเดินออกไป

“พ่อใหญ่ กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน พ่อใหญ่!!”

น้อมงงกับที่ประจักษ์พูด นิ่วหน้าด้วยความสงสัย...

---@@@---

ร้านตัดเสื้อสองอนงค์ มนตรีเดินไปเดินมา ชะเง้อรอวนิดา ลูกค้าที่เปิดประตูเข้ามาในร้านเกือบชนมนตรี อำไพทนไม่ไหวเดินมาหาต่อว่า

“คุณมนตรีคะ คุณเดินไปเดินมาหน้าประตูจนลูกค้าจะชนคุณหลายรอบแล้วนะคะ”

“ฉันกำลังมองว่าเมื่อไหร่คุณนิดจะมา”

“วันนี้คุณนิดยังไม่มาหรอกค่ะ เธอยังไม่กลับจากบางปะอิน”

“เธอเป็นเพื่อนภาษาอะไร ทำไมถึงไม่รู้ว่าคุณนิดจะกลับวันไหน เวลาอะไร”

มนตรีเสียงดังทำให้อำไพไม่พอใจ เพราะ เธอพูดกับเค้าดี ๆ

อำไพชักฉุนกึก “แล้วคุณเป็นเพื่อนสนิทคุณประจักษ์ภาษาอะไร ทำไมถึงไม่รู้ว่าคุณประจักษ์จะกลับวันไหน เวลาอะไร”

มนตรีถึงกับผงะ ที่โดนย้อน “ทำไมเธอต้องเสียงดังใส่ฉันด้วย”

อำไพไม่พอใจ “คุณอยากเสียงดังใส่ฉันก่อนทำไม”

“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณนิดคบเธอเป็นเพื่อนได้ยังไง...คุณนิดออกจะน่ารัก อ่อนหวาน แต่เธอ...”

มนตรีมองสำรวจอำไพหัวจดเท้าสายตาดูถูก...” สวยก็ไม่สวย กิริยาก็กระโดกกระเดก ไม่มีความเป็นผู้หญิง...หาดีไม่ได้สักข้อ”

อำไพกำมือแน่นด้วยความโมโห “ออกไปจากร้านฉันเดี๋ยวนี้!!”

มนตรี จ้องหน้าอำไพ “ฉัน-ไม่-ไป!”

อำไพหยิบหมอนบนเก้าอี้ขึ้นมา ปาใส่หน้ามนตรี มนตรีผงะ

“เธอจะบ้าเหรอไง?!”

“จะออกไปมั้ย”

อำไพจ้องหน้า มนตรีเดินมาประจันหน้า “ไม่ไป”

อำไพหยิบจับอะไรได้ก็ปาใส่มนตรีไม่ยั้ง มนตรีตาเหลือกตกใจ หลบซ้าย หลบขวา หลบไปหลบมาแต่ก็ไม่พ้นโดนของปาใส่หัว เสียฟอร์มสุด ๆ มนตรีจะออกไป เจอลูกค้าเปิดประตูเข้าร้าน ประตูกระแทกหน้ามนตรีอย่างแรง อำไพตกใจ

---@@@---

ด้านประจวบตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำ เพื่อไปทำงานเหมืองซึ่งรายได้ดีกว่า ชุมศรีตกใจมากเมื่อรู้ว่าประจวบจะไปทำงานเหมือง เพราะมันอันตรายมาก เธอเป็นห่วงและกังวลสุด ๆ

“คนเราถ้าถึงที่ตาย มันก็ต้องตาย ฉันไม่กลัวหรอก”

“แต่ดิฉันกลัวค่ะ ทำไมคุณต้องเสี่ยงถึงขนาดนี้ หรือว่าคุณเบื่อ อึดอัดใจกับงานที่นี่คะ”

“ชุมศรี...ฉันเคยบอกเธอแล้วไงว่า ฉันมีความสุขที่สุดที่ได้อยู่ที่นี่”

“ถ้าอย่างนั้นคุณจะหนีไปจากที่นี่ทำไม”

“ฉันไม่ได้หนี...แต่ยิ่งฉันมีความสุขมากเท่าไหร่ ฉันก็อดนึกไม่ได้ว่าฉันกำลังเห็นแก่ตัว กำลังเอาเปรียบพี่ใหญ่ที่กำลังเดือดร้อนอยู่ ฉันควรจะรีบหาเงินไปให้เขาเร็วที่สุด”

“ถ้าคุณจะไปทำงานเหมืองจริง ๆ ดิฉันจะไปด้วย”

ประจวบถึงกับอึ้ง ชุมศรีบอกเธอคงอยู่ไม่ได้ถ้าประจวบเป็นอะไรไป

“ชุมศรี ฉันไม่เป็นอะไรหรอก ฉันสัญญา”

“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่ต้องการคำสัญญา ดิฉันต้องการเพียงแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ คุณ ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน

ขอให้ดิฉันได้คอยอยู่ช่วยเหลือดูแลคุณเถอะนะคะ”

ประจวบมองชุมศรีด้วยความรักและซึ้งใจ

---@@@---

ชุมศรีมาคุยเรื่องนี้กับชวน และขออนุญาต พี่ชายไปอยู่ที่เหมืองกับประจวบ ชวนจึงถามชุมศรีตรง ๆ ว่า รักประจวบใช่ไหม ชุมศรียอมรับ

“แล้วเขารักเธอรึเปล่า”

“รัก...มั้งคะ พี่ชวน ให้น้องไปทำงานเหมืองกับคุณประจวบเถอะนะพี่”

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา dailynews

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 28 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 28 กันยายน 2553
“คนพรรค์นั้นทำอะไรเป็น...จับเข็มก็ไม่ติดมือ ซักผ้าก็บิดน้ำไม่แห้ง กวาดบ้านกวาดเรือนก็พอจะทำได้อยู่...แต่แม่ไม่อยากให้เข้าไปทำข้าวของในห้องแม่เสีย ๆ หาย ๆ ก็เลยต้องเลี้ยงเสียข้าวสุกไปแบบนี้”

โอชินลุกจากห้องเดินผ่านได้ยินเสียง สองคนแม่ลูกนั่งชยันโตถึงตนอยู่ในห้องกลาง พยายามเลี่ยงไปอีกทางหนึ่ง แล้วย้อนกลับมายังได้ยินเสียงเขาสนทนากันชัดเจน

“พี่ริวโซ่ก็เหลือเกิน ไปคว้าผู้หญิงยังงั้นมาเป็นเมียได้”

“เอาเถอะ ปล่อยให้มันอยู่เฉย ๆ อีกหน่อยมันก็คงรู้สึกตัว ถ้าไม่รู้สึกก็เห็นต้องออกปากไล่กันบ้าง บ้านทาโนะคุระไม่ต้อนรับคนที่เลี้ยง เสียข้าวสุกนะ”

โอชินย่างเท้ามาถึงห้องเฉลียงรับลมจากภายนอก มองเข้าไปภายในหัวใจเต้นระทึก ยิ่วกำลังนอนหลับอยู่อย่างสบาย มีมุ้งครอบปกคลุมอยู่ หัวใจเต็มไปด้วยความทรมานด้วยความคิดถึง ค่อยเขยิบปลายเท้าแผ่วเบาตรงเข้าไปเพื่อจะกอดจูบลูกให้สมกับความคิดถึง ทันทีเสียงจึเนะโกะร้องเรียก โอชินชะงัก รีบหันกลับย้อนไปทางเดิมตรงไปหาจึเนะโกะในห้องครัว

จึเนโกะทำอุด้งให้กิน โอชินตรงเข้าไปจัดการเพราะรู้สึกหิว ยังไม่ทันจะปรุงอะไรให้เข้าที่เข้าทาง เสียงโอคิโย่ซึ่งนั่งอยู่กับบุตรสาวในห้องกลางติดห้องครัวก็ดังขึ้นมาว่า

“เฮ้อ...นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ย คนเอาแต่นอนทั้งวันกลับมีแรงกินกลางวันหน้าตาเฉย”

“กรรมของคุณพ่อและพวกพี่ ๆ ใจอ่อน จนเกินไปก็ถูกผู้หญิงหลอกง่าย ๆ แบบนี้แหละค่ะ”

“สมัยที่แม่เป็นสะใภ้ คุณย่าของลูกดุยังกะอะไรดี แม่ขนาดเป็นไข้ตัวร้อนจัดยังไม่กล้าคิดจะล้มตัวนอนเลย เมื่อถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อ หิวแค่ไหนก็ไม่กล้ากินหรอก สะใภ้เมืองซาง่าเขาเป็นแบบนี้ แต่นี่อะไรกันเหนื่อยนิดหน่อย โอ๊ย...ทำงานไม่ไหวขึ้นมาละ...จะกินท่าเดียว”

“พี่จ๋า...ขอบคุณนะคะ...แต่กินไม่ลงแล้วค่ะ” พลางลุกขึ้นจะกลับไปที่ห้อง

โอคิโย่เรียกโอชินเสียงลั่นก่อนจะสั่งให้กลับมากินอุด้งที่ปรุงไปแล้ว

“เมื่อไม่กิน ทำไมมาผสมให้เสียของ อ้อ...ไม่พอใจคำพูดของฉันล่ะซี...เดี๋ยวก็คงจะต้องไปสำออยกับริวโซ่ ว่าถ้านอนอยู่เฉย ๆ ก็จะไม่ให้กินข้าว...ฉันไม่เคยพูดนะว่าไม่ให้แก กินข้าวน่ะ “จึเนะโกะ...เอาไปให้เขาหน่อยสิ... ประเคนหน่อย...ทำแล้วอย่าให้เสียของฉันไม่ชอบ ให้กินจนพอเลยก็แล้วกัน...”

โอชินยืนค้างทำอะไรไม่ถูก จิตใจเต็มไปด้วยความแค้นใจหาทางระบายไม่ได้

“ทำไมไม่รีบกินเข้าไปล่ะ”

โอชินจึงค่อย ๆ สืบเท้ามานั่งลงข้างชามอุด้ง จับตะเกียบกล่าวขอบคุณเสียงแผ่วเบา แล้วตักอุด้งกลืนกินผสมน้ำตาที่ตกคลั่กอยู่ในทรวงอก

---@@@---

ในวันต่อมาไดโงะโร่จึงพบโอชินเข้ามาที่ห้องกลางเพื่อบอกว่าจะออกไปทำงานอย่างเคย โอชินอ้างว่าได้พักวันหนึ่งแล้วจึงรู้สึกสบายขึ้นมาก วันนี้จึงจะออกไปทำงานในไร่ต่อ ไดโงะโร่ย้อนถามด้วยความไม่เข้าใจ คำถามของไดโงะโร่ดังพอที่จะเข้าหูโอคิโย่ซึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง แต่โอคิโย่ทำเป็นไม่ได้ยิน โอชินน้อมคำนับอีกครั้งก่อนจะถอยออกไป เมื่อโอชินไปแล้ว ไดโงะโร่หันมาถามภรรยา

“มีอะไรกันอีกล่ะ โอคิโย่ ต้องพูดกันเท่าไรจึงจะฟังกันบ้างนะ”

โอคิโย่รินน้ำชาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิด ขึ้น ไดโงะโร่จึงส่งเสียงดัง

“เอ...คุณนี่ก็...ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไงเล่า มันไม่ได้ออกไปทำงานวันหนึ่ง มันอาจจะหายเหนื่อยของมันก็ได้นี่นา...”

ไดโงะโร่รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นอย่างภรรยาบอก แต่วันเวลาก็ผ่านไปอีก โดยนับตั้งแต่วันนั้นโอชินไม่ยอมหยุดงานอีกเลย ออกไปทำงานที่ไร่กับริวโซ่ทุกวันจนกระทั่งถึงฤดูใบไม้ร่วง การ เก็บเกี่ยวข้าวเพื่อเก็บผลผลิตของชาวเมืองซาง่ากำลังจะมาถึง เช่นเดียวกับการกำหนดคลอดของโอชิน...ที่ใกล้เข้ามา

จู่ ๆ โอคิโย่ก็เรียกโอชินเข้ามาพบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอีก โอชินได้แต่นึกในใจว่าแม่สามีจะมาไม้ไหนอีก โอคิโย่ถามว่าเตรียมทุกอย่างพร้อมหรือยังก่อนจะเข้าเรื่องเมื่อโอชินบอกว่าพร้อมแล้ว

“ดี...ฉันจะบอกให้นะ...ห้องเก็บของน่ะ จะใช้เป็นห้องคลอดของอาจึโกะเขา...ส่วนเธอฉันอนุญาตให้ใช้บ้านหลังใน ตอนนี้ถึงมันจะผุพัง ไปบ้างก็ยังใช้เป็นห้องคลอดได้ พรุ่งนี้หยุดงานซะครึ่งวันไปทำความสะอาด...”

บ้านหลังใน เดิมทีสมัยที่ทาโนะคุระยังเป็นราชาที่ดิน ใช้เป็นสถานที่พักอาศัยของคนงาน ปัจจุบันเป็นห้องเก็บของที่รกรุงรังไม่ได้ทำความสะอาดมาแรมเดือนแรมปี ตั้งอยู่นอกอาณาเขตของบ้านทาโนะคุระ แต่ก็ติดกันแค่ข้ามประตูมาก็ถึงแล้ว

โอชินเข้าใจดีว่าเพราะเหตุใดมารดาของสามีจึงระเห็จตนไปคลอดลูกนอกเขตบ้านทาโนะคุระ มันเป็นเพราะนิยายงมงายเรื่องนั้นเอง ที่จะให้มีการคลอดพร้อม ๆ กันทีเดียวสองคนไม่ได้ในบ้านหลังเดียวกัน...

ริวโซ่ถึงกับแทบลมจับ เมื่อค่อย ๆ ผลักบานประตูออกและมองเข้าไปข้างในเห็นหยากไย่เต็มไปทั้งห้องมืดมิด

“ไอ้แบบนี้มันจะอยู่กันได้ยังไง”

“ช่างเถอะค่ะ เราเก็บกวาดเฉพาะตรงส่วน ที่จะพอคลอดก็แล้วกัน ใช่ว่าจะต้องอยู่ที่นี่ไปจนตายเมื่อไรกันคะ”

โอชินตอบสามีอย่างไม่สะทกสะท้าน จิตใจแห่งความเป็นแม่กำลังสมบูรณ์เต็มขีดสุด อีกไม่ช้าสายเลือดก้อนหนึ่งของเธอก็จะออกมาผจญ โลกแล้ว...ชีวิตในวันข้างหน้าไหนเลยจะต้องเลี้ยงลูกน้อย ทารกไม่เดียงสา ไหนเลยจะต้องทำงานราวกับทาส คงจะต้องลำเค็ญเหนือกว่าที่เป็นอยู่หลายเท่านัก...

---@@@---

ตอนที่ 34

วันรุ่งขึ้นโอชินกับริวโซ่ได้พักงานครึ่งวันเอาเวลาไปชำระคราบสกปรกอันเรื้อรังมาแรมปีของบ้านหลังใน นอกเขตบริเวณบ้านทาโนะคุระ ทันทีที่เห็นสภาพบ้านริวโซ่ก็แทบทรุดรู้สึกราวกับตัวเองไม่ใช่ทายาทคนหนึ่งของตระกูลที่สามารถติดดาบได้อย่างสมเกียรติยศซามูไร ทุกครั้งที่เขามองดูเมียท้องแก่หยิบโน่นฉวยนี่อย่างฉับไวและกระฉับกระเฉงเขาอดแปลกใจในความอดทนแห่งการสู้กับชีวิตของเธอมิได้

เขาอาจจะกระทำความผิดอย่างใหญ่หลวงในการที่เขาตัดสินใจนำโอชินมาที่เมืองซาง่า ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่เรื่องเล็กไปจนเรื่องใหญ่โตล้วนแล้วแต่ผิดความคิดหมายไปเสียทั้งสิ้น สำหรับ โอชินแล้วเธอคุ้นเคยดินมาแต่เล็กแต่น้อย ชีวิตของเธอดูเหมือนจะเป็นหนี้บุญคุณแก่ดินอย่างมากมาย อย่างชนิดจะใช้เอาไม่หมดทีเดียว ชีวิตที่ดำเนิน มาบางครั้งเท้าลอยเหนือดินแต่แล้วมันกลับจมดินลงอีกครั้งและอีกครั้ง

โอชินถือเป็นเรื่องเคราะห์กรรมที่เธอจะต้องมาคลอดนอกเขตบ้านทาโนะคุระ แต่เป็นการดีแล้วที่เคราะห์ร้ายเสียก่อนจะเคราะห์ดีได้ คลอดลูกอย่างปลอดภัย...สำหรับเธอ...ดูเหมือนดินฟ้าอากาศช่างเต็มไปด้วยวิญญาณที่ร้ายกาจนักหนา ไม่สามารถจะทนดูโอชินมีความสุขได้ ริวโซ่กับ โอชินช่วยกันชำระส่วนหนึ่งของบ้านหลังนั้นจนสะอาดเรียบร้อยในเวลาโพล้เพล้ โอคิโย่ เดินซอยเท้ามาจนถึงข้างในแลดูความเรียบร้อยที่ไม่น่าเชื่อ

“จัดการได้เรียบร้อยดีนี่”

“ก็ได้คุณริวโซ่ช่วยแหละค่ะ”

“บ้านสมัยก่อนนี้สร้างแข็งแกร่งดีจังครับคุณแม่...ได้เห็นเนื้อไม้แล้วแบบนี้ไต้ฝุ่นยังไม่ต้องไหวหวั่นเลยนะครับ”

“โอชินอาจจะเจ็บท้องเมื่อไรก็ได้ ถ้ายังไงริวโซ่มานอนเสียด้วยกันก็ได้นะ”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เจ็บท้องก็ยังมีเวลาเรียกหาทันถมไปค่ะ”

“แต่เธออาจจะเจ็บตอนเที่ยงนางกลางคืนก็ได้ ฉันมานอนเป็นเพื่อนจนกว่าจะคลอดก็แล้วกัน”

“ดี...แม่ค่อยสบายใจหน่อย นี่เป็นกระดาษ น้ำมัน...รู้แล้วไม่ใช่รึว่าเวลาคลอดจะต้องปูกระดาษนี้ไปข้างบนพื้น”

“ทราบค่ะ”

“อาจึโกะก็ ต้องเตรียมกระดาษน้ำมันให้เหมือนกัน...ก็เลยซื้อมาให้ด้วย”

“ขอบคุณค่ะที่เป็นห่วง”

“เฮ้อ...เธอกับอาจึโกะนี่ ไม่รู้ใครจะคลอดก่อนใคร...อยากให้มันเสร็จไปซะเร็ว ๆ แม่ละก็หายใจไม่ทั่วท้องมาหลายวันแล้ว”

โอคิโย่เดินกลับเข้าไปในบ้านทาโนะคุระส่งเสียงหัวเราะทับถมความกังวลอันใหญ่หลวงสืบเนื่องมาแต่ความเชื่อที่ว่า ถ้าคลอดพร้อมกันสองคนในบ้านเดียวกัน...จะมีความตายเกิดขึ้น...

“เฮ้อ บ้านใหญ่ ละก็ตื่นเต้นเสียจริง ๆ”

“แต่ถึงไง คุณแม่ก็ยังกรุณาเป็นห่วงฉันนะคะคุณ”

“ใช่ละซี...ก็อุตส่าห์ไล่เธอออกมาจากบ้านนี่...”

โอชินยิ้มฝืดเคืองพอดีกับจึเนะโกะปรากฏ ที่ประตูบ้าน “อ้อ...พี่จึเนะ...”

“คิดว่าเข้านอนแล้ว น่าสังเวชโอชินเสียจริง เผอิญจะต้องมาคลอดพร้อมกับอาจึโกะด้วย... ไม่งั้นก็ไม่ต้องออกมาลำบากที่นี่หรอก เอาผ้าผืนนี้ปูพื้นชั้นหนึ่งก่อนค่อยปูกระดาษน้ำมันทับ เวลาคลอดหัวเด็กจะได้ไม่กระแทกพื้น ข้างในยัดปอไว้ถือว่าเป็นคาถากันผี...เมื่อเตรียมให้อาจึโกะฉันก็เลยทำเผื่อเธอด้วย”

“ให้ฉันรึคะ พี่”

“ฉันมันแค่สะใภ้ ทำอะไรให้มากกว่านี้ก็ไม่ได้ทั้ง ๆ ที่อยากจะทำ คิดว่าเป็นน้ำใจก็แล้วกันนะ”

“ขอบคุณค่ะ”

ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 28 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 28 กันยายน 2553
“กระหม่อม..จำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”

“นั่นสิ เห็นแม่ครั้งสุดท้ายก็ 3 ปีแล้ว ตอนนี้เจ้าหิวรึเปล่าหา ไหนบอกแม่สิ แล้วเจ้า.. อยากจะกินอะไรรึเปล่า บอกกับแม่มาได้เลยนะ”

“หม่อมฉัน ชอบอาหารที่พระสนมยอนฮึงจัดเตรียมไว้ให้ ..อยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

“ไม่เป็นไร ไหนลองชุดดูหน่อย นี่เป็นชุดที่แม่ตัดเย็บให้เองกับมือ”

“โอ๊ย..”

“แม่ แม่ขอโทษนะ แม่ไม่รู้ขนาดตัวของลูก คงจะเล็กเกินไปมั้ง”

“ท่านอ๋องเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ”

“วังซง ออกไปข้างนอกก่อน” พระเจ้าซองจง ตรัส

“ท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้เจอลูก 3 ปีแล้วนะ”

“รีบออกไปเร็วเข้าสิ”

“พะ..พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” วังซง กล่าวทูล

---@@@---

พระเจ้าซองจง รับสั่งให้พระนางชอนชู กลับไป

“หึ 3 ปีแล้วนะ 3 ปีแล้วที่หม่อมฉันไม่เจอลูก ตอนแรกพระองค์บอกว่าให้เจอหน้าทุก 3 เดือน แล้วกลายเป็น 6 เดือน หนึ่งปี แล้วกลายเป็น 2 ปี แล้วก็ 3 ปีในที่สุด เพิ่งเจอลูกในรอบ 3 ปี ยังจะทรงขับไล่อีกเหรอ”

“พรุ่งนี้ ในพิธีสถาปนาเจ้าจะได้เจอวังซง ดังนั้นตอนนี้เจ้าต้องออกไปก่อน”

“ไม่ใช่รัชทายาท แถมไม่ได้เป็นองค์ชายแห่งฮวางจู แต่กลับเป็นองค์ชายแห่งแคลองงั้นเหรอ ทำไมไม่แต่งตั้ง ในนามฮวางจูของเสด็จย่าเราล่ะ ทำไมถึงได้ตั้งชื่อด้วยเขตพื้นที่ของกลุ่มชิลลา”

“แล้วมันต่างกันตรงไหนล่ะ บรรพชนรวม 3 อาณาจักรมา 60 ปีแล้วนะ ตอนนี้ไม่ มีแผ่นดินของชิลลาอีกต่อไป จะพื้นที่ชิลลา ฮวางจูก็เป็นพื้นที่ของโครยอ เหมือนกันทั้งนั้นแหละ”

“ถ้างั้นทำไมถึงทอดทิ้งดินแดนทางเหนือ แล้วให้ความสำคัญกับชิลลานักล่ะ”

“นี่แหละคือ สาเหตุที่ข้าต้องเรียกให้เจ้ามาเข้าเฝ้า คังกัมชันบอกกับเจ้าแล้วใช่มั้ย ว่าให้เจ้าอยู่เฉย ๆ ในฐานะมเหสีราชาองค์ก่อน ถ้าหากเจ้ายังก่อเรื่องวุ่นวายในทางเหนือ ยังทำสงครามกับหนี่เจินอีกข้าจะไม่ปล่อยเจ้าแน่”

“ก่อความวุ่นวายงั้นเหรอ ก็เพราะท่าน อ๋องทำเหมือนคนตาบอด ไม่สนใจชาวบ้านที่ ถูกเผาบ้าน ถูกปล้นชิงแถมยังต้องถูกฆ่านั่น ทิ้งประชาชนกับดินแดน แล้วเอาแต่ไปหมกมุ่นอยู่กับพวกขุนนางฉ้อฉลพวกนั้น”

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมายุ่ง ผู้หญิงอย่างเจ้าจะไปรู้เรื่องอะไรกัน”

“มีอะไรที่หม่อมฉันไม่รู้บ้างล่ะ”

“สงครามระหว่างต้าซ่งกับชี่ตันได้สงบเป็นเวลา 2 ปีแล้ว ในช่วงก่อน ราชสำนักซ่งได้ร้องขอทหารและเสบียงจากประเทศเรา แต่เราปฏิเสธไปว่าขาดกำลังและเสบียง แต่เจ้ากลับไปสู้รบกับพวกหนี่เจินแบบนี้ คิดดูสิว่า การอยู่ระหว่างสองประเทศใหญ่ควรจะทำตัวยังไง”

“ด้วยเหตุผลนี้พระองค์ก็เลยสลายกองกำลังทหารแล้วก็วางอาวุธทิ้งเหรอ พระองค์ควรระดมกำลังทหาร สร้างกองทัพให้แข็งแกร่งจนไม่มีใครกล้าที่จะรุกราน พวกนั้นไม่ได้เข้มแข็งกว่าประเทศเราหรอก”

“เลิกพูดได้แล้ว ต่อให้เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อการทำสงคราม แต่ข้าก็ไม่อยากได้ยินเจ้าพูดเรื่องนี้แล้ว เจ้าจงกลับไปอยู่ฮวางจูอย่างผู้หญิงคนนึงดีกว่า”

“ไม่ได้ หม่อมฉันไม่มีวันทำแบบนั้น”

“นี่เจ้ากล้าขัดโองการของข้าอย่างนั้นรึ”

“ก็เฉพาะโองการที่ไม่เอาไหน” พระนาง ชอนชู ตรัส

“ถ้าเจ้ายังยืนยันจะทำแบบนั้น เจ้าก็ต้องรับผลเอาเอง”

“ทำไม พระองค์จะสั่งคุมขังหม่อมฉันงั้นรึ”

“ถ้าเจ้ายังขัดขืนต่อไป เจ้าจะไม่ได้เจอวังซงอีก เชื่อฟังข้าดีกว่า ตอนนี้ข้าเป็นอ๋องนะ เจ้าอย่าเพิ่งลืมสิ” พระเจ้าซองจง ตรัส แล้ว พระนางชอนชู ร้องไห้

“พระมเหสี” คังโจ ทูล

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ได้ร้องไห้ ต้องไม่ร้อง ข้าควรจะไปเยี่ยมพระมเหสีซะหน่อย อุตส่าห์ได้เข้ามาในวังหลวงทั้งที” พระนางชอนชูตรัส แล้วไปเข้าเฝ้าพระมเหสีมุนด๊อก

---@@@---

จูจอง เข้ามาเกี้ยวพาราสี ยูนซังกุง โดยนำสิ่งของมามอบให้พร้อมบอกความรู้สึกที่มีต่อนาง แต่ระหว่างนั้นได้มีพวกหนี่เจินแอบลอบเข้ามาในวังจับตัวพระมเหสีฮยังบี กับคนจากวังมองบ๊อกไป

---@@@---

กามุน กลับมารายงานชียังว่าได้ทำภารกิจสำเร็จจับตัวพระมเหสีมา พร้อมกับทิ้งหลักฐานไว้แล้ว ด้านจูจองกลับมารายงานพระนางชอนชู ที่กำลังจะเสด็จไปร่วมงานพิธีสถาปนารัชทายาท

“เกิดเรื่อง...แล้วพระมเหสี....”

“ท่านพ่อบ้านอีก เกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไม ท่านถึงบาดเจ็บล่ะ” คังโจ ถาม

“เกิดเรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ วังมองบ๊อกถูกพวกโจรชั่ว บุกเข้ามาโจมตีถึงในวังพ่ะย่ะค่ะ..”

“เจ้าว่าไงนะ” พระนางชอนชู ตรัสถาม

---@@@---

ตอนที่ 10....

พระนางชอนชูรีบถามถึงฮวางโบซอล ว่าเป็นอย่างไรถูกจับตัวไปด้วยหรือไม่ จูจองทูลว่า ตนเองรีบหนีออกมาก่อนจึงยังไม่ทันได้ตรวจสอบ คังโจจึงทูลเสนอให้พระนางชอนชู เข้าวังไปงานสถาปนาองค์ชาย ส่วนเรื่องที่วังมองบ๊อก ตนเองจะเป็นคนไปจัดการเอง

---@@@---

ที่วังหลวง พระเจ้าซองจงประกาศในพิธีสถาปนาองค์ชาย

“วังซงโอรสพระนางซุงด๊อก ผู้เป็นพระนัดดาพระเจ้าซองจง ในขณะที่กำลังเจริญชันษา มีคุณธรรม ที่ไม่เคยด่างพร้อย อีกทั้งเป็นผู้ที่มุ่งมั่น ฝักใฝ่ในการศึกษาอย่างยิ่ง วันนี้จึงมีพิธีสถาปนาเป็นองค์ชายแห่งแคลอง จงเห็นบ้านเมืองสำคัญกว่าครอบครัวของตนเอง เคารพกฎเกณฑ์สำคัญระหว่างผู้ปกครองกับ ขุนนาง เคารพในคำสอนแห่งจารีตประเพณี จงปฏิบัติ และรักษาเอาไว้”

---@@@---

คังโจ รีบเดินทางไปวังมองบ๊อก ในขณะที่กำลังเดินทาง พระนางชอนชู ก็ควบม้า ตามมาทัน ตรัสกับคังโจว่า นางยังมีโอกาสได้พบลูก แต่เรื่องวังมองบ๊อกถูกโจมตีไม่ใช่เรื่องธรรมดา จากนั้นทั้งสองจึงรีบเดินทางต่อไปทันที

---@@@---

พระเจ้าซองจง ตกพระทัยเมื่อรู้ว่าวังมองบ๊อกถูกคนมาโจมตี รับสั่งให้กัมชันอธิบายว่าเป็นฝีมือพวกไหน

“ตอนนี้ ยังสืบไม่ได้พะย่ะค่ะ แต่ดูจากลักษณะภายนอกแล้ว น่าจะเป็นพวก หนี่เจินพะย่ะค่ะ เรื่องนี้ ทำให้พระนางซุงด๊อกไม่อาจ... มาเข้าร่วมพิธีสถาปนา เพราะต้องเสด็จกลับฮวางจูในทันที”

“ท่านอ๋อง เรื่องนี้ถือว่าร้ายแรงมาก พวกเราจะต้องรีบส่งทหารไปจับกุมคนร้ายและก็ช่วยเหลือตัวประกันออกมาพะย่ะค่ะ เราคงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับเรื่องของการรับมือเผ่าหนี่เจินให้มากขึ้น” ซอฮุย ทูล

“ใช่พะย่ะค่ะท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้เผ่าหนี่เจิน ได้โจมตีประชาชนของเรามาหลายครั้ง ตอนนี้พวกมันถึงกับกล้าบุกรุกเข้าประเทศเรา และโจมตีวังของเชื้อพระวงศ์แล้วพะย่ะค่ะ พวก เราจำเป็นต้องรีบจัดการโดยด่วน” คอมอึย ทูล

“ท่านอ๋อง แม้ว่าเรื่องนี้อาจจะดูเป็น เรื่องที่ร้ายแรงมากก็จริง แต่กระหม่อมคงต้อง กราบทูลว่ามันเกิดขึ้นมาจากพระนางซุงด๊อกเอง กระหม่อมยังคิดว่าพระนางน่าสงสัยอีกด้วย” ชอยซอม ทูล

ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 28 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 28 กันยายน 2553
จิมมี่หายใจหอบ ๆ และพยายามพยุงร่างกายตัวเองขึ้น แต่ความที่งุนงงทำให้จิมมี่เซร่างกระแทกข้าวของเก้าอี้ในห้องล้มลงเกิดเสียงดัง ปยุตรหันขวับไปตามต้นเสียง ก่อนวิ่งเข้าไปด้านในรวดเร็ว พอเข้าไปถึงห้องนอนก็เห็นจิมมี่นอนแน่นิ่งกับพื้นด้วยสภาพเนื้อตัวบาดเจ็บอ่อนแรง

“เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับเฮีย!!!” ปยุตร โทรฯ รายงานเฮียใหญ่อย่างตกใจ

---@@@---

ตอนที่ 20

ปยุตรและเฮียใหญ่รีบนำตัวจิมมี่ส่งโรงพยาบาล จิมมี่นอนลืมตาโพลงดูเลื่อนลอย หมอบอกว่าจิมมี่ถูกทำร้ายด้วยของแข็งที่ศีรษะและถูกแทงที่ท้องกับต้นขา แต่หมอไม่ห่วงอาการภายนอกแต่ห่วงอาการภายในโดยต้องรอผลจากห้องแล็ปก่อนจึงจะทราบแน่ชัดว่าจิมมี่เป็นอะไร

ปยุตรบอกเฮียใหญ่ว่าคนที่ทำร้ายจิมมี่ไม่น่าจะใช่เจ้าหนี้ เพราะตำรวจไม่พบพิรุธของเจ้าหนี้เลยและตำรวจของให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ เฮียใหญ่ว่าตำรวจคงจะกลัวคนร้ายไหวตัวทัน

---@@@---

รมมี่ถ่ายละครเสร็จก็จะชิ่งหนี แต่พีท มาดักรอที่จอดรถและลากให้รมมี่กลับบ้านพร้อมกัน รมมี่บอกมีธุระต้องไปต่อและรีบขับรถออกไปเลย พีทหัวเสียมาก น้ำหวานออกมาเยาะเย้ยบอกว่ารมมี่มีผู้ชายคนใหม่ และให้พีทตามไปดู พีทมองหน้าน้ำหวานไม่ไว้ใจและ ถามว่าต้องการอะไร น้ำหวานยักไหล่บอกแค่อยากให้พีทตาสว่าง

พีทและน้ำหวานแอบตามรมมี่มาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง รมมี่นัดผู้ชายคนหนึ่งมานั่งคุยกันอย่างออกรส น้ำหวานใส่ไฟยกใหญ่ พีทเห็นเข้าก็ต่อมหึงแตก โมโหจัดเดินออกจาก ร้านไปเลย น้ำหวานรีบตามพีทออกไปทันที

ด้านผู้ชายที่กำลังคุยกับรมมี่ที่แท้คือคนที่จะจ้างรมมี่เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา โดยทั้งสองพูดคุยกันเรื่องงานที่รมมี่จะทุ่มสุดตัวโดยจะไปเสริมหน้าอกเพื่องานนี้โดยเฉพาะ โดยที่รมมี่ไม่ รู้เลยว่าเหตุการณ์นี้ทำให้พีทเข้าใจผิดไปเต็ม ๆ

---@@@---

พีทเสียใจมากินเหล้าจนเมามายที่ผับหรูแห่งหนึ่ง น้ำหวานยิ้มและประคองพีทออกมาจากผับ ปยุตรซึ่งมาหาข่าวก็อตซิปเห็นเข้าพอดีจึงขับรถตามไปโดยที่น้ำหวานไม่รู้ตัว ระหว่างทางมอเตอร์ไซค์ของปยุตรถูกรถคันหนึ่งตัดหน้า ทำให้ปยุตรตามน้ำหวานไม่ทัน ด้วยความเป็นห่วงพีท ปยุตรจึงตามไปที่คอนโดฯน้ำหวานแต่ พนักงานคอนโดฯบอกน้ำหวานยังไม่กลับมา ปยุตรจึงรีบบึ่งไปที่คอนโดฯของพีท

ที่คอนโดฯพีทน้ำหวานประคองพีท นอนลงบนโซฟาและหาผ้ามาเช็ดหน้าให้ พีท โวยวายตัดพ้อรมมี่ด้วยอาการเมา “คุณไม่เป็นผม คุณไม่เข้าใจหรอก ผมรักเขา คุณได้ยินมั้ยว่าผมรักรมมี่”

“รักกันเหลือเกิ๊น เดี๋ยวชั้นจะทำให้แกสองคนเกลียดกันจนมองหน้ากันไม่ติดเลย!!!” น้ำหวานเบ้ปาก ก่อนจะปรับท่าทีเป็นยิ้มและโผเข้ากอดพีท “ใครไม่รักคุณแต่น้ำหวานรักคุณนะ คุณพีท..” น้ำหวานลูบไล้ไปตามตัวพีท จนพีทไม่อาจยั้งใจได้ พีทระดมจูบใส่น้ำหวาน วงจรปิดซึ่งติดไว้ที่มุมตึก บันทึกภาพของทั้งสองคนเอาไว้ได้อย่างถนัดถนี่

---@@@---

ปยุตรไปที่คอนโดฯพีท แต่กลัวว่าพนัก งานที่ดูแลคอนโดฯจะไม่ให้เข้า จึงโกหกว่านัดสัมภาษณ์พีทไว้ พร้อมกับชูบัตรนักข่าวไทยนิวส์ พนักงานออกอาการงงว่านัดสัมภาษณ์อะไรกันตอนตีสอง แต่ก็ยอมให้ปยุตรเข้าคอนโดฯไป

ปยุตรมากดกริ่งหน้าห้อง พีทสะดุ้งตื่นแต่ก็ต้องตกใจเพราะน้ำหวานนอนเปลือยกาย อยู่ข้าง ๆ เสื้อผ้าของเขาก็ไม่ติดอยู่บนร่างกายสักชิ้น พีทจำอะไรไม่ได้แต่ก็พอจะเดาเหตุการณ์ออก พีทมึนตึ้บ!! รีบจับน้ำหวานใส่เสื้อผ้า แล้วพยายามลากน้ำหวานให้ออกไป น้ำหวานขัดขืนไม่ยอมไป พีทดึงน้ำหวานไปที่ประตู เมื่อเปิดออกก็เจอปยุตรยืนอยู่ ต่างคนต่างช็อก น้ำหวานตกใจเหมือนกันแต่ต้องรีบเล่นละครใส่ปยุตรบอกว่าพีทพาเธอมาที่ห้องและปล้ำเธอ แต่ปยุตรไม่เชื่อลมปากของน้ำหวานและบอกให้น้ำหวานกลับบ้าน

“ไม่...น้ำหวานไม่ไปไหนทั้งนั้น คุณ พีท ต้องรับผิดชอบน้ำหวาน!!”

“ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง แต่ผมไม่ได้ปล้ำเค้า!!” พีทมองหน้าปยุตรขรึม

ปยุตรเชื่อในคำพูดของพีท “เรื่องนั้นไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะครับ”

ปยุตรหันไปดึงมือน้ำหวาน น้ำหวานมือเป็นปลาหมึกคว้าทั้งพีท ทั้งปยุตร ปยุตร บอกว่าจะพาน้ำหวานไปส่งบ้าน น้ำหวานไม่ยอมไป แต่ในที่สุดปยุตรก็ลากน้ำหวานออกมาจากห้องพีทจนได้

ปยุตรลากน้ำหวานมาหน้าลิฟต์ น้ำหวานยื้อยุดเสียงดังทำให้มีคนออกมาแอบดู แล้วก็แจ๊กพอต เมื่อมีมือดีคนหนึ่งถ่ายคลิปไว้ได้ เป็นภาพปยุตรกำลังลากและน้ำหวานไม่ยอม แต่ดูยังไงก็เหมือนปยุตรกับน้ำหวานนัวเนียกัน

---@@@---

วันรุ่งขึ้น พีทมาหาปยุตรที่คอนโดฯแต่เช้าเพื่อขอร้องปยุตรให้ปิดเรื่องเขากับน้ำหวาน โดยเฉพาะห้ามให้รมมี่รู้ เขายอมจ่ายเท่าไหร่ก็ได้ ปยุตรหน้าตึงที่พีทกำลังดูถูกเขา ปยุตรว่าเขาเป็นนักข่าวมีจรรยาบรรณที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร พีทดีใจที่ปยุตรจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร ปยุตรพยักหน้า

“แม้แต่กับเหมย?!” พีทโพล่งขึ้น ปยุตรอึ้งไป เพราะสัญญากันไว้กับเหมยว่าจะไม่มีอะไรปิดบังกัน แต่ก็ต้องยอมรับปากพีท พีทขอบคุณปยุตรและยิ้มกว้างออกมา

“ไม่ต้องขอบคุณหรอก เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ”

พีทยื่นมือมาให้ปยุตรจับ ทั้งสองจับมือกันให้สัญญาลูกผู้ชาย
---@@@---

กองถ่ายละครยอดยาหยี ศิลป์แดกดันและว่าเหมยตลอดเวลา ปุ๊โกะและฟรุตตี้กระซิบนินทาที่ไม่ว่าเหมยจะทำอะไรก็ถูกศิลป์ว่าทุกที เหมยแสดงสุดความสามารถพอจบซีนทุกคนปรบมือชื่นชมเหมย ตอนแรกน้ำหวานคิดว่าทุกคนปรบมือให้ตัวเอง แต่พอเห็นคน เข้าไปหาเหมย ก็เบ้ปากใส่ ศิลป์เดินเข้าไปและชมน้ำหวานเสียงดังประชดเหมยเพื่อให้ทุกคนได้ยิน เหมยรู้ตัวว่าศิลป์ตั้งใจพูดประชด แต่ก็ไม่ใส่ใจ

---@@@---

ศิลป์และน้ำหวานส่งสายตาปิ๊ง ๆ ในกองถ่าย ทนไม่ไหวจึงตามมาพลอดรักกันในห้องน้ำหญิง น้ำหวานเอามือยันศิลป์ไว้เพราะกลัวคนมาเห็น ก่อนจะสำรวจความเรียบร้อยของตนเองและเดินออกไป ศิลป์กำลังจะเปิดประตูออกมา แต่ปุ๊โกะและฟรุตตี้เดินเข้ามาเสียก่อน ศิลป์จึงต้องผลุบเข้าไปในห้องน้ำอีกครั้ง ฟรุตตี้โต้เถียงและไล่ปุ๊โกะให้ไปเข้าห้องน้ำชาย แต่ปุ๊โกะไม่สนใจรีบเข้าห้องน้ำไป ฟรุตตี้หัวเสียเดินเข้าอีกห้อง ศิลป์แง้มประตูออกมาเห็นว่าปลอดคนจึงรีบออกมาจากห้องน้ำหญิงอย่างฉิวเฉียด

---@@@---

พีทมาดักรอรมมี่หลังเลิกกอง พีทบอกขอคุยด้วย รมมี่เกรงว่าพีทจะรู้เรื่องการทำหน้าอกของตัวเองก็พยายามเลี่ยง พีทถามว่ารมมี่กำลังทำอะไร รมมี่คิดว่าพีทรู้เรื่องแล้วเลยบอก ถ้าจะพูดเรื่องนี้เธอขอตัว แต่พีทดึงมือไว้

“ผมรบกวนเวลาคุณไม่นานหรอก ผมรู้ว่าเวลาของคุณมีค่า”

“ใช่ เวลาของชั้นมีค่า และก็ไม่มีเวลามาฟังเรื่องไร้สาระที่คุณจะพูดด้วย”

“ผมมันไร้สาระมากใช่มั้ย คุณถึงต้องไปหาเรื่องที่มันมีสาระคุยกับคนอื่นน่ะ” พีท น้อยใจมาก

“นี่คุณเป็นอะไร อยู่ดี ๆ ก็มาพาลใส่ชั้น” รมมี่พยายามเก็บอารมณ์ พีทถามว่าหลบหน้าเขาทำไม รมมี่บอกไม่ได้หลบแต่ไม่มีอะไรจะคุย

“ทีกับคนอื่นคุณมีเรื่องคุยตั้งเยอะ แต่กับผมคุณไม่มีอะไรจะคุย” พีทแขวะอีก

“เออ...มีก็ได้” รมมี่พีทจ้องหน้านิ่ง ก่อนหลบตา

“แต่ชั้นไม่รู้จะบอกคุณยังไง” รมมี่จะ เดินหนี แต่พีทคว้าหมับ “มันยากนักใช่ไหมที่จะบอกผมว่าคุณกำลังมีคนอื่น!!!”

รมมี่ตาโต พีทพูดอะไร?!!

---@@@---

ในงานเดินแบบ มดแดงพาไม้มาแนะนำให้คนโน้นคนนี้รู้จักในฐานะนายแบบคนใหม่ และดาวรุ่งในแวดวงไฮโซ โดยแนะนำว่าชื่อไมค์ น้ำหวานซึ่งกำลังแต่งหน้าอยู่แอบเหล่ ๆ มดแดงเหลือบไปเห็นจึงาพาไม้มาแนะนำให้น้ำหวานรู้จัก น้ำหวานจำไม้ไม่ได้แต่ไม้จำได้ขึ้นใจกับคนที่ดูถูกครอบครัวเขา มดแดงพาไม้ไปแต่งตัว น้ำหวานได้ยินช่างแต่งหน้าเมาท์กันว่าไมค์เป็นลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐีพันล้านที่เพิ่งเดินทางกลับมาเมืองไทย น้ำหวานได้ยินถึงกับหูผึ่ง

---@@@---
ที่มา เดลินิวส์