อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 4 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 4 ตุลาคม 2553
“ทำไมนายต้องมาสนใจดูแลฉันด้วย

“ก็...ไม่รู้สิ ผมแค่รู้สึก..อยากช่วยคุณ จริง ๆ นะ”

ธามเงยหน้าสบตาบาจรีย์ แล้วล้างแผลให้บาจรีย์ต่ออย่างเบามือและอ่อนโยน บาจรีย์แอบมองธามโดยไม่ขัดขืนอีกเลย

---@@@---

ระหว่างที่ช่วยทำแผลให้พชร ลำธารเห็นพชรมีท่าทีท้อแท้ โทษว่าเป็นความผิดของตัวเองที่ปกป้องค่ายไว้ไม่ได้ จึงช่วยพูดปลอบให้พชรมีกำลังใจ

“พชร นายอย่าโทษตัวเองนะ เรื่องอะไรที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ อย่าง น้อย ๆ ตอนนี้นายก็ยังมีลมหายใจ มีร่างกายที่เข้มแข็งพอจะต่อสู้กับวันข้างหน้า มีคนรอบตัวที่พร้อมจะยืนหยัดเคียงข้างนายรวมถึง นายยังมีฉัน” ลำธารวางมือลงที่มือของพชรอย่างให้กำลังใจ

พชรหันมาสบตาลำธาร ลำธารเองก็อึ้ง ที่หลุดปากบอกความนัย

“ฉันหมายถึงยังมีเจ้าหญิงบาจรีย์ที่พร้อม จะเป็นกำลังใจให้นายเสมอ”

“แล้วคุณล่ะลำธาร”

“ฉันอยู่เคียงข้างพวกเราทุกคน ไม่ ว่าใครก็ตามต่างมีความสำคัญต่อการกอบกู้ มินาลิน แต่ในฐานะที่นายเป็นผู้นำ นายควร จะเข้มแข็งและเป็นกำลังใจให้ทุกคน คน เราล้มได้แต่ต้องลุกให้ไวที่สุด ฉันพูดได้เท่านี้แหละ ที่เหลือนายคงคิดได้เอง...แล้วในฐานะ ผู้นำ นายบอกฉันทีสิ ว่าเราจะกลับไปเจอกับทุกคนที่ไหน”

พชรเล่าเรื่องค่ายสำรองที่หมู่บ้านชนพื้นเมืองทางป่าทิศตะวันตกให้ลำธารฟัง ลำธารนึกเป็นห่วงธามกับบาจรีย์ พชรปลอบใจไม่ให้ลำธารคิดมาก เชื่อว่าธามคงหาทางพาบาจรีย์ไปที่ค่ายสำรองได้ พชรเห็นว่าเริ่มเย็นมากแล้ว จึงตัดสินใจจะนอนพักค้างคืนกลางป่า ลำธารช่วยจัดเตรียมที่นอนให้พชรที่ได้รับบาดเจ็บ พชรค่อยรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาบ้าง

---@@@---

ธามออกไปสำรวจป่ากลับมาเห็นบาจรีย์ ก่อกองไฟเสร็จเรียบร้อยก็นึกทึ่ง แต่พอรู้ว่าบาจรีย์เอาแผนที่ค่ายสำรองที่ธามแอบคัดลอกเก็บไว้ในอกเสื้อไปจุดไฟ ธามก็โวยวายลั่นออกมาทันที บาจรีย์หน้าจ๋อยไม่คิดว่าเศษกระดาษที่อยู่ในเสื้อธามจะเป็นแผนที่

“ปัดโธ่เว้ย ให้มันได้ยังงี้สิ”

“ซวยเเล้ววววว”

“ใช่ ซวยมาก ซวยสุด ๆ ที่สุด ของความซวย อภิมหาโคตะระซวย ยัยตัวซวย”

“ถึงฉันจะทำยุ่ง...แต่ฉันก็หวังดีไม่อยากให้นายหนาวนะ”

ธามชะงักทันที ที่เห็นบาจรีย์เศร้าลงอย่างคนรู้สึกผิด บาจรีย์เดินหนีไปนั่งซึมหันหลังให้ธาม ธามมองบาจรีย์อย่างรู้สึกสงสาร

---@@@---

ภูษณะหาสมุนไพรมาทำแผลให้กับพา ริณ พาริณรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เห็นภูษณะคอยอยู่ดูแลไม่ห่างรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก

“ท่านภูษณะ ท่านไม่ต้องลำบากทำแบบนี้หรอก”

พาริณพยายามลุกขึ้น แต่ภูษณะแตะที่ไหล่พาริณเบาๆ

“ไม่เป็นไร นอนพักก่อนเถอะ ทำไม รังเกียจที่เราดูแลเจ้ารึไง”

“เปล่า แต่ฉันห่วงท่านพชร ในฐานะองครักษ์จะอยู่ห่างจากเจ้าชายไม่ได้ ท่านก็รู้ว่าตอนนี้ทหารดารัณกระจายอยู่ทั่วป่า”

“เจ้าห่วงพชร หรือว่าห่วงที่ตอนนี้พชรอยู่กับลำธาร”

พาริณอึ้งไปพูดไม่ออกบอกไม่ถูกภูษณะ จัดแจงถอดเสื้อตัวนอกห่มให้พาริณทันที

“ถ้าไม่อยากนอนซมเพราะพิษไข้ก็ต้องรีบพักผ่อน พชรเอาตัวรอดได้ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ตอนนี้ห่วงชีวิตของเจ้าเองจะดีกว่า เชื่อเราสิ”

ภูษณะยิ้มให้อย่างจริงใจ แล้วเดินไปนั่งลงที่โคนต้นไม้ พาริณมองไปทางภูษณะรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ

---@@@---

ลำธารนอนไม่หลับพลิกตัวไปมา มอง ไปรอบ ๆ อย่างรู้สึกหวั่น ๆ และเป็นกังวล จู่ ๆ พชรก็มานอนข้าง ๆ ลำธารหันมาโวย พชรอ้างว่าอยากมาอยู่ใกล้ ๆ คอยดูแล

“ลำธาร คุณทำให้ผมได้รู้ว่า ชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า อย่าท้อแท้กับความผิดหวังที่ผ่านพ้น และปัญหาที่เคยมีระหว่างเราผมจะไม่รื้อฟื้น หรือแก้ตัวอะไรอีก แต่ผมจะเริ่มต้นใหม่ จนกว่าคุณจะรู้ว่าผมไม่เคยเปลี่ยนความรักที่มีต่อคุณไปแม้แต่น้อย”

พชรบอกความรู้สึกจากใจ ด้วยความจริงจากหัวใจ ลำธารอึ้ง ๆ ไป รีบนอนหันหลังให้ทันที เขินกับสายตาหวานของพชร พชรพลิกตัวไปกระซิบข้าง ๆ หูลำธารบอกให้ลำธาร ฝันดี ลำธารไม่พูดตอบ แต่ก็ยิ้มออกมา สุขใจอย่างประหลาด…

---@@@---

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 4 ตุลาคม 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 4 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 4 ตุลาคม 2553
“เสด็จย่า การต้องเป็นผู้ปกครองวังมองบ๊อก มันลำบากจริง ๆ ใจของข้ามันลอยไปที่อื่นแล้ว ทุกคนเอาแต่คิดจะพึ่งข้า จนข้าเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ทำไมท่านถึงเอาภาระหนักแบบนี้มาให้ข้า ข้าควรจะทำยังไง ข้าควรทำยังไงดี เสด็จย่า” ชอนชูรำพึงอย่างเศร้าสร้อย

---@@@---

ตอนที่ 12

ชอนชูบอกกับคังโจว่าจะหยุดสร้างค่ายทางเหนือของชาวบัลแฮ คังโจแปลกใจที่ชอนชูมีความคิดเปลี่ยนไป คังโจเดาว่าคงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าซองจงที่ต้องการให้ชอนชูทิ้งวังมองบ๊อกและไปจากชายแดนทางเหนือ ชอนชูบอกถึงความจำเป็นที่ต้องเลือกองค์ชายแคลองผู้เป็นสายเลือด เพราะหากนางอยู่ทางเหนือ อยู่ในวังมองบ๊อกชอนชูอาจต้องเสียลูกชายไปตลอดกาล คังโจบอกว่าเขาไม่อยากทิ้งการสร้างค่ายไป แต่หากเป็นพระประสงค์ของชอนชูเขาก็พร้อมจะปฏิบัติตามและติดตามชอนชูไป เป็นเวลาเดียวกับจูจองเข้ามารายงานว่ามีคนจากแค-กยองมาขอเข้าเฝ้า

---@@@---

โจซังกุงมาพบชอนชูโดยบอกว่านำสาส์น จากพระสนมยอนฮึงมาบอก โดยพระสนมจะให้ชอนชูเจอกับองค์ชายแคลอง หลังจากพระเจ้าซองจงเสด็จไปแค-กยองแล้ว ให้ไปพบองค์ชายแคลองที่วัดคีเบิบ เพราะหากพบในพระราชวังอาจมีคนอื่นเห็น

---@@@---

วอนซุงมาบอกแผนที่จะกำจัดชอนชู และองค์ชายแคลองให้ชอยซอมฟัง โดยพระสนมยอนฮึงจะพาองค์ชายแคลองไปพบชอนชูที่วัดคีเบิบ หลังจากพระสนมออกจากวัดแล้วก็ให้สมุนปลอมตัวเป็นพวกหนี่เจินลงมือสังหารสองแม่ลูกให้สิ้นซาก ป้องกันพระเจ้าซองจงสงสัย

“เรื่องนี้ท่านวางใจข้าได้เต็มที่ รับรองว่าสำเร็จแน่นอน แต่ท่านต้องรับประกันว่าจะ ไม่มีใครที่คิดจะเสนอพระสนมองค์ใหม่ให้กับท่านอ๋อง ถ้าหากท่านยังคิดที่จะเสนอพระสนมคนใหม่ ข้ากับท่านต้อง...ตัด.. ความสัมพันธ์กัน” วอนซุงกล่าว

---@@@---

ยุนมาบอกพระมเหสีฮอนจองว่าวังอุกไป แค-กยองแล้วพร้อมกับกัมชัน โดยทิ้งจดหมาย บอกลาไว้

“พระมเหสี ต้องขออภัยที่ไปโดยไม่ลาอีกแล้ว สิ่งที่พระมเหสีรู้สึกต่อข้าเป็นสิ่งที่.. ข้าไม่อาจรับไหว ข้าเองก็กลัวว่าตัวข้าจะควบคุม ตัวเองไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงต้องไป ย้อน นึกถึงอดีต ใจของข้ายังคงเหมือนเดิม พระมเหสีก็ยัง..บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนวันวาน ยังเป็นเหมือนบุปผาที่บานบนชะง่อนผา อยู่ห่างไกลจากความ..ฟอนเฟะและโหดเหี้ยมของการเมือง แต่ว่าข้า..คนที่เอาแต่หนีปัญหาในชีวิต โดยไม่อยากสู้คนนี้คงไม่กล้าอาจเอื้อมไปเด็ด บุปผาที่อยู่ตรงนั้น ตลอดมาข้าหวังว่าเราจะได้เจอกันอีกสักครั้ง ตอนนี้ข้าก็ได้เจอท่านแล้ว ให้อภัยในความอ่อนแอของข้าด้วย ที่ข้าไม่กล้าพอที่จะรับความรักนี้ มีพบย่อมมีพราก มีพรากย่อมพบพาน ข้าเชื่อว่าการจากกันในวันนี้ พวก เรายังจะต้องได้พบกันอีก ความทรงจำที่มี ข้าจะขอเก็บไว้ในใจตลอดกาล ได้โปรด ถนอมตัวเองด้วย”

ฮอนจองอ่านจดหมายแล้วร้องไห้ด้วย ความเสียใจมาก

---@@@---

หลังจากที่พระเจ้าซองจงเดินทางไปซอ-กยอง ยอนฮึงก็พาองค์ชายแคลองมาที่วัดคีเบิบ ยอนฮึงบอกองค์ชายแคลองว่าจะให้พบกับชอนชู องค์ชายแคลองตกใจมากเพราะกลัวเรื่องจะรู้ถึงหูพระเจ้าซองจง

“เรื่องนี้ ข้าจะจัดการให้เอง แต่เจ้าต้อง จำเอาไว้อย่างนึงว่า ถึงนางจะเป็นคนให้กำเนิด แต่ข้าเป็นคนที่คอยเลี้ยงดูเจ้ามา ไม่ว่าใครจะพูดหรือว่าทำอะไร เจ้าก็เป็นเหมือนลูกแท้ ๆ ของข้าอยู่เสมอ เข้าใจรึเปล่า?”

“พ่ะย่ะค่ะ พระสนม” องค์ชายแคลองรับปาก ยอนฮึงให้องค์ชายแคลองเรียกตนเองว่าแม่ องค์ชายแคลองยอมทำตาม ยอนฮึงยิ้มอย่างดีใจ

ชอนชูมาที่วัดคีเบิบ ยิ้มออกมาอย่างยินดีที่ได้พบองค์ชายแคลอง ยอนฮึงปล่อยให้สองแม่ลูกได้พูดคุยกันโดยบอกว่าตอนเย็นจะ ส่งโจซังกุงมารับ ชอนชูกล่าวขอบคุณพระสนม อย่างจริงใจ

โจซังกุงกังวลว่าหากพระเจ้าซองจงทราบเรื่องจะมีปัญหาได้ พระสนมยอนฮึงบอกว่าทำในฐานะแม่คนนึงและจะรับผิดชอบเรื่องนี้เอง

---@@@---

องค์ชายแคลองรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูกเมื่อพบชอนชู เพราะไม่ได้เจอกันนาน ชอนชูพยายามพูดคุยเพื่อคลายความอึดอัด และพาองค์ชายแคลองเดินเล่นไปรอบ ๆ วัด

ระหว่างที่องค์ชายแคลองและชอนชูพบปะกันในวัดคีเบิบ ก็มีชายลึกลับปรากฏตัวขึ้น และตรงเข้ามาจะทำร้ายทั้งคู่ คังโจซึ่งคอยอารักขา ชอนชูจึงเข้าต่อสู้ หลวงจีนในวัดก็เข้ามาช่วยเหลือ ระหว่างที่ต่อสู้ชอนชูถูกคมดาบ ส่วนองค์ชายแคลองตกใจจนสลบไป คังโจพาชอนชูและองค์ชาย แคลองหลบหนี คังโจเห็นแผลจากคมดาบและเลือดไหลไม่หยุดจึงขอให้ชอนชูกลับไปรักษาตัว ที่วังซุงด๊อก ชอนชูว่าเมืองหลวงอันตรายควรจะกลับไปที่ฮวางจูจะดีกว่า

---@@@---

กามุนรายงานต่อชียังเรื่องที่ชอนชูไปพบองค์ชายแคลอง รวมไปถึงเรื่องที่พระเจ้าซองจงเสด็จเมืองซอ-กยอง

“ถ้าหากท่านอ๋องเสด็จจาก แค-กยองมาซอ-กยองจริง พวกเราจะมีโอกาสปลงพระชนม์ ได้” กามุนเสนอ

“นี่เจ้าพูดอะไรห้ะ?” ชียังเสียงดัง

“การจะจัดเตรียมคนของเราที่ซอ-กยองคงไม่ยากนัก ลองพิจารณาดูเถอะ นี่เป็นโอกาสที่ดีมาก”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้ ข้าบอกแล้วไงว่าอย่า เพิ่งใจร้อนเกินไป สถานการณ์ตอนนี้ที่เราต้องทำไม่ใช่ปลงพระชนม์ท่านอ๋องของโครยอ แต่ต้องสร้างความเชื่อใจให้ได้ อย่าลืมเป้าหมายหลัก ของพวกเราไปสิ เข้าใจรึยัง?”

“ขอรับ นายท่าน” กามุนรับคำ

---@@@---

ตามบันทึกประวัติศาสตร์ของโครยอ ได้บันทึกเรื่องราวการเสด็จประพาสของพระเจ้าซองจง การเสด็จประพาส ฤดูหนาวเดือนสิบในปีนั้น ทุกหัวเมืองและอำเภอที่ประพาส ผู้เฒ่า ผู้แก่ทั้งหลาย ต่างได้นำเอาเหล้าและวัวมาถวายแด่พระเจ้าซองจง เหล้าทรงประทานให้ทหาร ส่วนวัวก็ประทานคืนให้ราษฎร เมื่อพบผู้ที่เจ็บป่วยไม่สามารถทำการเพาะปลูกได้ ก็จะยกเลิกการเก็บภาษีให้ ผู้ที่เจ็บป่วยไม่สบายก็จะได้รับ การประทานยารักษาโรค การเสด็จประพาสเพื่อเยี่ยมเยียน ไม่เพียงแต่ทำให้ชาวซอ-กยองยินดีอย่างยิ่ง แต่ประชาชนรอบข้างก็ยินดีด้วย

---@@@---

กัมชันมาหาวังอุกถึงที่พำนักในป่า วังอุกปลีกวิเวกมาอยู่ในป่าคนเดียว กัมชันรู้ว่าที่วังอุกหนีมาอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเพราะฮอนจอง พระมเหสีรองวังมองบ๊อก วังอุกแปลกใจที่กัมชันเดาเรื่องของเขาออก

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 4 ตุลาคม 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 4 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 4 ตุลาคม 2553
“โอชินเป็นผู้หญิงที่ใจแข็งจริง ๆ นะคะ ฉันดูแล้วอดริษยาไม่ได้ ฉันเองเสียอีกอยากจะทำอะไรไม่ได้ทำเลย เป็นสะใภ้ ก็รู้อยู่ว่ามันต้องลำบาก จึงได้อดทน เคยคิดจะหนีออกจากบ้านนี้ตั้งหลายครั้งแต่ก็ทำไม่ได้ มาเห็นโอชินกล้าตัดสินใจมันสะใจอย่างบอกไม่ถูกทีเดียว”

คราวนี้ฟุกุทาโร่ก็เลยลุกนั่งด้วยความ ร้อนใจ กล่าวเฉียบขาดว่า “จึเนะโกะ...เรื่องบ้า ๆ อย่างนี้อย่าให้เข้าหูคุณแม่เป็นอันขาดนะ...เดี๋ยวเกิดเรื่อง”

รุ่งเช้าของวันถัดมา โอชินตั้งใจว่าจะอำลาบ้านทาโนคุระแต่เช้า ติดขัดในเรื่องยิ่ว เดินเข้ามาที่ห้องครัวพบจึเนะโกะเพียงคนเดียว ก็เข้าไปกราบขอบคุณที่ได้ช่วยเหลือมาตลอด

“จะไปแล้วรึ แล้วเรื่องยิ่วจะทำยังไง”

“จะลองไปขอร้องคุณแม่ดูอีกสักครั้งค่ะ”

“ไม่สำเร็จละมั้ง เอาแบบนี้เถอะ โอชินไปรอที่ตรงไหนสักแห่งนะ...ฉันจะเอายิ่วไปส่งให้เอง...พอเธอออกไปแล้วคุณแม่ก็จะเลิกระแวง ถึงตอนนั้นฉันจะแอบพายิ่วไปให้”

“นึกออกแล้ว รอฉันอยู่ที่หลุมฝังศพลุงเงนนะ”

สิ้นคำโอคิโย่เดินออกมาจากในห้องจึเนะโกะวางสีหน้าเรียบค้อมหัวให้กล่าวทักทาย โอคิโย่เปลี่ยนสายตามามองดูโอชินถามว่ายังไม่ไปอีกหรือ พอดีกับไดโงะโร่เดินออกมา โอชินค้อมศีรษะให้กล่าวอำลา

“ขอให้โชคดี ต่อไปถ้าลำบากขึ้นมาละก็อยากจะกลับมาก็เชิญ”

“พูดเป็นเล่น ไปแล้วจะกลับมาอีกไม่ได้ โอชินก็ต้องเข้าใจตามนี้”

“เธอนี่ก็พูดไปได้ ยิ่วก็ยังอยู่ที่นี่จะตัดแม่ตัดลูกได้ยังไง”

ฟุกุทาโร่เดินมาหาโอชิน ยื่นซองเงินส่งให้กล่าวว่า “นี่คือน้ำใจของฉัน โอชินได้ช่วยงานฉันอย่างมาก ขอให้รับไว้ด้วย”

โอชินน้อมรับไว้ด้วยความซาบซึ้ง ริวโซ่กล่าวกับภรรยาว่า “ฉันจะไปส่งเธอที่สถานีรถไฟ”

“บ้าอีกแล้ว โอชินเขาเป็นฝ่ายทอดทิ้งแก จะอาลัยอาวรณ์ไปถึงไหนกันนะริวโซ่”

โอชินก้มหน้าเดินออกมาจากบ้านทาโนะคุระ ริวโซ่วิ่งตามออกมา ยื่นซองเงินส่งให้โอชิน

“นี่เป็นเงินที่เอามาจากคุณพ่อ รับไว้เถอะแล้วเขียนบอกฉันมาด้วยว่าอยู่ที่ไหน”

โอชินรับไว้และจากสามีอย่างเย็นชา ในใจก็คะนึงไม่หายว่าวาจาที่จึเนะโกะให้ไว้จะเป็นไปได้หรือไม่หนอ เหมือนความพอดีเกิดขึ้น พอโอชินคล้อยหลังได้ประเดี๋ยวเดียว โอคิโย่ก็จำเป็นต้องออกไปเยี่ยมเพื่อนบ้านที่ไม่สบาย จึเนะโกะฉวยเวลานั้นแอบพายิ่วตรงดิ่งไปยังหลุมฝังศพเงนเอม่งที่นัดหมาย โอชินรู้สึกตื่นเต้นดีใจเหลือจะกล่าว จึเนะโกะรีบเอายิ่วผูกหลังโอชิน

“ขอบคุณมากค่ะ หนูจะไม่ลืมพระคุณอันนี้เลย”

“รีบไปเถอะ ฉันเองก็เป็นแม่คน ถ้าทำได้เหมือนโอชินก็จะต้องขอพาเอาลูกไปด้วย”

“แล้วเผื่อคุณแม่รู้...”

“ช่างเถอะ ค่อยแก้ปัญหา...อย่าห่วงเลย คุณแม่มีหลานตั้งสี่คน อีกไม่นานก็ลืมยิ่วเองน่ะแหละ”

โอชินรู้สึกในน้ำใจอันงดงามของจึเนะโกะ อย่างคาดไม่ถึง จึเนะโกะกลับมาถึงบ้าน พบแม่ผัวยืนตาเขียวอยู่กับโอจึหงิ พยายามวางสีหน้าให้เป็นปกติ ในมือถือผักที่ทำเป็นว่าไปซื้อมา
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 1 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 1 ตุลาคม 2553
“เราเข้าบ้านกันเถอะค่ะคุณพี่ วันนี้น้องทำกระท้อนลอยแก้วของโปรดของคุณพี่เอาไว้ด้วยนะคะ”

พิสมัยปรายตามองวนิดาเย้ยหยัน ควงแขนประจักษ์เดินเข้าไป ประจักษ์ไม่อาจละสายตาจากวนิดาไปได้...วนิดานั่งเศร้าอยู่บนเตียง ป้าทอง จวง นั่งอยู่บนพื้นมองวนิดาด้วยความ สงสาร...

“คุณเล็กจะกลับมา แสดงว่าต้องหาเงินใช้หนี้คุณดาวได้แล้วน่ะสิคะ”

“จริงด้วย ถ้างั้นคุณนิดกับคุณผู้ชายก็ต้องหย่ากัน”

วนิดาชะงัก ป้าทองตีแขนจวงไม่ให้พูด จวงหันไปมองป้าทองขมุบขมิบปากด่าว่าพูดทำไม จวงกับป้าทองเหลือบตามองวนิดาเป็นห่วง วนิดาเอาแต่นั่งเงียบรู้สึกใจหาย

---@@@---

ประจักษ์นั่งเหม่อมองพระจันทร์คิดถึงช่วงต่าง ๆ ที่ได้อยู่กับวนิดา ด้านหลังเห็นวนิดาลงมาเดินเล่นเพราะนอนไม่หลับเหมือนกัน วนิดายืนมองประจักษ์แววตาเต็มไปด้วยความอาลัย ตัดใจจะหันหลังเดินกลับไป ประจักษ์หันมาเห็นพอดีจึงเรียกเอาไว้ ประจักษ์มองวนิดาแววตาอาลัยไม่แพ้กัน เดินมาตรงหน้า

“เธอคงจะมานั่งดูพระจันทร์...ขอโทษนะที่ฉันแย่งที่นั่งของเธอ”

“มันไม่ใช่ที่นั่งของฉันหรอกค่ะ มันเป็นที่ของคุณ ของมหศักดิ์ ฉันก็แค่มาอาศัยนั่งดูพระจันทร์ในวันที่เหงาก็เท่านั้น เชิญคุณตามสบายเถอะค่ะ”

วนิดาจะเดินไป ประจักษ์จับแขนวนิดาสองข้างให้หันมาประจันหน้ากับตัวเอง

“นิด...พรุ่งนี้เราไปทานข้าวนอกบ้านกันนะ”

“อย่าเลยค่ะ...อย่าทำให้ฉันเคยชินกับการที่มีคุณอยู่ข้าง ๆ เลยนะคะ เราควรเตรียมตัว เตรียมใจรอวันที่คุณประจวบกลับมา”

ประจักษ์ยืนอึ้ง วนิดากลั้นน้ำตาไม่ให้รื้นขึ้นมา อยากตัดใจ ก่อนจะถลำลึกมากไปกว่านี้

“เพราะหลังจากที่คุณประจวบกลับมาแล้ว เราจะได้หย่ากัน เพื่อที่คุณจะได้แต่งงานกับคุณพิสมัย ส่วนฉันก็จะมีชีวิตของฉัน โปรดเข้าใจด้วย”

วนิดาหันหลังเดินน้ำตาไหลออกไป ประจักษ์เจ็บปวดใจเงยหน้าขึ้นมองพระจันทร์ ไม่อยากให้น้ำตาไหลออกมา

---@@@---

ตอนที่ 22

บนระเบียงห้องนอน ประจักษ์แอบยืนมองวนิดาที่กำลังทำสวนอยู่กับป้าทอง จวง ไปล่ สีหน้าเศร้าสร้อย ก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในห้อง วนิดาหันไปมองที่ห้องประจักษ์ เศร้าไม่แพ้กัน ปราณีนั่งอยู่กับน้อมและพิสมัย

“แม่ปราณีดูผิวพรรณมีน้ำมีนวลขึ้นมากเลยนะ”

“ดิฉันอบสมุนไพรทุกวัน เตรียมต้อนรับคุณเล็กกลับมาค่ะ คุณแม่กับพิสมัยสนใจมั้ยคะ ดิฉันมีสูตรเด็ดของตระกูล ถ้าสนใจ ดิฉันจะให้คนมาทำให้ที่บ้าน”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ให้มาทำวันนี้เลย ได้มั้ย แม่กับแม่พิสมัยอยากอบตัวก่อนจะไป งานเลี้ยงคุณหญิงแม้นศรีคืนนี้”

“ได้สิคะคุณแม่”

ระหว่างนั้นประจักษ์เดินออกมา

“คุณพี่ขา...เย็นนี้อย่าลืมงานที่บ้านคุณหญิงแม้นศรีนะคะ”

“ฉันไม่ไป”

“ทำไม? เราไม่มีงานอะไรไม่ใช่เหรอ”

“ผมไม่อยากไป ผมเหนื่อย”

“แต่ลูกต้องไป! แม่ไม่ยอมให้ลูกอยู่บ้านกับนังวนิดาตามลำพัง นี่เป็นคำสั่ง!!”

ประจักษ์เซ็ง พิสมัยยิ้มพอใจ

---@@@---

ประจักษ์เดินหัวเสียออกมา ป้าทองเห็นจึงเข้ามาถามประจักษ์ว่าอารมณ์เสียเรื่องอะไร ประจักษ์บอกไม่มีอะไร ก่อนจะถามหาวนิดา

“คุณนิดเธอไปบ้านคุณอำไพตั้งแต่เช้าแล้วล่ะค่ะ”

ประจักษ์นิ่ง พยักหน้ารับรู้ แล้วก็เศร้า ป้าทองมองเห็นใจ

“คุณใหญ่คะ อย่าหาว่าป้าสาระแนเลยนะคะ ป้าเป็นห่วงทั้งคุณนิด คุณใหญ่ อยากรู้ว่าโกรธกันเรื่องอะไร ถึงไม่พูด ไม่มองหน้ากัน”

ประจักษ์นิ่งหน้าเศร้า ไม่ตอบ ป้าทองมองไม่หายสงสัย...ขณะที่วนิดากำลังทำครัวแต่เหม่อ ใส่น้ำปลาไม่หยุด อำไพเข้ามาเห็นตกใจ วนิดาผงะ รีบวางขวดน้ำปลา

“ขอโทษค่ะ นิดทำให้ใหม่นะคะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ กับข้าวหลายอย่างแล้ว คุณนิดเป็นอะไรรึเปล่าคะ ดูหน้าตาหมอง ๆ”

“เปล่าค่ะ”

“แน่นะคะ เห็นจวงบอกว่าคุณประจวบใกล้จะกลับมาแล้ว เป็นเพราะเรื่องนี้รึเปล่าคะ”

“คุณประจวบกลับมา นิดต้องดีใจ สิคะ คุณจี๊ดออกไปเถอะค่ะ มื้อนี้นิดจะทำอาหารเอง เพราะอาจจะเป็นมื้อสุดท้ายของนิดกับที่นี่แล้วก็ได้”

อำไพเดินหน้านิ่วออกมาเจอมนตรีก็ผงะ มนตรีถามหาวนิดา อำไพบอกว่าอยู่ในครัว มนตรีจะเข้าไป อำไพนึกได้รีบคว้าคอเสื้อมนตรีเอาไว้ มนตรีเจ็บหันมาหน้าเอาเรื่อง

“ไม่ต้องเข้าไปเลย”

“ทำไม? อ๋อ หรือว่าเปิดทางให้พี่ชายตัวเอง งั้นฉันยิ่งต้องเข้าไป”

“พี่พันธ์ไม่อยู่ ไปสัมมนาที่ต่างจังหวัด”

“งั้นก็ดี จะได้หมดศัตรูหัวใจ”

“แต่คุณก็ยังห้ามเข้าไปอยู่ดี”

“อะไรกันนักหนาเนี่ยหา!!”

“คุณประจวบบอกว่าจะกลับมาภายในอาทิตย์นี้”

มนตรีดีใจมากจับไหล่อำไพ “จริงเหรอ!! ในที่สุดฝันก็เป็นจริง ฉันจะได้จีบคุณนิดซักที ฮ่า ๆๆ”

“คุณนี่มันเห็นแก่ตัวอย่างน่าเกลียด” มนตรีหุบปากแทบไม่ทัน “คุณนิดกับคุณประจักษ์ยังไม่ทันหย่ากันเลยนะ”

“น่าเกลียดตรงไหน ฉันตกลงกับ ไอ้จักษ์ไว้แล้ว นี่..แล้วก็บอกพี่ชายเธอด้วยว่าอย่าคิดจีบคุณนิด เพราะฉันจองก่อน”

อำไพโมโหหึง “คุณชอบคุณนิดมาก เหรอไง”

“ใช่ ชอบมาก ยิ่งเวลาคุณนิดอยู่กับเธอ ก็ยิ่งเห็นชัดว่าคุณนิดทั้งสวยกว่า น่ารักกว่า อ่อนหวานกว่าผู้หญิงอย่างเธอ ชาตินี้คงไม่มีใครจีบหรอก”

อำไพกำมือแน่นโมโหสุด ๆ ว่ามนตรี คนบ้า ผลักมนตรีกระเด็นเดินงอนเข้าไปในบ้าน แอบไปนั่งร้องไห้ด้วยความโมโหปนน้อยใจ วนิดาออกมาเห็นตกใจ

“คุณจี๊ดเป็นอะไรคะ”

“จี๊ดไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”

“ร้องไห้ขนาดนี้ยังบอกไม่เป็นอะไรอีกเหรอคะ คุณจี๊ดบอกนิดมาเถอะว่าเป็นอะไร?”

อำไพสุดจะกลั้นปล่อยโฮออกมา โผกอดวนิดา ทำเอาวนิดาตกใจ

“คุณมนตรีเค้าว่าจี๊ด เค้าบอกว่าผู้หญิงอย่างจี๊ดชาตินี้ก็ไม่มีใครมาจีบหรอก ทำไมเค้าต้องว่าจี๊ดด้วย จี๊ดก็เป็นของจี๊ดแบบนี้ มันผิดตรงไหน ถ้าไม่ชอบก็ไม่เห็นต้องมาว่ากันเลย คนบ้า ฮือๆๆ”

“ทำไมคุณจี๊ดต้องสนใจคำพูดของคุณมนตรีมากขนาดนี้ด้วยคะ”

อำไพชะงักอึ้งไป เพิ่งนึกได้

“ปกตินิดเห็นเวลาใครว่าคุณจี๊ด คุณ จี๊ดก็จะว่ากลับ ไม่เคยต้องมานั่งร้องไห้เสียใจ แบบนี้”

“จี๊ดก็ไม่ทราบว่าทำไมจี๊ดถึงเป็นแบบนี้ คำพูดของคุณมนตรีทำให้จี๊ดเสียใจ น้อยใจ มันเจ็บ ๆ ยังไงบอกไม่ถูก”

วนิดาฟังแล้วอึ้ง ดึงอำไพออกมามองแล้วยิ้ม

“นิดพอจะทราบแล้วค่ะว่าคุณจี๊ดเป็น อะไร?”

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 1 ตุลาคม 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 1 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 1 ตุลาคม 2553
พีทยิ้มเจื่อน ๆ เหมยแซว “แหม นี่ขนาดยังไม่ทันแต่งนะ คิดดูแล้วกันว่าถ้าแต่งแล้วคุณพีทจะเป็นยังไง”

ด้านน้ำหวานขับรถออกจากคอนโดฯ โดยไม่รู้ว่ามีคนกำลังจับตามอง น้ำหวานมาถึงโรงแรมที่นัดพบระหว่างทางเดินไปห้องพัก น้ำหวานรู้สึกเหมือนมีคนเดินตาม แต่เมื่อหันไปก็ ไม่เห็นใคร น้ำหวานไม่ติดใจอะไร จนเดินมาหยุดที่หน้าห้อง เคาะประตูสักพักก็มีคนเปิดออกมา

“ทำไมมาช้าจังเลย” ศิลป์ไม่ได้พูดอย่างเดียว แต่ก็เข้าโอบเอวและหอมน้ำหวานด้วย

“อย่าเพิ่งค่ะพี่ศิลป์ เดี๋ยวใครเห็นเข้า”

“มีใครที่ไหนล่ะครับ พี่ไม่เห็นมีใครเลย”

“น้ำหวานว่าเราเข้าไปข้างในดีกว่า”

น้ำหวานดันศิลป์เข้าไปในห้องประตูห้องปิดลง อีกด้านที่ประตูหนีไฟมีชายคนหนึ่งยืนมองอยู่ นั่นคือหมอวาทิศ

---@@@---

ในมุมมืดของเซฟเฮาส์หมอวาทิศ หมอวาทิศถือรูปของน้ำหวานอยู่ในมือ สายตาเจ็บปวด แต่กลับมีรอยยิ้มที่เย็นชา “น้ำหวานหลอกหมอ!! น้ำหวานต้องชดใช้ที่ทำกับหมอแบบนี้!!!” ว่าแล้วหมอวาทิศค่อย ๆ ใช้คมมีดกรีดลงไปที่รูปของน้ำหวาน ใบหน้าที่หมอเป็นคนศัลยกรรมให้เธอเองกับมือ

ส่วนน้ำหวานนอนหลับอย่างสบายอยู่บนเตียงของศิลป์ จู่ ๆ เธอก็กรี๊ด ลุกพรวด ขึ้นมาจับใบหน้าตัวเอง ศิลป์ตกใจพรวดพราดออกมาจากห้องน้ำ แล้วเข้าไปดูน้ำหวาน น้ำหวานหวาดกลัวผลักศิลป์ล้มลงกับพื้นพลางร้องกรี๊ด “อย่าทำชั้น” ศิลป์ลุกขึ้นโวยวายเข้าไปจับตัวน้ำหวานให้หยุดคลั่ง น้ำหวานตั้งสติได้ลุกวิ่งไปที่กระจก ส่องหน้าตัวเอง น้ำหวานรู้ว่าเป็นเพียงฝันจึงค่อย ๆ สงบลง

“น้ำหวานขอโทษค่ะ น้ำหวานฝันร้าย”

“ฝันว่าอะไร เมื่อกี้ผมได้ยินคุณเรียก หมอ ๆ..หมอที่ไหนเหรอ”

น้ำหวานอึกอัก “เอ่อ คือว่า น้ำหวาน ฝันว่าน้ำหวานจะถูกหมอฉีดยา น้ำหวานกลัวเข็มฉีดยาที่สุด น้ำหวานก็เลยวิ่งหนี แต่ว่าน้ำหวานถูกหมอจับตัวได้”

“แค่นี้เหรอฝันร้ายของน้ำหวาน” ศิลป์หัวเราะ น้ำหวานพยักหน้าให้แบบไร้เดียงสา แต่แววตาแอบแฝงแววกังวล ศิลป์มองแขนเปลือยของน้ำหวาน ศิลป์เข้าไปจับไหล่

“โถ ไม่ต้องตกใจนะ เดี๋ยวผมจะติวบทคนไข้พิเศษให้ ว่าเวลาโดนหมอฉีดยามันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด... รอหมออาบน้ำให้สดชื่นแป๊บเดียวนะจ๊ะ” ศิลป์ค่อย ๆ ผละตัวไปห้องน้ำ น้ำหวานมองตัวเองในกระจกจับใบหน้าตนเองรู้สึกใจคอไม่ดีอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!!

---@@@---

กลางคืนที่ทำงานของทุกสำนักข่าว มีมือดีนำภาพน้ำหวานกับปยุตรในท่าทางกอดรัดฟัดเหวี่ยงมาขาย นักข่าวยิ้มกริ่มรีบขอแทรกข่าวขึ้นหน้าหนึ่ง รุ่งเช้าหนังสือพิมพ์ก็อซซิปทุกฉบับพาดหัวตัวโม้ไม้ “ซูเปอร์สตาร์สาว น. คลุกวงในกับนักข่าวหนุ่ม คาดเขียนข่าวกันมันส์ถึงใจ” ข่าวนี้กลายเป็นหัวข้อเมาท์ในกองถ่ายทันทีนำทีมโดยฟรุตตี้และปุ๊โกะ จังหวะนั้นน้ำหวานเดินเข้ามาทำให้วงแตก น้ำหวานเดินมานั่ง พร้อมหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน ฟรุตตี้คว้าไม่ทัน น้ำหวานเห็นข่าวก็ชะงักไปครู่ แต่สักพักก็ยิ้มพอใจ เธอรู้ว่าควรจะเดินแผนไหนต่อ ฟรุตตี้ ปุ๊โกะ กระแซะกันให้ดูอาการน้ำหวาน แล้วต่างคนต่างพยักพเยิดให้ลองถามดู น้ำหวานยิ้มเจ้าเล่ห์ “เรื่องจริง พอใจมั้ยคะ...น้ำหวานจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว” ทีมเสื้อผ้าพาน้ำหวานออกไป ฟรุตตี้ ปุ๊โกะยังยืนอึ้งปากค้างอยู่

จังหวะนั้นเหมยกับมดแดงเดินเข้ามา เหมยยกมือไหว้ทุกคน แต่ทุกคนมองเหมย แปลก ๆ ฟรุตตี้ ปุ๊โกะ มองหน้าเหมยแล้วนึกได้ รีบส่งซิกกันให้รีบเก็บหนังสือพิมพ์ด่วน ปุ๊โกะ กระโดดไปนั่งทับหนังสือพิมพ์ เหมยกับมดแดงมองความล้นของฟรุตตี้กับปุ๊โกะแบบขำ ๆ น้ำหวานออกมาเห็นเหมยพอดี...น้ำหวานจัดการตามแผนที่คิดไว้เรียกปุ๊โกะมาทำผม ฟรุตตี้ส่งซิกว่าห้ามลุก น้ำหวานขู่ถ้าไม่ลุกจะบอกให้ผู้กำกับเปลี่ยนช่าง ปุ๊โกะกระเด้งตัวขึ้นมาทันที หนังสือพิมพ์ที่ถูกทับอยู่หล่นลงมาตรงหน้าเหมย เหมยก้มลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา เห็นข่าวปยุตรกับน้ำหวาน เหมย หน้าซีด น้ำหวานยิ้มพอใจ ฟรุตตี้กับปุ๊โกะชี้ไปที่หนังสือพิมพ์ที่เหมยถือ มดแดงรีบแจ๋นเข้าไปขอดู มดแดงอ่านข่าวเสียงดัง เหมยมอง หน้ากับน้ำหวานอยู่ มดแดงมองไปทางน้ำหวาน น้ำหวานยิ้มเยาะให้เหมย เหมยสุดทนวิ่งออกไปจากห้อง มดแดงจะตามไปแต่ฟรุตตี้กับปุ๊โกะห้ามไว้ ทั้งสามคนหันมองน้ำหวานเป็นตาเดียว...น้ำหวานเชิดใส่ ไม่แคร์!!!

---@@@---

ที่กองถ่ายยอดยาหยี เหมยนั่งซึมคิดถึงเรื่องข่าวในหนังสือพิมพ์ รวมกับเหตุการณ์ที่ปยุตรจับมือน้ำหวาน เหมยตั้งคำถามในใจว่า ทำไมปยุตรถึงใกล้ชิดกับน้ำหวานได้ขนาดนี้ หรือที่คิดไว้จะเป็นเรื่องจริง จังหวะนั้นปยุตร โทรฯ เข้ามา เหมยเห็นเบอร์ปยุตร เหมยไม่รับ ฝั่งปยุตรรอสายอยู่นานจนสายตัดไป..ปยุตร โทรฯกลับไป ก็ยังไม่มีใครรับอีก “งานเข้าชัวร์” ปยุตรเครียดหน้าบอกบุญไม่รับ น้ำหวานที่มอง ปฏิกิริยาของเหมยอยู่ตลอด เดินเข้ามาเติมเชื้อไฟเข้าไปอีก เหมยเดินหนี น้ำหวานพูดต่อ

“ฉันก็แค่เป็นห่วง กลัวว่าเธอจะทำใจไม่ได้..เพราะสุดท้ายคุณยุตร เขาก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมกับเขาที่สุด”

“คุณหมายความว่ายังไง?”

“อ้าว ทายาทคนเดียวของไทยนิวส์ เขาก็ต้องอยากได้คู่ชีวิตที่เหมาะสมและคู่ควร กับคนระดับเขาสิ เขาถึงเลือกซูเปอร์สตาร์ อย่างฉัน”

“ทายาทไทยนิวส์...นี่คุณพูดถึงใคร”

“ก็คุณปยุตรไง”

“ปยุตร?!!!”

“อ้าว...อะไรกันเนี่ย??? ถามจริง?? ไม่รู้ได้ไงว่าแฟนตัวเองเขาเป็นลูกชายคนเดียวของ คุณไพรวัลย์เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยนิวส์”

เหมยอึ้งสนิท เพราะคิดว่าปยุตรเป็น นักข่าวต๊อกต๋อยมาตลอด

“เป็นแฟนกันประสาอะไร เอ๊ะ.. หรือว่าเขาไม่ได้คิดจะจริงจังกับเธอ? เอ๊ะ...หรือไม่ก็เขาอาจจะกลัวว่าเธอจะใช้เขาเป็นบันไดปีนขึ้นไปกอบโกยชื่อเสียงเงินทองรึเปล่า? แต่ กับฉันเขาบอกอย่างชัดเจนเลยนะ แทบจะกระซิบที่ข้างหูเลยล่ะ”

น้ำหวานพูดจบแล้วก็เดินออกไปทิ้งสายตาเหยียดหยันไว้ให้เหมย เหมยตัวชา กำหมัดแน่น น้ำตาพานจะไหลให้ได้

---@@@---

ปยุตรรีบร้อนเดินเข้ามาในกอง มองหาเหมยแต่ไม่เห็น ฟรุตตี้กับปุ๊โกะเดินมาเห็นปยุตร กำลังจะเข้าไปบอกว่าเหมยอยู่ไหน แต่ไม่ทันเพราะน้ำหวานแทรกเข้ามาก่อน น้ำหวานตีหน้าซื่อบอกจะแถลงข่าวแก้ตัวให้ปยุตร แล้วโยนความผิดให้พีทเพราะเขาคือต้นเหตุ ปยุตรได้ยินชื่อพีทก็ชะงัก นึกถึงพีทที่ขอร้องไว้

“ไม่ต้องหรอกครับ เดี๋ยวข่าวมันก็เงียบไปเอง”

“แต่กว่าจะเงียบ น้ำหวานว่าเหมยจะแย่เอาซะก่อนนะคะ นี่พอเหมยเห็นข่าว เขาก็หน้าซีดเลย น้ำหวานก็เข้าไปอธิบายว่า เราไม่ได้มีอะไรกัน ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นทายาทของไทยนิวส์ น้ำหวานก็ไม่เคยมีเจตนาจะเต้าข่าวให้กับตัวเองแบบนี้”

ปยุตรหันขวับตกใจ “อะไรนะ?! นี่คุณบอกเหมยว่าผมเป็นใครงั้นเหรอ”

“ค่ะ น้ำหวานทำอะไรผิดเหรอคะ” น้ำหวานแกล้งทำหน้างง แต่ปยุตรทำหน้าอยากตาย ปยุตรจะไปหาเหมย แต่ถูกน้ำหวานรั้งตัวไว้ “คุณยุตรคะ น้ำหวานขอโทษนะคะที่ทำให้คุณต้องลำบาก” ปยุตรมองหน้าน้ำหวานที่มีน้ำตาคลอเบ้า “ไม่เป็นไรครับ” ปยุตรเดินจากไป แววตาของน้ำหวานที่มองปยุตรเต็มไปด้วยความชื่นชมและอยากได้เป็นเจ้าของ “อีกไม่นาน คุณต้องเป็นของฉัน!!”

---@@@---

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 1 ตุลาคม 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 1 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 1 ตุลาคม 2553
“หลังสงคราม มินาลินกับมินทุต้องรวมเป็นหนึ่ง แต่ว่าที่กษัตริย์กลับไม่เห็นถึงความสำคัญข้อนี้ นายไม่มีทางเลือกอื่น ถ้าไม่มีการอภิเษก การรวมประเทศย่อมไม่เกิดขึ้น นายจะรักใครอื่นไม่ได้ เข้าใจใช่มั้ย”

“ภูษณะ ฉันอยากให้นายรู้ว่า...ฉันห้าม หัวใจตัวเองไม่ได้”

ภูษณะโมโหชกพชรกระเด็น แล้วตามเข้าไปชกซ้ำอีกครั้ง บาจรีย์ไม่ได้ยินที่ภูษณะกับพชรคุยกัน แต่พอเห็นพชรโดนชกก็รีบบอก ธามให้เข้าไปช่วยห้าม ธามเห็นท่าทีที่ภูษณะแสดงออกก็พอจะเข้าใจได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น บาจรีย์ไม่รู้อะไรรีบประคองพาพชรกลับไปทำ แผลที่เรือนพัก

“แผลแค่เล็กน้อย ไม่ต้องลำบากน้องหรอก อย่าห่วงเลย”

“ไม่ห่วงได้ยังไง บาจรีย์คือว่าที่ชายาของพี่นะคะ สำหรับบาจรีย์แล้วพี่พชรเป็นคนสำคัญที่สุด ทำไมพี่พชรถึงได้เย็นชากับน้องนักล่ะ พี่พชรรู้อะไรมั้ยว่า ไม่ใช่แค่บาจรีย์ที่จะเสียใจอย่างที่สุด ถ้างานอภิเษกสมรสของเราไม่เกิดขึ้น แต่คนที่เสียใจมากกว่านั้นก็คือประ ชาชนชาวมินทุและมินาลิน ถ้าการรวมประเทศ ล้มเหลว แต่มันคงไม่มีวันนั้นใช่มั้ยคะ”

ทำได้ดีที่สุดแค่เพียงยิ้มให้พยักหน้า น้อย ๆ แม้ใจจะไม่รู้สึกเช่นนั้นก็ตาม!!

---@@@---

คเชนทร์และคามินแอบลอบเข้ามาในป่าจากทางทิศใต้ สหายที่คอยเฝ้าสำรวจตรวจตราอยู่ทางทิศใต้ถูกฆ่าตาย พาริณที่อยู่อีกด้านของป่าไม่สามารถติดต่อสหายที่เฝ้าอยู่ทางทิศใต้ได้ รู้สึกเอะใจรีบย้อนกลับไปเอารถที่ค่าย ตั้งใจจะไปดูที่จุดเฝ้าระวังทิศใต้ แต่พอไปถึงค่ายกลับได้พบพชรนั่งดื่มเหล้าเมามายอยู่ในห้องพักตามลำพัง

พาริณเป็นห่วงพชร รีบเข้ามาช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ พชรจับมือพาริณมาวางไว้แนบอก เพ้อบอกรักลำธารออกมา พาริณเสียใจมากแต่ด้วยความใกล้ชิด ทำให้พาริณเผลอใจ โน้มตัวลงไปนอนเคียงข้างพชรอย่างมิอาจสะกด อารมณ์แห่งความปรารถนาอันรุนแรงเอาไว้ได้

ลำธารรู้จากธีรัชว่าพชรได้รับบาดเจ็บจากการประลองกับภูษณะ จึงหอบกล่องยามาหาที่เรือนพักตั้งใจจะมาทำแผลให้ แต่กลับเจอบาจรีย์ยกถาดข้าวต้มตัดหน้าเอาเข้าไปให้พชรในห้องพักเสียก่อน บาจรีย์ตกใจมากที่เปิดประตูเข้าไปเห็นพาริณนอนเคียงข้างพชรที่กำลังเมาหลับไม่ได้สติ

บาจรีย์ต่อว่าพาริณอย่างรุนแรง พาริณ พยายามปฏิเสธ แต่สร้อยรักเท่าชีวิตที่ขโมยมาเก็บไว้กลับหล่นออกมาเป็นหลักฐานมัดตัวแน่น ขึ้นไปอีก บาจรีย์ตบหน้าพาริณอย่างแรง ลำธาร ตามเข้าไปจับมือบาจรีย์ไว้ไม่ให้ตบพาริณซ้ำ พชรรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาพอดี พาริณทนสู้หน้าพชรไม่ไหวรีบลุกขึ้นวิ่งหนีออกไป บาจรีย์วิ่งตามออกไปสั่งให้ทหารจับตัวพาริณไว้

ภูษณะกับธามได้ยินเสียงเอะอะรีบวิ่งมาดู พชรตามมาช่วยอธิบาย แต่พอรู้ว่าพาริณ เป็นคนขโมยสร้อยรักเท่าชีวิตไป พชรก็ถึงกับอึ้ง ภูษณะสั่งขังพาริณไว้ในห้อง ในฐานะที่เป็นหัวหน้าหน่วยเฝ้าระวังภัยนอกค่าย แต่กลับ ทิ้งความรับผิดชอบ

ภูษณะให้สหายสองคนไปทำหน้าที่แทนพาริณที่จุดเฝ้าระวังทางทิศใต้ สหายทั้งสองก็ถูกคเชนทร์และคามินฆ่าตายอีก คเชนทร์ กับคามิน ได้แผนที่กองกำลังใต้ดินมาจากสหายที่ภูษณะส่งไปทำงานแทนพาริณที่จุดเฝ้าระวังทางทิศใต้ ทั้งคู่แอบลอบเข้าไปจัดการกับพชรที่เรือนพัก แต่กลับได้พบกับวาสินและลำธารที่มาตรวจร่างกายให้กับวาสินแทน

คามินกับคเชนทร์ดีใจมากรีบจับตัววาสินกับลำธารขึ้นไปบนเนินเขา ที่ซึ่งวาสินเคยสั่งประหารพรรคพวกของตน ตั้งใจจะฆ่าวาสินสังเวยชีวิตให้กับพรรคพวกที่ตายไป โชคดีพชรกับธามตามไปช่วยไว้ได้ทัน อดิศรตามไปสมทบ ทั้งสามช่วยกันต่อสู้กับคเชนทร์และคามินอย่างสูสี

พชร ธาม และอดิศรพลาดท่า เกือบถูกคเชนทร์และคามินฆ่าตาย ภูษณะกับจ่าแสงตามมาทัน ทั้งคู่ช่วยกันระดมยิงใส่ คเชนทร์และคามินตัดสินใจโดดหนีลงไปทางหน้าผา ทุกคนคิดว่าคเชนทร์และคามินคงไม่รอดแน่ จึงช่วยกันพาวาสินกับลำธารกลับไปที่ค่าย

พชรกลับไปปล่อยพาริณออกจากห้องขัง ก่อนปล่อยไม่ลืมให้พาริณสัญญาว่าจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาอีก บาจรีย์เดินผ่านมาเห็น รู้สึกไม่พอใจมาก ด่าว่าพาริณอย่างรุนแรง จนพาริณ ทนไม่ไหววิ่งหนีซมซานออกไปเจอกับลำธาร

ลำธารขอให้พาริณอยู่ด้วยกันที่ค่ายต่อไป ไม่ให้หนีไปไหน พาริณยังคงไม่เชื่อใจลำธาร ลำธารยกเอาชื่อพชรขึ้นมาอ้าง หวังให้พาริณยอม อยู่ที่ค่ายต่อ แต่พาริณกลับยิ่งโมโห ผลักลำธารกระเด็น จังหวะนั้นเองบาจรีย์กับพชรเดินตามมาถึงพอดี พาริณหันไปเห็นก็รีบวิ่งหนีออกไป พลางปาดน้ำตาด้วยความปวดร้าว

---@@@---

ตอนที่ 16

พาริณวิ่งกระเซอะกระเซิงหนีเข้าไปในป่า คิดจะฆ่าตัวตาย แต่แล้วกลับเปลี่ยนใจ ทิ้งมีดที่เตรียมใช้ปาดคอลงกับพื้น

“เท่านี้เองเหรอ ที่ฉันจะทำให้ท่านได้ หากแม้ต้องตาย ฉันก็ไม่ควรตายอย่างไร้ค่า ไร้ความหมาย”

---@@@---

ลำธารให้วาสินนอนพักดูอาการอยู่ที่ห้อง พยาบาลหนึ่งคืน พชรแอบได้ยินวาสินคุยกับลำธารเรื่องที่ลำธารพยายามจะช่วยชีวิตวาสินไว้ แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ช่วยถ่วงเวลาให้พวกพชรตามไปช่วยไว้ได้ทัน พชรเห็นลำธารคอยดูแลวาสินอย่างใกล้ชิดก็ยิ่งรู้สึกดีกับลำธารมากขึ้นไปอีก

ลำธารเผลอหลับอยู่ในห้องพยาบาล พชรเข้าไปอุ้มลำธารพากลับไปส่งที่ห้องพัก ธามที่กำลังยืนคุยอยู่กับบาจรีย์หันไปเห็น รีบเบี่ยงเบนความสนใจไม่ให้บาจรีย์เห็นภาพบาดตา ด้วยการหลอกว่ามีคางคกอยู่ข้างหลัง บาจรีย์กลัวมากโดดกอดธามแน่น ธามแอบดีใจที่หลอกบาจรีย์ได้ แถมแอบชื่นใจที่โดนกอด บาจรีย์พอรู้ว่าถูกหลอกก็รีบเดินหนีกลับเข้าห้องไปด้วยความโกรธ

ธามเดินตามไปดักรอพชรอยู่หน้าห้องพัก ลำธาร “เจ้าหญิงบาจรีย์เพิ่งจะไล่พาริณออกไป นายจะทำให้ลำธารต้องเดือดร้อนอีกคนรึยังไง ถ้าเจ้าหญิงบาจรีย์เห็นนายอุ้มลำธารขึ้นเรือน อะไรจะเกิดขึ้น”

“ขอโทษ..ฉันแค่พาเธอมาพักผ่อน”

“คราวหน้า ฉันไม่ได้อยากได้ยินคำขอโทษอีก”

“ธาม...ฉันจะไม่ขอโทษ เพราะจะไม่มีครั้งหน้า และจะไม่มีใครมาลบหลู่เกียรติของลำธารได้”

พชรเดินไปอย่างมุ่งมั่น ธามอึ้ง รู้สึกได้ถึงความตั้งใจลึก ๆ ของพชร

---@@@---

พาริณแอบปลอมตัวเป็นนางรำเข้าไป ในวังมินาลินเพื่อลอบฆ่าดารัณ โชคร้ายถูกราชิตจับได้ก่อนทำสำเร็จ พาริณวิ่งหนีออกไปทางหน้าวัง เจ็บทั้งตัว และเจ็บใจที่แผนไม่สำเร็จ ทหารดารัณวิ่งตามมายิงโดนเข้าที่ไหล่ พาริณกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่าง เป็นจังหวะเดียวกับที่คเชนทร์หามคามินที่บาดเจ็บหนักกลับมาถึงวัง ราชิตกับทหารหันไปให้ความสำคัญกับคเชนทร์และคามินมากกว่าการตามล่าพาริณ

“เจ็บโว้ย...รีบช่วยพวกข้า เรากุมความลับของค่ายไอ้พชรอยู่นะโว้ย เร็ว ๆ ซี่”

“พวกแกเข้าถึงค่ายไอ้พวกต่อต้านแล้วงั้นรึ”

“เออสิวะ รีบรักษาข้า ถ้าข้าตายท่านไม่ได้ไปถล่มค่ายมันแน่ เร็วเข้า ๆ”

ราชิตส่งสัญญาณให้ทหารรีบมาพาทั้งสองเข้าไปรักษาตัวในวัง พาริณที่แอบหลบอยู่ไม่ไกลถึงกับอึ้ง

“สองคนนี้เองรึ ที่บุกเข้าค่าย”

---@@@---

จู่ ๆ ก็มีคนส่งรหัสมอสมาเตือนพชรว่าสองนักฆ่ารอดตายกลับไปที่วังมินาลิน และดารัณ กำลังจะทุ่มกำลังมาถล่มค่ายกองกำลัง อดิศร บอกพชรให้รีบวางแผนจุดป้องกันต่าง ๆ ไม่ใช่ให้ตั้งรับ แต่ต้องโจมตีไม่ให้พวกดารัณบุกเข้ามาในค่ายได้ พชรอดสงสัยไม่ได้ว่าใครเป็นคนส่งรหัสมอส มา

คเชนทร์กับคามินมอบแผนที่ตั้งค่ายกองกำลังให้กับดารัณ ราชิตวางแผนให้หน่วยกู้ระเบิดเข้าไปเคลียร์พื้นที่ก่อน จากนั้นกำลัง พลพร้อมอาวุธทุกชนิดจะเดินเท้าจู่โจมจากทั้งสี่ทิศ แล้วมาบรรจบกันที่ทางเข้าออกทั้งสี่ของค่ายกองกำลัง คเชนทร์กับคามินขอเข้าร่วมรบด้วย เพราะ อยากเป็นคนตัดหัววาสินด้วยตัวเอง ดารัณกับราชิตพากันยืนตะลึง ไม่คิดว่าวาสินยังมีชีวิตอยู่

“เหลวไหล เราเป็นคนฆ่าวาสินเอง มัน จะไม่ตายได้ยังไง”

“ข้าไม่รู้หรอก รู้แต่ว่ามันยังหายใจสบายดี แต่ดูเหมือนว่าเลอะเลือนจำความไม่ได้”

“ถ้ามันยังไม่ตาย ก็จงหยิบยื่นความตายให้แก่มัน ศึกครั้งนี้ค่ายของพวกมันต้องไม่เหลือแม้แต่ซาก” ดารัณขบกรามแน่นเดือดดาลดุดันมากกว่าครั้งไหน ๆ!!!

---@@@---

เวคินให้คนออกไปจัดการฝังระเบิดในป่าเพิ่ม เพื่อปิดเส้นทางเข้าออกจากป่าทั้งสี่ทิศ พชรวางแผนแบ่งกำลังคนออกเป็น 4 กอง คอยซุ่มยิงพวกดารัณที่จะบุกเข้ามาทั้งสี่ทิศ โดยพชรให้ภูษณะคอยประจำอยู่ทิศเหนือ ธามคุมพื้นที่ทิศตะวันออก เวคินประจำทิศตะวันตก ส่วนทิศใต้ที่เป็นจุดบอดพชรอาสาอยู่คุมพื้นที่ด้วยตัวเอง

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 1 ตุลาคม 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 1 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 1 ตุลาคม 2553
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงลูกสาวหรอกนะ ข้ากับพระสนมยอนฮึง จะหาคนดี ๆ ให้อภิเษกกับเค้า”

“ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่อย่างนั้น หม่อมฉันหวังเพียงว่า เมื่อตายไป พระองค์จะส่งนางให้พระนางซุงด๊อก ช่วยเลี้ยงดูแทนเพคะ”

“ทำไมล่ะ”

“ดังนั้น หม่อมฉันจึงอยากจะขอพบ กับพระนางซุงด๊อก”

“ทำอย่างนั้นได้ยังไงกัน ทำไมต้องส่งซอน ให้พระนางซุงด๊อกด้วย”

“เหตุผลเรื่องนี้หม่อมฉันจะบอกกับพระนางซุงด๊อกเอง ดังนั้นได้โปรดให้นางเข้าวังด้วย”

“ทำอย่างนั้นไม่ได้ ข้าไม่อนุญาตหรอก เรื่องของซอนต้องให้พระสนมยอนฮึงดูแล”

“ไม่โหดร้ายเกินไปหรือเพคะ หม่อม ฉันทราบว่าในพระทัยของพระองค์นั้นทรงรักและทรงห่วงใย พระนางยอนฮึงมากขนาดไหน รังเกียจหม่อมฉันแค่ไหน หม่อมฉันถึงได้ยกตำหนักพระมเหสีให้นาง เพื่อให้นางได้ประทับ แล้วตัวเองมาอยู่ในตำหนักพระสนมเอง แต่ตอนนี้พระองค์ยังจะยกลูกสาวหม่อมฉันให้ นางอีก นับตั้งแต่หม่อมฉัน อภิเษกกับพระองค์มา หม่อมฉันเคยที่จะปฏิเสธอะไรพระองค์บ้างมั้ยเพคะ อีกอย่างหม่อมฉันก็ไม่เคยขออะไรพระองค์เลย เพราะว่าหม่อมฉันเองก็เจียมตัวมาเสมอ ว่าพระองค์ไม่เคยรักในตัวหม่อมฉัน แต่ว่า ยังไงพระองค์ก็ยังเป็นพระสวามี หม่อมฉันไม่กล้าหวังให้พระองค์มารักหม่อมฉัน ช่วยทำตามความหวังสุดท้ายของหม่อมฉันหน่อยไม่ได้หรือเพคะ”

“พระมเหสี”

“ไม่ต้องเรียกว่าพระมเหสี หม่อมฉัน ขอร้องล่ะเพคะ ให้ก่อนตาย หม่อมฉันได้พบ พระนางซุงด๊อกด้วยเพคะ ให้หม่อมฉันได้สั่งเสียกับพระนางก่อน”

---@@@---

ฮยังบี เข้ามาทูลพระนางชอนชู ว่าชียังได้สติฟื้นขึ้นมาแล้ว กามุนทูลว่า ธนูนั่นเกือบเข้าหัวใจนายน้อย แต่ว่าเบี่ยงพลาดเป้าไปหน่อย ตอนนี้ปลอดภัยดีแล้ว พระนางชอนชู จึงถามว่า ทุกคนเรียกว่านายน้อย ชียังเป็นลูกของหัวหน้าเผ่าเหรอ ชียังบอกว่าตนเองไม่ได้เป็นลูกแท้ ๆ ด้านกามุน ทูลว่า หัวหน้าเผ่าได้รับมาเลี้ยง แต่นายน้อยไม่ใช่ชาวหนี่เจิน

“กระหม่อมเป็นโครยอ มีชื่อว่า คิม... ชียังพ่ะย่ะค่ะ” ชียัง ทูล

“ชาวโครยอ ทำไมถึงได้มาอยู่ในกลุ่ม ของชนเผ่าหนี่เจินล่ะ” กัมชัน ถาม

“เพราะว่า...พรรคพวกของพ่อข้า เคยร่วมทำการก่อกบฏ จนต้องเสียดินแดนไป จนต้องหนีมายังที่นี่”

“กบฏเหรอ ถ้างั้นบ้านเดิมเจ้าอยู่ที่ไหน”

“ทงจูขอรับ” ชียัง กล่าว

“ทงจู เขตเมืองทงจู อยู่ไม่ไกลจากฮวางจูนัก การกบฏแบบไหน ถึงได้เดือดร้อนมาถึงพ่อของเจ้าด้วย”

“สมัยพระเจ้าควางจง บุตรชาย 3 คน ของขุนนางประจำเมืองแลจูถูกใส่ร้ายจนต้องติดคุกทั้งหมด ท่านพ่อของข้า เป็นลูกน้องของพวกเค้า ท่านก็เลยต้องเดือดร้อนไปด้วย”

“ถ้างั้น...พ่อของเจ้ามีชื่อว่าอะไร”

“มีชื่อว่าคิมกุนขอรับ ท่านไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียงอะไร พวกท่านคงจะไม่รู้จัก”

“คิมกุน”

“โชคดีที่เจ้าไม่เป็นอะไรมาก แถมคนของพวกเราก็ปลอดภัยดี ขอบใจมาก” พระนางชอนชู ตรัส

“มิได้พ่ะย่ะค่ะพระมเหสี”

“เจ้าบอกว่ามีเรื่องขอร้อง จะขอร้องเรื่องอะไร”

“กระหม่อม อยากให้พระองค์ รับกระหม่อมกับลูกน้องอีก 2 คนไว้”

“มีเรื่องขอแค่นี้เหรอ”

“พ่ะย่ะค่ะพระมเหสี”

“แต่พวกเจ้าถือว่า เป็นคนสำคัญของที่นี่นี่นาทำไมถึงอยากไปอยู่กับเรา” คังโจ ถาม

“เพื่อให้มีชีวิตรอด สิบปีที่ผ่านมา ชาวหนี่เจินทางเหนือต้องอพยพลงใต้มา ชนเผ่า แต่ละชนเผ่าต้องทำสงครามกัน ต้องมาเข่นฆ่ากันเอง เพื่อความอยู่รอดของตน”

“เพราะชี่ตันใช่มั้ย เพราะพวกนั้น ขยาย ดินแดนลงมาทางใต้สินะ” กัมชัน ถาม

“ใช่แล้วขอรับ สำหรับพวกเราที่จัดว่า เป็นเพียงแค่เผ่าเล็ก ๆ นี้ เพื่อความอยู่รอดของตัวเอง ทำให้ต้องดิ้นรนต่อสู้”

“พวกเจ้าเลย อยากจะหลบหนีไปที่ โครยอแทนรึ”

“เจ้าจะทอดทิ้งชนเผ่า เพื่อให้ตัวเองรอดงั้นรึ” คังโจ ถาม

“ไม่ใช่ ข้าอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าถึงอยากจะไป เพื่อหาหนทางใหม่ที่โครยอ”

---@@@---

คังโจทูลคัดค้านเรื่องที่ชียังขอไปอยู่ด้วย พระนางชอนชู ตรัสถามเหตุผล

“ตอนที่ฮวางจูถูกโจมตี คิดว่าเป็นเพราะ พวกหนี่เจินคิดจะแก้แค้นพระองค์ แต่สุดท้าย กลับเป็นเพราะเงิน ถึงแม้ว่าคนที่นี่จะยากจน แต่ก็ไม่จำเป็นต้องบุกไปจนถึงวังมองบ๊อกแน่ เรื่องที่จู่ ๆ หัวหน้าเผ่าคนนั้นก็ฆ่าตัวตาย มันน่าสงสัยพ่ะย่ะค่ะ”

“กระหม่อม คิดว่าครูฝึกคัง พูดถูกที่ว่า เรื่องที่วังมองบ๊อกคงจะเกี่ยวข้องกับที่นี่แน่นอน” กัมชัน ทูล

“กระหม่อมคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีนัก”

“แต่เค้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ แถมยังมีคน อีกหลายคนที่ต้องตายเพราะเรา เราจะทอดทิ้งพวกเค้าเพราะลางสังหรณ์ของเจ้าได้ยังไง พวกเราจำเป็นต้องตอบแทน” พระนางชอนชู ตรัส

“เรื่องนี้มันก็จริงอยู่..”

“งั้นเราก็ตกลงไปตามนี้เถอะ กระหม่อม จะหาทางสืบหาเบื้องหลังของพวกเขาดูอีกที สักวัน ความจริงจะต้องปรากฏแน่นอน” กัมชันทูล

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 1 ตุลาคม 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 1 ตุลาคม 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 1 ตุลาคม 2553
ริวโซ่ชักผ้าห่มมาคลุมร่างของโอชินที่ล้มตัวลงนอนด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจากให้เด็กกินนมเรียบร้อย โอชินยิ้ม กล่าวออกมาดุจคนละเมอยามหลับ

“เป็นเด็กผู้หญิงน่ารักนะคะ เขาคงคิดว่าฉันเป็นแม่ตอนที่กินนมเห็นจ้องมองแต่หน้าฉันตลอด”

ริวโซ่เบิกตากว้าง ไม่คิดว่าโอชินจะรู้สึก ตัวดี

“น้ำนมของคุณอาจึโกะคงมีไม่พอ...ถ้าเขาไม่รังเกียจฉันก็ยินดีจะให้เด็กได้กินนมของ ฉันเอง...คิดเสียว่าเป็นเด็กที่เกิดมาแทนอาอิลูก ของฉันก็แล้วกัน...”

“โอชิน...เธอหายเป็นปกติดีแล้วหรือนี่”

โอชินถอนหายใจยาว หลับตาลงอย่างอ่อนใจ “คนเรา ถ้าจะสามารถลืมได้ทุกสิ่งที่อยาก จะลืมก็คงเป็นการดีไม่น้อย”

“โอชิน...ยกโทษให้ฉันนะที่ทอดทิ้งเธอ”

“ช่างเถอะค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว ถึงอย่างไรฉันก็ยังมีลูกยิ่วอยู่...ฉันจะพยายามรักษาตัวให้หายโดยเร็ว...เพื่อจะได้เริ่มต้นชีวิตกันอีก”

ริวโซ่ถึงกับหัวเราะออก อีกไม่นานถัด มา บานประตูถูกเลื่อนออก ปรากฏโอคิโย่ถือถาดอาหารเข้ามาเอง ตามหลังด้วย จึเนะโกะที่เข้ามาพร้อมกับถาดอาหาร เป็นของโอชินถาดหนึ่ง และ ของริวโซ่อีกถาดหนึ่ง โอชินลุกนั่ง ค้อมหัวให้มารดาสามี

“รบกวนคุณแม่กับพี่จึเนะแท้ ๆ เลย คิด ว่าอีกไม่นานก็คงจะไปงานไร่ได้แล้วค่ะ”

โอคิโย่และจึเนะโกะต่างแปลกใจเมื่อเห็นโอชินเป็นปกติแล้ว

“โอชินเขารู้สึกตัวมาตลอดครับคุณแม่ แล้วเขาก็ยอมให้ลูกอาจึโกะกินนมด้วย”

โอคิโย่ดีใจปากคอสั่นไปหมด “โอชิน ฉัน รู้ว่าเธอเสียใจ...แต่ริวโซ่เขาบอกว่าเธอน่ะยอมให้ลูกอาจึโกะได้กินนมเป็นความจริงรึ”

“ค่ะ...คิดเสียว่าเป็นลูกอาอิ”

โอคิโย่นั่งลงค้อมหัวให้สะใภ้ กล่าวเสียงเครือ “โอชิน...ฉันขอบใจเธอ...ขอบใจมาก... อาจึโกะมันคงดีใจ...เธอยังสาวต่อไปจะมีลูกอีกต้องระวังสุขภาพจะได้ลูกที่แข็งแรง...

“แต่ลูกของหนู ลูกหนูเวลาคลอดมายังมี ชีวิตค่ะ”

พูดได้เท่านั้น อดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ หยดหนึ่งหลั่งไหลหยดต่อไปก็ตามมาติด ๆ เสียงของโอชินทำให้ทุกคนในห้องนั้นหนาวสะท้านไปตามกัน

“ลูกไม่มีเสียงร้อง...แกคงอ่อนแอถึงขนาด ไม่มีแรงจะร้องกระมังคะ...ต่อไปหนูจะไม่ขอมีลูกที่ อ่อนแอแบบนั้นอีก...”

---@@@---

ด้วยพระคุณแห่งน้ำนมที่เลี้ยงลูกของอาจึโกะ โอชินได้รับเมตตาจากมารดาสามีอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ได้รับการขนย้ายกลับมานอนพักที่ห้องเดิมในบ้านทาโนะคุระในเร็ววัน และเพื่อเป็นการระลึกถึงการเป็นแม่นมให้กับลูกของอาจึโกะ โอคิโย่จึงได้ตกลงตั้งชื่อหลานสาวว่า “อาอิ” ตามที่โอชินปรารถนาไว้เพื่อจะตั้งให้กับลูกของตน ที่คลอด

“เด็กมันได้ดื่มความรักจากเต้านมของเธอ เธอเองก็ยินดี จึงอยากให้มีชื่อไว้เป็นที่ระลึกถึง คืนนี้จะฉลองการตั้งชื่อเด็ก...ขอให้ร่วมฉลองด้วยกันนะ”

การตั้งชื่อนี้ไม่สบอารมณ์อาจึโกะผู้เป็นแม่ แต่มิอาจจะคัดค้านได้เพราะทุกสิ่งโอคิโย่ได้จัดการไปเป็นที่เรียบร้อยทั้งทางบ้านสามีอาจึโกะก็ตกลงให้ใช้ชื่อนี้ คนอื่น ๆ ก็เห็นด้วยเพราะโอชินถือ ว่ามีบุญคุณที่ให้น้ำนมลูกของอาจึโกะแทน

“คุณแม่นี่ก็พิลึก จู่ ๆ ก็จี๋จ๋ากับโอชินขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย”

“อ้าว...ก็แม่ของแกเริ่มจะเห็นความดีของ โอชินเขาน่ะสิ”

“ลูกของโอชินตายเพราะไม่แข็งแรงพอ ไม่ใช่ตายเพราะต้องมาคลอดพร้อมกันกับหนู”

“จะว่ายังงั้นมันก็ถูก แต่โอชินเขาถูกกลั่น แกล้งสารพัด เด็กที่ไหนมันจะแข็งแรงพอล่ะ”

พูดขาดคำพอดีกับโอคิโย่อุ้มอาอิเข้ามายิ้มแป้นบอกกับทุกคนว่า “กินนมเก่งชะมัดเลย ตัวยังงี้หนักอึ้งทีเดียว ช่วยเอาอาหารที่เลี้ยงฉลอง คืนนี้ไปให้โอชินด้วยนะ”

จึเนะโกะยิ้มและรับคำอย่างยินดี อีกสองคนที่ลอบยิ้มให้กัน และกันคือไดโงะโร่และริวโซ่ ในความเปลี่ยนแปลงทางเมตตากับโอชินของโอคิโย่

จึเนะโกะรู้สึกว่าความแรงร้ายระหว่างแม่ ผัวกับลูกสะใภ้โอชินเริ่มหันเข็มทิศไปในทางดี ก็ ค่อยโล่งใจ ตลอดเวลาเห็นใจในความยากลำบาก ของโอชินนัก อยากจะช่วยเหลือก็ทำไม่ได้เพราะ ในฐานะสะใภ้ใหญ่ของบ้านนี้ก็ต้องฝืนใจทุกสิ่งไป เพื่อให้เป็นที่สบอารมณ์ของแม่ผัว

“เธอนี่ใจแข็งน่าดูนะ ยอมให้ลูกอาจึโกะ กินนมได้...ฉันรู้ดีว่าเป็นเรื่องที่ทรมานเธอไม่น้อยเลย แต่นั่นแหละสิ่งที่เธอได้รับตอบแทนมันก็คุ้มค่า เธอได้ชนะใจคุณแม่แล้ว ชีวิตต่อไปนี้คงเป็นความสบาย ยังไงก็ตามในฐานะสะใภ้อย่าได้ต่อล้อต่อเถียงเป็นอันขาด”

“ขอบคุณค่ะที่กรุณาเตือนไว้”

“เอาละ ต่อไปนี้เราจะต้องคอยช่วยเหลือ ซึ่งกันและกันในฐานะเป็นสะใภ้ทาโนะคุระด้วยกัน”

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 1 ตุลาคม 2553
ที่มา dailynews

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 30 กันยายน 2553
“ริวโซ่...ริวโซ่...”

เสียงร้องของโอชินเงียบหายไปกับสายฝน ฝนเม็ดเล็ก ๆ แต่มันดังราวกับลูกเห็บร่วงจากฟ้ากระทบสรรพสิ่งบนพื้นโลกดังสนั่นไปทั้งละแวก โอชินเปล่งเสียงแหลมลึกออกมาอีกครั้ง จะก้าวเท้าออกมาข้างหน้า ทันทีพลาดความชื้นแฉะของดินที่เปียกฝน ร่างทั้งร่างล้มคะมำไปข้างหน้า

โอชินได้กลิ่นเลือดสด ๆ ที่ตรงไหนสักแห่งหนึ่งโชยมาต้องจมูกก่อนที่สติสัมปชัญญะของเธอจะหลุดลอย แล้วฝนก็ยังคำรามต่อไป สลับกับเสียงร้องของฟ้าลั่น...มันดังน่าสะพรึงกลัวยิ่งนักสำหรับรัตติกาลอันน่าสยอง...

---@@@---

เท้าของริวโซ่ยังคงซอยถี่ขึ้นแล้วถี่ขึ้น เขามุ่งตรงไปที่เมืองมากกว่าจะรู้สึกตัวว่ากำลังวิ่งฝ่าฝนเปียกโชก ทั้ง ๆ ที่ร่มกันฝนก็ถือ อยู่ในมือ...เขาจะต้องอาศัยสูติแพทย์จากในเมืองมาให้ทันก่อนตะวันขึ้นฟ้า...เพราะลูกในท้องของอาจึโกะจะตายไม่ได้ ไม่เช่นนั้นโอชินก็จะถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้ขึ้น มาอีก

คำพูดของมารดาก้องอยู่ในหู...สองสาม ครั้ง เขาวิ่งในความมืดและคลำหาทางไม่ถูก... หลายครั้ง เขาถูกหนามเกี่ยวเอาบ้าง แต่พอจะทนความแสบได้ หน้าที่ของเขา ต้องช่วยให้ทุกอย่างปลอดภัย และเมื่อนั้นก็จะได้ถึงคราวของภรรยาตนบ้าง

ถ้าอาจึโกะคลอดปลอดภัยเสียอย่างเดียวแล้ว การคลอดของโอชินก็จะต้องสะดวกไปทุกสิ่งรวมทั้งน้ำใจจากมารดาในเมื่อเขารับอาสาเป็นผู้ช่วยเหลืออย่างที่เขากระทำในขณะเวลานั้น...จะนึกเฉลียวใจสักน้อยนิดก็หาไม่ว่า ในขณะนั้นได้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับโอชิน

---@@@---

และแล้วสูติแพทย์ก็สามารถใช้เครื่องมือสมัยใหม่ช่วยเหลือให้การคลอดของอาจึโกะดำเนินไปด้วยความปลอดภัย เสียงร้อง เล็ก ๆ ดังขึ้นทำให้ริวโซ่กับฟุกุทาโร่ที่คอยอยู่ข้างนอกลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง...ไดโงะโร่เดินหัวเราะร่าออกมาจากในห้อง ตามหลังมาเป็น จึเนะโกะ

“คลอดแล้วว่ะ...เฮ่ะ...เฮ่ะ...เป็นผู้หญิง... ทั้งอาจึโกะและลูกปลอดภัย”

ริวโซ่กับฟุกุทาโร่ต่างจับมือกันและกันด้วยความลืมตัว...ไดโงะโร่ขอบคุณริวโซ่อย่างจริงใจ ริวโซ่เองก็โล่งอกเพราะโอชินจะปลอดภัย จากการถูกกล่าวหา ว่าแล้วริวโซ่ก็รีบขอตัวกลับไปที่บ้านเพื่อหวังแจ้งข่าวดีนี้ให้โอชินรู้

ริวโซ่เดินออกจากบ้านเห็นฟ้าสาง คลี่ม่านสีเทาอ่อนแห่งวันใหม่...เหมือนชีวิตใหม่ ที่โอชินจะได้รับ ต่อไปนี้ ชีวิตใหม่ของโอชิน ก็จะสว่างสุกใสเหมือนยามอรุณรุ่งของวันนี้... แต่เมื่อเปิดประตูเขตบ้านทาโนะคุระออกไป ก้าวข้ามธรณีประตูเท่านั้น พลันเห็นภาพที่ปรากฏ เบื้องหน้าหัวใจแทบหยุดทำงาน

ริวโซ่เปล่งเสียงร้องดุจดังสัตว์ที่ถูก ทำร้ายบาดเจ็บสาหัสสากรรจ์... ร่างของโอชินนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งอยู่กับดินตรงนั้น เศษโคลนตมกระเซ็นเพราะเม็ดฝนชะแปดเปื้อน ไปทั่วร่าง ริวโซ่กระโจนทีเดียวถึงร่างของภรรยาจับพลิกหงายหน้าเห็นน้ำเมือกสีขุ่นไหลออกจากปากน้อย ๆ ของโอชินไม่หยุด...ดวงตาคู่นั้นปิดสนิท...เนื้อตัวเย็นเยียบ และที่เขาตกใจ สุดขีดก็คือดวงหน้าที่ซีดขาวราวกับกระดาษของโอชิน

แม้แต่คนโบราณก็รู้ถึงอันตรายของการคลอดที่ยาวนานถึงกับมีคำกล่าวว่า “จงอย่าให้หญิงที่กำลังเจ็บครรภ์คลอดเห็นพระอาทิตย์ตกดินถึง 2 ครั้ง” เนื่องจากการคลอดของอาจึโกะเข้าข่ายการคลอดที่ยาวนานอันเกิดจากความผิดปกติของทารก...เป็นการผิดส่วนที่แท้

หมายถึงการผิดสัดส่วนที่เกิดขึ้นเมื่อทารกอยู่ในท่าปกติ คือมีกระหม่อมน้อยเป็นส่วนนำ ซึ่งเป็นท่าที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางของหัวเด็กน้อยที่สุด แต่ก็ยังไม่สามารถจะคลอดได้ภายหลังที่การคลอดดำเนินคืบหน้าอย่างมีประสิทธิภาพนานพอสมควรแล้ว

อันตรายจากการคลอดที่ยาวนานนี้ส่งผลกระทบทั้งมารดาและทารกในครรภ์ ภาวะช็อกทางสูติกรรมได้เกิดขึ้นกับอาจึโกะบ่อยครั้ง... เนื่องจากอยู่ในภาวะเครียดและเต็มไปด้วยความอ่อนเพลียยิ่ง ด้วยเหตุนี้ความว้าวุ่นทั้งหลายจึงเกิดแก่มวลสมาชิกของบ้านทาโนะคุระทั้งคืน

อย่างไรก็ตาม การคลอดของอาจึโกะก็สามารถผ่านพ้นวิกฤติการณ์ไปสู่ความปลอดภัยทั้งแม่และเด็ก...เมื่อฟ้าใกล้สว่าง แต่สำหรับโอชินนับเป็นรัตติกาลอันน่าสยองโหดร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ สมัยก่อนนี้ การคลอดลูกของผู้หญิงเสมอเท่าด้วยการออกรบของผู้ชาย...

ริวโซ่ประณามตนเองอย่างเงียบเชียบในการที่เขาได้ทิ้งภรรยาไปมัวแต่สนใจในเรื่องการคลอดของน้องสาวจนโอชินแทบจะเอาชีวิตไม่รอด...ยังเป็นคราวเคราะห์ดีของโอชินที่สูติแพทย์ยังอยู่ในบ้านทาโนะคุระ และได้ช่วยชีวิตโอชินไว้ได้ทันท่วงที...

แต่ทารกของโอชิน ซึ่งบอบบางและประสบภาวะชะงักงันของการเจริญเติบโตแพทย์ไม่อาจช่วยชีวิตเอาไว้ได้...ริวโซ่นั่งมองดูภรรยาของตนราวกับคนบ้า ไม่สนใจหนวดเคราที่ขึ้นจนแลครึ้ม ที่หน้าผากของโอชินมีผ้าเย็นโปะไว้จนกระทั่งบัดนี้ เธอยังไม่ฟื้นจากการสลบอันยาวนาน ไดโงะโร่ค่อยเลื่อนบานประตูออกและสืบเท้าเข้ามาหาบุตรชายด้วยความเห็นใจ

“เป็นยังไงบ้าง”

“ถ้าโอชินจะต้องตาย ผมก็ไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรได้”

“พูดเป็นบ้า...ไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า... หมอเขาก็ตรวจดูแล้วว่าไม่มีโรคแทรกซ้อน ไม่นานก็หายเป็นปกติ...แกคอยดูแลให้เรียบร้อยก็แล้วกัน”

ภายนอกห้องอันเต็มไปด้วยบรรยากาศเศร้าโศกนั้น มีแต่เสียงหัวเราะครึกครื้น โอคิโย่ ตักน้ำแจกจ่ายให้บรรดาหญิงทั้งหลายที่มาช่วยการคลอดล้างมือ พลางบอกกับทุกคนว่า

“มาคลอดเอาเวลาที่แต่ละคนก็มีงานเกี่ยวข้าวกันทั้งนั้น ต้องขอโทษด้วยนะ...เสร็จแล้วเชิญข้างในนะคะ มีเหล้ายาปลาปิ้งเตรียมเอาไว้แล้วค่ะ”

ไดโงะโร่เปิดบานประตูบ้านอาศัยคลอดของโอชินออกมา สีหน้าเห็นเค้าแห่งความกังวลชัดเจน

---@@@---

เมื่อจัดงานด้านอาหารเตรียมเลี้ยงให้เป็นที่เรียบร้อย จึเนะโกะไม่ลืมเหตุการณ์อันแรงร้ายที่เกิดกับสะใภ้โอชิน รีบจัดอาหารมาส่งถึงบ้านอาศัย ริวโซ่เปิดประตูรับ

“ข้าวต้มมันเย็นไปหน่อยแล้ว เวลาจะกินค่อยอุ่นนะ ส่วนนี้เป็นของคุณริวโซ่ ทานเสียบ้างนะเดี๋ยวจะหมดแรงฟุบไปอีกคน”

“ขอบคุณครับ”

“โอชินเป็นยังไงบ้าง โหดร้ายทารุณมากนะคุณริวโซ่”

จากนั้นก็สาวเท้าข้ามกลับไปยังบ้านทาโนะคุระ ริวโซ่เลื่อนบานประตูให้ปิดลงดังเดิม นำอาหารมาวางไว้อย่างไม่สนใจที่จะกิน กลับมานั่งลงเคียงข้างภรรยา สุดสมเพชในตัวภรรยาอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงทารกของอาจึโกะ เปลี่ยนดวงหน้าของอาจึโกะผู้เป็นแม่เป็นดวงหน้าของโอชิน นึกเห็นเป็นอย่างนั้นแล้ว รอยยิ้มก็ปรากฏบนดวงหน้าของริวโซ่ ภวังค์ของเขาแตกกระจายเมื่อเสียงโอชินกังวานขึ้นแผ่วเบา

“ยิ้มอะไรหรือคะคุณ”

ริวโซ่สะดุ้งหันมา พบโอชินลืมตาใสแจ๋ว ยิ้มให้ตนและกล่าวต่อไปว่า

“ลูกล่ะคะ? ลูกผู้หญิงใช่ไหมคะ? อยู่ที่ไหนล่ะคะ?”

“หิวหรือยัง? พี่จึเนะทำข้าวต้มมาให้ เห็นยังหลับอยู่ก็เลยเอากลับไป บอกว่าเมื่อจะกินก็จะอุ่นให้ร้อน ฉันจะไปเอามาให้นะ”

“พาลูกมาด้วยนะคะ ฉันอยากเห็นหน้าแกค่ะ อยากให้ทานนมด้วย”

ริวโซ่เห็นใบหน้าของโอชินที่บ่งบอกถึงความปลาบปลื้มแห่งการเป็นมารดาแล้วรู้สึกมีก้อนอุปสรรคก้อนหนึ่งมาติดอยู่ที่ลำคอยากที่จะกลืนมันลงไปได้

“อย่าเพิ่งพูดมากเลย ตอนนี้พักผ่อนให้มาก ๆ นะ”

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร”

โอชินกล่าวแล้วจะลุกนั่ง แต่ถูกริวโซ่ประคองให้ล้มตัวลงนอนไปเหมือนเดิม

“ฉันไม่ได้เป็นอะไร เมื่อกี้นี้ก็ไปที่บ้านหลังใหญ่ ไปเรียกหมอตำแย...”

“เอ้อ...หมอ...หมอตำแยเขามาดูให้ แล้ว...”

“ค่อยยังชั่ว แต่หลังจากนั้น จำอะไรไม่ได้เลย คงทำให้ทุกคนยุ่งกันไปหมดสินะ”

ริวโซ่อยากจะร้องไห้ กัดฟันตัวเองแน่น บอกภรรยาสุดที่รักว่า “เอาเถอะ จะไปพาลูกมาให้...ตอนนี้นอนก่อนนะ...รอประเดี๋ยว...”

จับภรรยาที่เพียรจะลุกนั่งให้นอนลงไปอีกครั้ง ค่อย ๆ ถอยกายออกมาแล้วสาวเท้ารวดเร็วข้ามไปยังบ้านทาโนะคุระ...เมื่อมาถึงห้องครัวได้พบจึเนะโกะ ทรุดกายลงนั่งด้วยความโทมนัสใหญ่หลวง

“โอชินเป็นยังไงบ้าง ฟื้นหรือยัง”

ริวโซ่นั่งตาค้าง ทันทีได้ยินเสียงพวกผู้หญิงกับมารดาพากันหัวเราะครึกครื้นเสียงขรมอยู่ในห้องถัดไป ริวโซ่เหลือจะอดทนต่อไปได้ ทะลึ่งสุดตัวแล้วถลันไปยังห้องนั้น จึเนะโกะตกใจร้องเรียกไม่ทัน ได้ยินเสียงริวโซ่ตวาดดังลั่นมานอกห้อง

“หัวเราะเหมือนไอ้พวกบ้ากัญชา ยินดีอะไรกันวะ หนวกหูจะตายห่าอยู่แล้ว”

ครู่เดียวเห็นโอคิโย่ดึงเอาริวโซ่ออกมาจากห้อง ไดโงะโร่ตามมาข้างหลัง

“ทำไมถึงได้สำรากคำหยาบคายยังงั้นออกมา เขาอุตส่าห์มาช่วยเรานะ ให้มีมารยาทผู้ดีเสียบ้าง”

“ใครกันแน่ที่ไม่มีมารยาท โอชินน่ะแท้งลูกหวิดจะตายอยู่เสือกมากินเหล้าฉลองกันแต่หัววัน คนมีมารยาทดีเขาทำกันแบบนี้เรอะ”

“หยุดเสียที ริวโซ่ เป็นผู้ชายทำไมถึง ทำตัวทุเรศแบบนี้เล่า”

ริวโซ่ตาลอยราวกับคนบ้า “จะมีใครบ้างไหมที่รับรู้ความรู้สึกของผม ก็แน่ละซี คุณ แม่รักอาจึโกะคุณแม่ถึงได้ดีใจ แต่โอชินล่ะ?... โอชินจะเป็นตายร้ายดียังไงก็ช่างยังงั้นใช่ไหม”

โอคิโย่ ในส่วนลึกของหัวใจก็รู้สึกโศกเศร้าอยู่บ้างเหมือนกัน นิ่งไปครู่หนึ่งกล่าวแผ่วเบา “เรื่องมันแล้วไปแล้วจะทำอะไรได้ มันเป็นพรหมลิขิตของแต่ละคน...”

ริวโซ่หันขวับ ดวงตาของเขาราวกับไฟที่ลุกโชนในเตา “พูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ...ถ้าผมอยู่กับโอชินละก็คงไม่ต้องเป็นแบบนี้หรอก...แต่นี่เป็นเพราะผมไปตามสูติแพทย์ให้อาจึโกะ ผม...ผมจะไม่มีวันกล้าเผชิญหน้ากับโอชินได้อีกแล้ว...ผมไม่กล้าแม้แต่จะพูดความจริงกับเธอ...”

ไดโงะโร่หัวใจเต้นแรง ลงนั่งเคียงข้างบุตรชายถามว่า “นี่โอชินเขาฟื้นแล้วรึ?”

ริวโซ่หันมามองหน้าบิดา “เธอจะขอดูหน้าลูกที่เกิดมาแน่ะครับ จะให้ผมพูดยังงั้นได้ยังไง คิดเรอะว่าผมจะพูดได้ ร่างกายเธออ่อนเพลียขนาดนั้น ขืนบอกความจริงให้เธอทราบ เธออาจจะช็อกตายไปเลยก็ได้”

โอคิโย่ยืนนิ่ง แต่ร่างกายรู้สึกสั่นเทาอย่างไม่รู้สาเหตุ ไดโงะโร่ตบบ่าลูกชายเบา ๆ

“เอาเถอะ พ่อจะเป็นคนพูดให้เอง... เรื่องแบบนี้จะปิดอยู่ได้อย่างไร”

จากนั้นชวนริวโซ่ข้ามกลับมาหาโอชินที่บ้านอาศัยคลอดโอชินเมื่อได้เห็นหน้าสามีก็ส่งยิ้มให้หวานชื่นขณะบิดาของสามีทรุดกายลงนั่งข้างตัว

“ไหนล่ะคะลูกฉัน”

“โอชิน...น่าเสียใจนะ...ที่เธอแท้งเสียก่อน...โอชินเธอยังสาวจะมีลูกอีกกี่คนก็ได้”

“ไม่จริงค่ะ...ไม่จริง ลูกไม่ได้แท้ง... ยัง...ลูกฉันยังไม่ตาย...ฉันเป็นคนตัดสายสะดือเอง...แต่ไม่มีน้ำร้อนจะล้างก็เลยเอาเสื้อห่อไว้... ลูก...ลูกฉันอยู่ไหนคะคุณ”

ริวโซ่อดกลั้นไม่อยู่ เบือนหน้าหนีมิให้โอชินได้เห็นน้ำตาพรากแก้ม โอชินยิ้มปลาบปลื้มเมื่อคิดถึงลูกที่เกิดมา

“ตัวแกยังอุ่น หัวใจก็ยังเต้นตุ้บ ๆ แก ยังไม่ตาย แกมีชีวิต ฉันดีใจจนร้องตะโกนเรียกหาคุณ...จะมาว่าลูกฉันแท้ง ตายได้อย่างไร ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ ฉันคลอดของฉันคนเดียว ลูกเต้นอยู่ในอุ้งมือของฉัน ถึงแกจะตัวเล็กไปหน่อย แกก็มีชีวิต...จริงนะ...เป็นความจริง...”

ไดโงะโร่เองแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ไปด้วย พยักหน้าหงึกหงักกล่าวว่า “โอชิน...ตอนที่ริวโซ่มาพบเธอน่ะ เธอนอนสลบอยู่ด้านหลังของ บ้านใหญ่พอดี สูติแพทย์ยังอยู่ก็เลยช่วยชีวิตได้ทันท่วงทีช้านิดเดียวเธอก็อาจจะต้องเสียชีวิต ไปด้วย...แพทย์พยายามช่วยลูกของเธอเหมือนกัน แต่ตอนที่พบน่ะ...ลูกเธอได้แท้งตายเสีย ก่อนแล้ว”

โอชินนอนฟังหน้าตาเฉย สายตามองดูเพดานที่เต็มไปด้วยหยากไย่ กล่าวออกมาว่า “ไม่จริงค่ะ...ลูกฉันยังไม่ตาย...ยังไม่ตายจริง ๆ ด้วย”

“โอชิน...ตอนฉันอุ้มนั้น ลูกของเราตายแล้ว...”

“หมอบอกว่า เด็กตายตอนคลอดเนื่องมาจากอ่อนแอเกินขนาด อยู่ได้ประเดี๋ยวก็เสีย ชีวิต ตอนอยู่ในท้องเด็กขาดการบำรุง”

“ได้โปรดเถอะค่ะ...ฉันขอเห็นหน้าลูกของฉัน...”

สิ้นคำก็ผุดลุกนั่ง คว้าเอาสามีเป็นหลักไม่ให้ล้ม ริวโซ่กอดรัดภรรยาด้วยความสงสารสุดขีด โอชินหัวเราะพร้อมกับยืนยันจะขอดูหน้า ลูกให้ได้ เพราะได้ตั้งชื่อไว้ให้แล้วด้วยว่าอาอิซึ่ง แปลว่ารัก เพราะโอชินตั้งใจจะให้ลูกที่เกิดมาเป็นที่รักของทุกคน

หลุดอ้อมกอดของผัว โอชินคลาน กระเสือกกระสนด้วยความปรารถนาจะไปพบลูกแรกเกิด ริวโซ่ตะปบเมียเอาไว้อีกครั้ง กอดไว้แน่น

“ลูกจะต้องกินนมแล้วค่ะ แน่ะได้ยินไหม ร้องไห้ใหญ่เลย...อาอิ... อาอิ... อาอิ ลูกแม่...”

ไดโงะโร่ถอนหายใจยาว มองดูหน้าที่เปียกโชกด้วยน้ำตาของริวโซ่ด้วยความเห็นใจ ในความปวดร้าวระบมของชายหนุ่มสุดที่จะพรรณนาได้...

---@@@---

บาดแผลทางใจของโอชินสาหัสเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจได้ แม้แต่ริวโซ่ผู้เป็นสามี นับแต่ได้ยอมรับรู้ว่าเธอแท้งลูกตายแล้ว โอชินหมดอาลัยตายอยากในชีวิตไม่ยอมพูดจากับผู้ใด เอาแต่นั่งตาลอยมือถือดอกไม้เด็ดกลีบของมันทิ้งเล่นดุจคนที่ไร้สติ

นมสองข้างก็คัด โอชินไม่สนใจในความเจ็บปล่อยให้น้ำนมไหลเปียกโชก ริวโซ่ทนดูไม่ได้ต้องเอาผ้าซับซุกไว้ข้างในทั้งสองข้าง โอคิโย่ นั่งอยู่ที่ขอบธรณีประตูบ้านอาศัยของโอชิน แลดูร่างของโอชินที่นั่งหันหลังให้แสงสว่างจากภายนอกสาดเข้ามาทางบานหน้าต่างนั้นประหนึ่งรูปปั้นด้วยศิลาเก่า ๆ ริวโซ่นั่งอยู่ไม่ห่างไกล กล่าวกับมารดาด้วยความคับแค้นใจเป็นที่สุด

“โอชินอุตส่าห์ตั้งชื่อลูกเป็นอย่างนั้นแสดงว่าภายในจิตใจของเธอต้องการความรัก จากทุกคนในบ้านทาโนะคุระ แต่คุณแม่...”

เสียงของชายหนุ่มผู้เคราะห์ร้ายขาดหายไป มันแห้งเหือดดุจน้ำที่ถูกความร้อนผ่าวของผืนทะเลทรายซึมซาบ

“ริวโซ่.. แม่เองใช่ว่าจะใจจืดใจดำกับโอชินนะ แต่แม่บอกแล้วว่า ในบ้านหนึ่งถ้าจะมีการคลอดสองรายพร้อมกันแล้ว จะต้องมีเคราะห์ เสร็จแล้วมันก็เป็นความจริงตามที่แม่วิตก”

โอชินล้วงเอาผ้าซับน้ำนมออกมาจาก อกเสื้อ ริวโซ่ขยับตัวลุกขึ้นช่วยเปลี่ยนผ้าซับ น้ำนม โอคิโย่มองแล้วก็ถอนหายใจยาว

“โลกนี้มันไม่ค่อยจะเป็นไปอย่างที่คิดเลย...โอชินไม่ค่อยจะได้กินอะไร น้ำนมทะลักแล้วทะลักอีก...ส่วนอาจึโกะกินสารพัดแต่ไม่ยอมมีน้ำนมให้ลูกกินเอาเลย”

โอคิโย่ถอนใจอีกครั้งก่อนจะลุกขึ้นเดินซึมกลับมาที่บ้านทาโนะคุระ ได้ยินเสียงทารกของอาจึโกะส่งเสียงจ้า ก็กล่าวกับจึเนะโกะซึ่งกำลังล้างถ้วยชามอยู่ในครัว เพราะรู้ดีว่าลูกของ อาจึโกะกำลังหิวนมอีกแล้ว จึเนะโกะไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ได้แต่ยิ้ม ๆ มองดูมารดาของสามีเดินซึมเข้าไปในห้องพักฟื้นของอาจึโกะบนเรือน

อีกไม่กี่นาทีถัดมาริวโซ่ก็เดินถือถาดน้ำชาเข้ามาในครัวเพื่อขอน้ำร้อนจากจึเนะโกะ อีกฝ่ายจึงถามถึงอาการของโอชิน

“ยังซึม ๆ เหมือนเดิมครับ ไม่ยอมพูดไม่ยอมจา...ปกติโอชินเขาเป็นคนใจแข็งนะครับ ไม่น่าจะมาเป็นแบบนี้เลย”

“ความรักลูกน่ะ มันไม่จำกัดว่าต้องใจแข็งหรือใจอ่อนหรอก แถมโอชินยังต้องมาเจอความทารุณตอนคลอด มันก็นรกชัด ๆ นั่นแหละ ต้องตัดสายสะดือด้วยตัวเองนี่...ฉันว่ามันทารุณเอามาก ๆ...ที่อาจึโกะไม่มีน้ำนม ก็เพราะถูกพระเจ้าลงโทษน่ะ”

ยังไม่ทันริวโซ่จะกลับ ได้ยินเสียงมารดาร้องเรียกขึ้น

“ริวโซ่..แม่อยากจะขอร้องอะไรหน่อย...”

ทันทีอาจึโกะคลานออกมาจากในห้องพักฟื้นร้องบอกมารดาว่า “แม่ไม่ต้องพูด ไม่ต้องขอร้อง...”

โอคิโย่หันกลับไปแว้งกัดลูกสาวทันที “ทำไม แกจะให้ลูกแกตายเพราะไม่ได้กินน้ำนม ยังงั้นรึ”

“ขอร้องคนอื่นก็ได้นี่นา...”

โอคิโย่ไม่ฟังเสียง หันมาทางบุตรชาย กล่าวว่า “แม่อยากให้ลูกของอาจึโกะได้กินน้ำนมของโอชิน...จะได้ไหม”

ริวโซ่ตาขวางขึ้นมาทันที “ทำยังงั้นได้ยังไง คิดถึงหัวอกโอชินเขามั่งซิครับคุณแม่...”

“เหอะน่า ลูกผู้หญิงน่ะเขาไม่ใจแคบหรอก โอชินน่ะเวลานมคัดก็อดจะคิดถึงลูกไม่ได้ ถ้ามีเด็กให้กินนมเสียบ้าง จะเป็นลูกของใครก็ช่างเถอะ...คงจะทำให้โอชินคลายความคิดถึงไปบ้างนั่นแหละ”

ริวโซ่โกรธแค้นสุดขีดตะเบ็งออกมาว่า “พูดเอาแต่ได้...ไม่ตกลงครับ” สิ้นคำฉวยเอาถาดน้ำร้อนออกไปจากบ้านทาโนะคุระ...ก้าวพ้นชายคามาได้ยินเสียงฝีเท้าติดตามมาติด ๆ หันไปพบจึเนะโกะ เรียกเอาไว้

“คุณริวโซ่...นี่ฉันคิดเอาเองนะ...ตอนนี้โอชินเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจ ถ้าได้สัมผัสอุ้มเด็กอุ้มเล็กให้กินนมบ้าง อาจจะเป็นการดีสำหรับโอชินอย่างที่คุณแม่พูดก็ได้”

ริวโซ่ชะงัก เสียงจึเนะโกะกังวานสืบไปว่า “ที่พูดนี้ ก็ด้วยความปรารถนาดีต่อโอชิน”

ริวโซ่คล้อยตาม อีกไม่นานจึงยินยอมให้มารดาอุ้มเอาทารกของอาจึโกะมาหาโอชิน... เลื่อนบานประตูเข้าไปรับเอาทารกจากอุ้งมือกอดของมารดา ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาภรรยาด้วยไม่แน่ใจว่าจะเป็นการถูกต้องดีหรือไม่อย่างไร...นั่งลงข้างภรรยาอย่างเงียบเชียบ กล่าวเสียงแผ่วเบา

“โอชิน...ขอให้เด็กคนนี้กินนมเธอหน่อยนะ...”

โอชินยังคงนั่งตาลอยเหมือนไม่ได้ยินความที่ริวโซ่ได้กล่าวขึ้น

“เด็กมันหิวนมน่ะ...”

โอชินนิ่ง ค่อย ๆ หันมามองดูริวโซ่ ด้วยสายตาไม่กะพริบ ความเงียบระทึกอยู่ในใจของโอคิโย่ที่เฝ้ามองดูอยู่ใกล้ ๆ ที่สุดโอชินก็ค่อย ๆ ยื่นแขนออกไปรับเอาทารกนั้นเข้ามาแนบไว้กับทรวงอก โอคิโย่ยิ้มสดใส พร้อมกับเสียงถอนหายใจใหญ่ของริวโซ่ดังขึ้น

เมื่อไดโงะโร่กลับมาจากสมาคมทะเล ได้ทราบว่าโอคิโย่อุ้มเอาทารกไปขอน้ำนมโอชินกินก็เดือดแค้น ถอดเสื้อนอกออกพลางกล่าวกับอาจึโกะว่า

“ทำไมถึงได้ทำอะไรโง่ ๆ แบบนั้น รู้ก็รู้ว่าโอชินมันเสียอกเสียใจแค่ไหน ไอ้แบบนี้มันเท่ากับซ้ำเติมกันนี่”

ยังไม่ทันสืบเท้าออกไปก็เห็นโอคิโย่เดินอุ้มทารกลูกของอาจึโกะเข้ามาในบ้านยิ้มแฉ่งร่าเริง ส่วนทารกนั้นหลับปุ๋ย

“อาจึโกะเอ๊ย...เด็กกินนมซะอิ่มเลยแหละ โอชินให้เด็กดูดนมเฉย...หน้าตาของเขาตอนนั้นไม่ผิดอะไรกับแม่ของเด็กที่กำลังกินนม...คงจะคิดว่าเป็นลูกของตนเองน่ะ... เฮ้อ...ก็คงจะต้องให้กินนมโอชินไปสักพักหนึ่ง... อาจึโกะ...”

อาจึโกะหน้าตาไม่สบาย เสียงมารดา กล่าวกับตนว่า “แกต้องระลึกถึงบุญคุณของ โอชินเขานะ เขาให้นมเลี้ยงลูกของแกไว้”

พลางหันมาทางจึเนะโกะในครัว บอกว่า “จึเนะโกะ...ช่วยหาอาหารดี ๆ ที่มันบำรุงร่างกายของโอชิน เอาไปให้เขากินหน่อย...ไม่ต้องเสีย ดายเงินหรอกนะ ต้องประคบประหงมให้โอชินเขากลับฟื้นคืนดีแข็งแรงเหมือนเดิมเข้าใจไหม”

จึเนะโกะยิ้มดีใจกล่าวรับ โอคิโย่อุ้มหลานอย่างสบายใจ ไดโงะโร่เลยยืนเซ่อ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงของโอคิโย่ที่มีต่อโอชินผู้อาภัพ จึงลืมเสียสิ้นที่จะต่อว่าต่อขานภรรยาของตน...

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 30 กันยายน 2553
บัลแฮ เข้ามารายงานพระนางชอนชู ว่า เมื่อคืนนี้มีเรือพวกหนี่เจินอยู่สองลำ ล่องผ่านแม่น้ำซัลซูแล้วก็ล่องไปจอดอยู่แถวอันบุก

“ที่นั่นไม่มีหน่วยงานทางการทหารอยู่ เลยนี่”

“ออกจากแถวอันบุกแล้ว...พวกมัน ไปที่ไหนกันต่อล่ะ” กัมชัน ถาม

“เรื่องนี้ข้าน้อยก็ไม่แน่ใจขอรับ แต่ได้ส่งคน 2 คน ออกไปสืบเรื่องราวแล้ว เมื่อเราไปถึงที่นั่นคงจะรู้”

“พวกเราจะเดินทางไปต่อยังไงหา” พระ นางชอนชู ตรัสถาม

“เมื่อพวกมันเลือกเดินทางทางน้ำ พวกเราเองก็คงจะต้องเดินทางไปทางน้ำด้วยเหมือนกัน ตอนนี้ กระหม่อมหาเรือได้ลำนึง ที่จะ..พาพวกเราไปอันบุก เมื่อไปถึงที่นั่นแล้ว ค่อยไปหาคนของเจ้า” กัมชัน กล่าว

“ได้ขอรับใต้เท้า”

---@@@---

แฮงซูให้โจซังกุงออกมาหาที่นอกวัง และสั่งให้นางรายงานเรื่องขององค์ชายแคลองทั้งหมดให้กับพวกตนได้รับรู้ โดยโจทูจะเป็นคนที่คอยไปฟังข่าวทุกวัน แต่โจซังกุงบอกว่าไม่ใช่เรื่อง ง่าย วอนซุงสั่งกำชับว่า เรื่องนี้จะปล่อยให้พระสนมรู้เรื่องไม่ได้เด็ดขาด ถ้าหากกล้าให้เรื่องหลุดไปแม้แต่ครึ่งคำ ชีวิตของเจ้ากับนางจะอยู่ในอันตราย
---@@@---

พระเจ้าซองจงตรัสถามโกฮอนว่า ตอน นี้ท่านคังกับพระนางซุงด๊อกบุกไปในพื้นที่พวกหนี่เจินหรือ เมื่อรู้ว่าเป็นความจริง จึงถามถึงจำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตาย พร้อมถามถึงจิตใจประชาชนเป็นยังไงบ้าง

“ทำไมเจ้าถึงไม่ตอบข้า...”

“คือ...ท่านอ๋อง ขอพระองค์อย่าได้... สนใจเรื่องนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้ จิตใจของผู้คนที่ฮวางจูเป็นไงบ้าง”

“เอ่อ..กระ กระหม่อม ไม่กล้าทูลเลยพ่ะย่ะค่ะ โปรดให้อภัยกระหม่อมด้วยเถิด”

“ก็ได้ ไม่ต้องบอกก็ได้ พวกนั้นคงจะด่าว่าข้าเป็นคนทรยศบรรพชน เป็นคนต่ำทราม เฮ้อ..แม้แต่เสด็จย่า ก็คงกำลังโกรธแค้นข้าจากปรโลกสินะ” พระเจ้าซองจง ตรัส

---@@@---

บัลแฮจับคนของเผ่าหนี่กลับมาคนหนึ่ง ที่บอกว่า เห็นเรือของเผ่าหนี่เจินผ่านไปลำนึง แต่เมื่อคังโจเค้นถาม กลับบอกว่าไม่รู้ว่าเรือล่องไปทางไหน แต่ห่างจากไปสองชั่วยาม มีชนเผ่านึงที่น่าจะรู้ คังโจ กัมชัน จึงพากำลังทหารออกไปตามก็พบกับกามุน กัมชันจึงแสดงตัวว่าเป็นชาวโครยอจากฮวางจู สองวันก่อนมีพวกหนี่เจิน กลุ่มหนึ่ง ที่โจมตีวังที่ฮวางจู แล้วมาจับตัวคนของพวกตนไปด้วย แต่กามุนบอกว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกตน จากนั้นก็พาทั้งหมดไปพบหัวหน้าเผ่า

“ไหนบอกพวกเรามาซิ ว่าใครเป็นคนที่...ไปโจมตีฮวางจู” กัมชัน ถาม

“พวกเราเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน” หัวหน้าเผ่า กล่าว

“ไม่ต้องมาโกหกเลย คนที่พาพวกเรามา บอกว่าพวกเจ้ารู้เรื่องนี้อย่างดี ถ้าไม่ใช่ฝีมือพวกเจ้า ก็บอกมาซะ” คังโจ กล่าว

“ข้าคือพระมเหสีของพระเจ้าคยองจง ถ้าพวกท่านช่วยเราตามหาเชลย เราจะขอบคุณท่านอย่างมาก” พระนางชอนชู ตรัส

“แต่..ถ้าหากพวกท่านปฏิเสธ เราคงต้องส่งทัพใหญ่มาโจมตีท่านแทน และชนเผ่าของท่านอาจจะต้องถูกทำลายก็ได้” กัมชัน ขู่

“ถ้าหากเราช่วยท่านได้ ท่านจะรับข้อเสนอสักข้อได้มั้ย” ชียัง ถาม

“ชียัง” หัวหน้าเผ่า เรียก

“ท่านพ่อ เรามีชีวิตแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นี่อาจจะเป็นโอกาส”

“มีเงื่อนไขอะไร?” พระนางชอนชู ตรัส

“เรื่องนี้ เอาไว้ช่วยคนของพระมเหสีได้ก่อนค่อยว่ากัน”

“พวกนั้นเป็นใครจะตามหาได้ที่ไหน”

“ถิ่นของพวกมันอยู่ห่างจากสถานที่แห่ง นี้มาก พวกเราเองก็เป็นศัตรูกับมัน มันเป็นพวก ที่ถูกกองทัพชี่ตันขับไล่ลงไปทางใต้” ชียัง กล่าว

---@@@---

พระนางชอนชู คังโจ และกัมชัน ยังไม่แน่ใจในข้อมูลที่ชียังให้ แต่ทั้งหมดตกลงที่จะเชื่อ และติดตามไป แต่พระนางชอนชู ก็รับสั่งให้คอยจับตาดูพวกนี้ลับ ๆ ด้วย ด้านวังอุก ได้มาหาพระมเหสีฮอนจอง

“ไม่เจอกันเสียนานนะ....ท่าน...ท่านจำข้าไม่ได้แล้วเหรอ” วังอุก กล่าว

“ใครว่าล่ะ...ไม่ใช่อย่างนั้น นี่เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย”

“เสียงผีผาเมื่อครู่ไพเราะจริง ๆ ไพเราะกว่าที่ข้าเล่นเองอีก เสียงนั้นเป็นเสียง...ที่พระนางบรรเลงใช่มั้ย”

---@@@---

พระนางชอนชู และพวก ให้ชียังและพวกพาเดินทางมาเพื่อตามหาพวกที่ถูกจับตัวมาระหว่างเดินทางก็ถูกกับดัก จนเกิดการต่อสู้กันขึ้น สุดท้ายก็สามารถช่วยฮยังบีและตัวประกันที่ถูกจับตัวมาได้

“หยุดได้แล้ว” อิลลา กล่าว

“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่าเผ่านี้ หยุดโจมตีเราได้แล้ว พวกเราขอยอมแพ้แล้ว” หัวหน้าเผ่า กล่าว

“เจ้าเป็นหัวหน้าเผ่าที่นี่เหรอ?” พระนางชอนชู ตรัสถาม

“ท่านเข้าใจถูกแล้ว”

“แล้วทำไมต้องมาโจมตีวังมองบ๊อก มาแก้แค้นที่เราต่อต้านพวกชนเผ่าหนี่เจินรึไงหา”

“ไม่ใช่หรอก พวกเราแค่ทำไปเพื่อความอยู่รอดของชนเผ่าเท่านั้น”

“หมายความว่ายังไง? ไปโจมตีวังของเชื้อพระวงศ์ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับความอยู่รอดหา”

“เราคิดจะจับพระมเหสีเพื่อเรียกเอาเงินค่าไถ่จากราชสำนักโครยอ”

“ว่าไงนะ” พระนางชอนชู ตรัสถาม

“ข้าเป็นหัวหน้าเผ่า ข้าขอรับผิดชอบเอง ได้โปรดปล่อยคนในเผ่าของข้าไปด้วย เพราะพวกเค้าไม่ได้มีความผิดอะไรเลย”

“อย่าฆ่าตัวตายนะ” คังโจ กล่าว

“อา...”

“เจ้าเป็นอะไรไป” พระนางชอนชู ตรัส

“นายน้อย” อิลลา กล่าวเรียก

---@@@---

พระสนมยอนฮึงทูลพระเจ้าซองจง ให้เสด็จไปเยี่ยมพระมเหสีที่กำลังประชวรอยู่ที่วังหลังบ้าง เมื่อเสด็จไปก็พบกับองค์หญิงซอน ดูแลพระมเหสีมุนด๊อกอยู่ จึงรับสั่งให้ออกไปก่อน

“ขอประทานอภัยเพคะ หม่อมฉันไม่สามารถจะลุกขึ้นมาถวายพระพรได้”

“ไม่เป็นไร เจ้ากินยาที่ทางหมอหลวง จัดเตรียมมาให้จนหมดรึเปล่าหา”

“ไม่มีประโยชน์อีกแล้วเพคะ หม่อมฉันมักจะสร้างความเดือดร้อนให้พระองค์เสมอเลย”

“ข้า..ได้ยินว่าเจ้าอยากพบข้า”

“เพคะ”

“มีเรื่องอะไรรึเปล่า”

“อนาคตของลูกสาวหม่อมฉันเพคะ”

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 30 กันยายน 2553
“เจ้าเกือบตายเพราะช่วยเรา” พชรเอ่ยปากหลังจากจัดการกับทหารสอดแนมเสร็จ

“หากมินาลินไร้เจ้าชายรัชทายาท แล้วใครที่จะโค่นดารัณลงได้ แม้ต้องตายเพื่อท่านก็นับเป็นเกียรติสูงสุด”

“เราคงต้องแยกกันตรงนี้ เจ้ารีบไปเถอะก่อนที่ดารัณมันจะสงสัยในตัวเจ้ามากไปกว่านี้”

---@@@---

บาจรีย์หมกมุ่นค้นหาข้อมูลการรักษาโรคเกี่ยวกับสมองจากทางอินเทอร์เน็ต มุ่งมั่นอยากช่วยฟื้นความจำให้วาสิน ตัดหน้าลำธาร บาจรีย์คิดว่าถ้าวาสินได้อยู่ในสถานที่ที่คุ้นเคยอาจจะฟื้นความจำได้ดีกว่า พอรู้จากภูษณะว่าวาสินเคยมาล่าสัตว์กับมาดิสร์ที่ภูเขาด้านใต้ ของป่าแถบนี้อยู่บ่อย ๆ จึงแอบพาวาสินเข้าไปในป่าโดยไม่ยอมบอกให้ใครรู้

พอรู้ว่าวาสินหายตัวไป ลำธารก็นึกถึงคำพูดบาจรีย์ที่บอกจะหาทางช่วยวาสินขึ้นมาได้ ลำธารสังเกตเห็นมีรอยเท้าผู้ชายกับผู้หญิงย่ำออกไปนอกค่าย จึงแอบตามไป โดยไม่ลืมทำสัญลักษณ์ทิ้งไว้บนต้นไม้ ตามประสบการณ์ที่ได้จากการเดินป่าหลบพวกทหารดารัณกับพชร

บาจรีย์พาวาสินไปรื้อฟื้นความทรงจำที่นั่งร้านส่องสัตว์กลางป่า วาสินเห็นเชือกที่ผูกติดกับนั่งร้านห้อยลงมา แทนที่จะนึกถึงเหตุการณ์ตอนล่าสัตว์กับมาดิสร์ได้ กลับนึกถึงเรื่องที่ถูกดารัณจับมัดกับรถแล้วลากไปทั่ว เมืองแทน

วาสินเริ่มมีอาการหวาดกลัว คลุ้มคลั่ง มองเห็นบาจรีย์บิดเบี้ยวเพี้ยนไปอย่างน่ากลัว บาจรีย์พยายามจะเข้าไปปลอบ วาสินหยิบไม้ขึ้นมาถือเป็นอาวุธ พลางเหวี่ยงแขนไปมากันไม่ให้บาจรีย์เข้าถึงตัว ส่งผลให้ท่อนไม้ฟาดหน้าบาจรีย์จนล้มลง

วาสินวิ่งกระเซอะกระเซิงหายเข้าป่าไป บาจรีย์ฝืนลุกขึ้น แล้ววิ่งตามวาสินไป ลำธาร ตามมาเจอ พยายามจะเข้าไปปลอบให้วาสินสงบลง บาจรีย์ดื้อดึงไม่ยอมเชื่อลำธาร ทำให้วาสินคลั่งหนักขึ้นกว่าเก่า บาจรีย์จะเข้าไปจับตัววาสิน วาสินถอยหนีจนเสียหลัก ร่วงไถลลงไปตามทางลาด หัวฟาดกับต้นไม้อย่างแรง ล้มลงสลบที่โคนต้นไม้

ลำธารช่วยห้ามเลือดให้วาสิน แล้ว ปลอบบาจรีย์ที่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ให้มาช่วยกันประคองพาวาสินกลับไปรักษาตัวต่อที่ค่าย ธามกับพชรอาศัยสัญลักษณ์ที่ลำธารทำไว้ ตามมาช่วยกันพาวาสินกลับไปรักษาตัวต่อที่ค่ายได้ทันเวลา

บาจรีย์รู้สึกผิด เดินเข้าไปเกาะแขนพชร ขอโทษที่เป็นต้นเหตุให้วาสินได้รับบาดเจ็บ พชรเครียดจัดตวาดใส่ บาจรีย์น้ำตาคลอ นึกน้อยใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่ธีรัชเดินออกมา บอกว่าวาสินพ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ยังคงต้องเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิด เพราะวาสินเสียเลือดไปมาก โชคดีที่ลำธารมีกรุ๊ปเลือดเดียวกันได้บริจาคเลือดช่วยชีวิตวาสินไว้ บาจรีย์อึ้งไป ที่ความดีความชอบทั้งหมดไปตกอยู่ที่ลำธาร!

บาจรีย์หันหลังปาดน้ำตา เดินหนีจากทุกคนไปอย่างเจ็บช้ำ ธามนึกเป็นห่วง รีบเดินตามไปพูดจาเย้าแหย่ปลอบใจ แต่บาจรีย์กลับร้องไห้โฮออกมาด้วยความเสียใจ ธามนึกสงสารจึงหลอกให้บาจรีย์ทำข้าวต้มหม้อโตให้ทุกคนในค่ายกิน เพื่อให้บาจรีย์ได้รู้สึกว่าตนเองมีค่า มีความสำคัญกับคนอื่น ๆ นอกเหนือจากพชร บาจรีย์เห็นทุกคนในค่ายกินข้าวต้มกันอย่างเอร็ดอร่อยก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังรู้สึกเสียใจเรื่องพชรไม่หาย

“บาจรีย์ คุณหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองมากเกินไป คุณสนใจก็แต่พชร อะไร ๆ ก็พชร แต่คุณรู้มั้ยว่า คุณยังมีประโยชน์คุณน่ะทำดีให้กับคนอื่น ๆ ได้อีกตั้งเยอะ แบ่งเวลาเอาใจพชร หันมาใส่ใจคนอื่น ๆ รอบตัวคุณบ้าง แล้วคุณจะมีความสุขมากขึ้น”

“แต่ความสุขอย่างเดียวของฉัน คือได้เป็นคนพิเศษของพี่พชร”

ธามได้แต่มองตามหลังบาจรีย์ที่เดินจากไปด้วยความรู้สึกสงสาร “แต่คนพิเศษของพชร มีได้แค่คนเดียว แล้วอาจจะไม่ใช่คุณก็ได้”

---@@@---

ลำธารเป็นห่วงพชรที่คอยนั่งเฝ้าวาสินอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมกลับไปนอนหลับพักผ่อน จึงตัดสินใจเข้าไปเปลี่ยนเวรช่วยเฝ้าวาสินแทน พชรดีใจมากที่รู้ว่าลำธารเป็นห่วง

“ลำธารความรู้สึกที่คุณมีให้ผม มันยังไม่เปลี่ยนไปใช่มั้ยครับ”

“ฉันไม่พร้อมจะคุยปัญหาที่มันผ่านมาแล้ว ฉันไม่อยากรื้อฟื้นมัน ปล่อยให้มันเป็นสายลมที่พัดผ่านไปเถอะพชร”

“แม้ว่าเราจะไม่เข้าใจกันอย่างนั้นเหรอ”

“บางทีการที่ฉันไม่รับรู้ปัญหาของนายมากไปกว่านี้ คงทำให้ฉันอยู่ที่นี่ด้วยความทุกข์ที่น้อยลง”

พชรเศร้าลง ก่อนหันหลังเดินจากไป ลำธารถอนใจระบายความกลัดกลุ้มกับปัญหาหัวใจที่คาราคาซัง

“พชรฉันกลัวที่จะรู้เหตุผลว่าทำไมเราถึงรักกันเหมือนเดิมไม่ได้”

พาริณที่แอบดูอยู่รีบเดินออกมาหา ลำธาร “ฉันเห็นด้วยที่เธอไม่ควรรับรู้ แต่ความจริง มันก็คือความจริง สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับความรักก็คือการที่ไม่มีวันรักกันได้ อีกไม่นานหรอก เธอจะเข้าใจมันเอง”

พาริณเดินจากไป แอบสะใจอยู่ลึก ๆ

“ไม่มีวันรักกันได้ เธอหมายความว่ายังไง” ลำธาร มองพาริณเดินจากไปอย่างคาใจ ข้องใจในสิ่งที่พาริณต้องการจะสื่อ!!!

---@@@---

ตอนที่ 14

พาริณแอบเข้าไปขโมยสร้อยรักเท่าชีวิตจากห้องพักของพชรมาเก็บไว้ เพราะไม่อยากให้พชรมอบสร้อยเส้นนี้ให้ใครอีก

---@@@---

ชาครวางแผนให้พชรพากองกำลังใต้ดินบุกเข้าไปในคลังแสงของดารัณทางเส้นทางลับที่ใช้สำหรับลำเลียงกำลังและหลบหนีศัตรู หลังจากบุกยึดและทำลายคลังแสงได้แล้วก็ค่อยขนอาวุธออกทางประตูทางเข้าปกติที่มีทหารดารัณคอยเฝ้าอยู่ แต่ชาครจะช่วยมอมเหล้าพวกทหารเตรียมพร้อมไว้ให้

ก่อนออกไปรบ พชรพยายามจะปรับความเข้าใจกับลำธารอีก แต่ลำธารไม่เปิดโอกาส ให้ ด้านบาจรีย์พยายามทำอาหารไปง้อพชร แต่พชรกลับไม่สนใจ ภูษณะรู้สึกสงสารที่เห็นพชรยกอาหารที่บาจรีย์ตั้งใจทำมาให้เป็นพิเศษให้จ่าแสงกิน จึงรีบเดินตามไปปลอบ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บาจรีย์รู้สึกดีขึ้นสักเท่าไหร่

ธีรัชรู้ว่าพชรคงอยากได้กำลังใจจาก ลำธารก่อนออกไปรบ จึงพูดเตือนสติให้ลำธารได้คิด และตัดสินใจซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ธีรัชไปดักรออวยพรให้พชรโชคดีกลางทาง พชรยิ้มกว้างอย่างมีความสุขจนแทบล้นทะลัก ผิดกับพาริณที่ได้แต่ยืนมองดูพชรกับลำธารอย่างหงุดหงิดกับภาพบาดหัวใจ

---@@@---

อดิศรบุกเดี่ยวไปหาดารัณที่พระราชวัง มินาลิน ดารัณไม่กล้าทำอะไร เพราะอดิศรอ้างว่ามาคอยดูแลรับผิดชอบหน่วยแพทย์สากลที่มาปฏิบัติงานเพื่อมนุษยธรรมอยู่ในมินาลิน สองฝ่ายใช้จิตวิทยาสงครามประสาทเข้าห้ำหั่นกัน ในขณะที่ใบหน้ายิ้มแย้ม

พชรนำกองกำลังบุกเข้าโจมตีคลังแสงของดารัณตามแผนการที่ชาครวางไว้ ราชิตรู้ข่าว รีบเตรียมกำลังทหารจะไปจัดการกับพวก พชร อดิศรสบโอกาสช่วยเหลือพชร ด้วย การพูดจาดูถูกว่ากองกำลังของดารัณคงไม่มีประสิทธิภาพถึงปราบกบฏไม่ได้เสียที ดารัณเสียหน้ามาก จำต้องสั่งให้ราชิตไปจัดการกับพวกพชรตามลำพัง ไม่ให้เอากองกำลังติดตามไปด้วย

แผนที่ชาครวางไว้ให้ ทำให้พวกพชรสามารถจัดการกับพวกทหาร และทำลายคลังแสงของดารัณได้อย่างง่ายดาย ดารัณไม่พอใจมาก แต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานว่าอดิศรเข้าร่วมกับพวกพชรก็จำต้องปล่อยตัวอดิศรกลับไป

หลังทำลายคลังแสงเสร็จ พวกพชรช่วยกันลำเลียงอาวุธขึ้นรถยีเอ็มซีเตรียมขนกลับไปค่าย ราชิตเดินทางมาถึงคลังแสงพอดี พชรอยากให้ชาครกลับไปที่ค่ายด้วยกันเพราะรู้ว่าราชิตคงไม่ปล่อยชาครให้รอดไปได้ แต่ชาครอาสาอยู่คอยกันราชิตให้

ราชิตบุกยิงเข้าใส่พวกพชร พวกพชรยิงต่อสู้ ก่อนรีบขึ้นรถกันหมด ไม่นานนักรถยีเอ็มซีแล่นออกไป ชาครควักปืนขึ้นยิงกราด โยนระเบิดใส่พวกราชิต ก่อนวิ่งหนีไปอีกทาง ราชิตสั่งพวกทหารให้ตามพวกพชรไป ส่วนตัวเองวิ่งตามชาครไปด้วยความโกรธแค้น

พวกพชรจัดการฆ่าทหารดารัณที่ตามมาจนเกลี้ยง พชรเป็นห่วงชาครมาก ตัดสินใจขับรถยีเอ็มซีย้อนกลับไปช่วยชาคร แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตชาครไว้ได้ทัน ทุกคนรู้สึกโศกเศร้ากับการจากไปของชาครเป็นอย่างมาก

ตอนที่ 15

พชรนำศพชาครกลับมาทำพิธีเผาที่ค่าย วาสินเศร้าสลดมากกว่าใครกับการจากไปของชาคร อดิศรเห็นทุกคนอยู่ในอาการเศร้าสลด ไม่ลืมกำชับเตือน

“หมดเวลาแห่งความเสียใจแล้ว แม้จะทำลายคลังแสงได้แต่ยังห่างไกลจากชัยชนะ”

“ซ้ำยังเติมเพลิงแค้นให้แก่ดารัณ นับแต่วินาทีนี้เตรียมรับมือการโจมตีของมันให้ดี” พชรหันไปบอกทุกคนให้เตรียมตัวให้พร้อมกับปัญหาใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น!

---@@@---

ดารัณโกรธมากสั่งรัฐมนตรีคลังให้เอาเพชรพลอยที่มีอยู่ในคลังออกมาขายเพื่อซื้ออาวุธใหม่ไว้ใช้ต่อกรกับพวกพชร รัฐมนตรี คลังไม่เห็นด้วยกับการนำเอาเพชรพลอยสำรองที่มีไว้ใช้ในยามฉุกเฉินออกมาซื้ออาวุธ จึงถูกดารัณฆ่าตายอย่างเหี้ยมโหด

คเชนทร์และคามินคือคู่หูนักฆ่าจอมเหี้ยมโหด อดีตคือทหารผู้เชี่ยวชาญการสู้รบ ในป่า ทั้งสองเคยถูกวาสินสั่งจำคุกตลอดชีวิต แต่แหกคุกหนีไปได้ คเชนทร์ชอบการเข่นฆ่า บ้าคลั่ง อาวุธคือกริชคู่ ส่วนคามินเงียบขรึม เลือดเย็น แต่ก็โหดเหี้ยมสุด ๆ มีอาวุธเป็นขวาน สับแหลก

คเชนทร์และคามินบุกเข้ามาลอบฆ่าวาสินในวังด้วยความแค้น แต่กลับได้เจอกับ ดารัณและราชิตแทน ดารัณรีบเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส หลอกใช้คเชนทร์และคามินให้ไปจัดการฆ่าพชรแทนราชิตทันที

---@@@---

ลำธารเป็นห่วงพชร จึงทำน้ำสมุนไพรมาให้พชรดื่มแก้เครียด พชรพยายามจะปรับความเข้าใจกับลำธาร แต่ลำธารยังทำใจแข็งเดินหนีกลับออกไปจากเรือนพักพชร โดยไม่รู้ว่า ภูษณะบังเอิญผ่านมาเห็นพชรสารภาพรักลำธารเข้าพอดี

ภูษณะโกรธมากท้าพชรประลองดาบ ภูษณะฟาดฟันดาบใส่พชรไม่ยั้ง พชรเอาแต่ตั้งรับไม่ยอมสู้ ธามกับบาจรีย์เดินผ่านมาเห็น พากันแปลกใจ แล้วพชรก็ทนไม่ไหวโยนดาบทิ้งลงกับพื้น ภูษณะเกือบยั้งมือไม่ทัน คมดาบห่างจากใบหน้าพชรนิดเดียวเท่านั้น

“หยิบดาบขึ้นมาสิวะ”

“ไม่ นายคงไม่ได้อยากประดาบกับฉัน จริง ๆ มีเรื่องอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ”

อ่านละครย่อเรื่อง ศิราพัชร ดวงใจนักรบ วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 30 กันยายน 2553
“เหมยสวีทกิ๊กหนุ่มไฮโซ ควงกันจองเรือนหอ” แต้วอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเช้านี้ เหมยเดินออกมาแต้วจึงส่งให้เหมยดู เหมย หงุดหงิดที่นักข่าวเต้าข่าวโดยที่ไม่เป็นความจริงสักนิด เพราะเขากับไม้เป็นพี่น้องกัน แต้วพยายามบอกว่าไม้ชอบเหมย แต่เหมยยืนยันว่าไม้เป็นน้องชาย แต้วบอกว่าไม่ใช่สายเลือดเดียวกัน เหมยชะงักเพราะจริงอย่างที่แต้วพูด แต่ยังไงเหมยก็ยืนยันว่าเหมยไม่เคยคิดกับไม้แบบนั้น และไม่มีวันคิดด้วย เหมยหันหน้าจะเดินออกจากบ้าน ก็ชะงักเมื่อเห็นไม้ยืนจ้องเธออยู่ เหมยและไม้มองหน้ากัน คราวนี้ทั้งสองคนมีเรื่องต้องคุยกันซะแล้ว

---@@@---

ด้านปยุตรอ่านข่าวและภาพที่ลงหนังสือ ปยุตรรู้ดีว่าไม้คิดยังไงกับเหมย และแม้ว่าข่าวที่ออกมาจะเป็นเพียงการขายข่าว แต่ความรักที่ไม้มีให้เหมยมันเป็นเรื่องจริงที่ปยุตรอดหึงไม่ได้

---@@@---

เหมยกับไม้นั่งคุยกันแบบเปิดใจ เหมย บอกว่าไม่ได้คิดอะไรนอกจากเห็นไม้เป็นน้องชายและไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

“เพราะพี่เหมยมีพี่ยุตรใช่มั้ย พี่เหมย ถึงรักผมไม่ได้”

“ฟังพี่นะไม้ ถึงพี่ยุตรเขาจะไม่เข้ามาในชีวิตพี่ พี่ก็ไม่มีวันคิดแบบนั้นกับไม้ ลองกลับไปคิดดูดี ๆ ว่าความรู้สึกที่ไม้มีให้กับพี่ มันใช่ความรักแบบหนุ่มสาวหรือเปล่า หรือจริง ๆ แล้วมันเป็นแค่ความผูกพันที่ไม้เข้าใจผิดไปเอง”

ไม้พูดไม่ออก เหมยเสยผมไม้ปลอบอย่างเอ็นดู “เรากลับมาเป็นพี่น้องกันเหมือนเดิมนะ”

ไม้มองหน้าเหมย เหมยยิ้มให้อย่างจริงใจและว่าสักวันไม้จะต้องเจอคนที่ใช่ เหมยจับมือไม้ให้กำลังใจ ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินออกไป แต่ไม้เรียกไว้ก่อนจะบอกว่าเขาจะพยายามทำอย่างที่เหมยบอก แม้ว่าจะยากก็ตาม เหมยยิ้มกว้าง ทั้งคู่เหลือเพียงความบริสุทธิ์ใจให้แก่กัน เหมยโผเข้าไปกอดน้องชายอย่างสุดรัก ไม้กอดตอบ แต่จังหวะนั้นปยุตรเดินเข้ามาเห็นช็อตเด็ดพอดี แอบจี๊ดในใจ!!! เหมยหันมาเห็นปยุตร จึงผละตัวออกจากไม้

“ผมมารับเหมยไปกองถ่าย ป่านนี้นักข่าวคงรอเหมยอยู่เต็มกองแล้วล่ะ เหมยสูดลมหายใจหนัก ๆ พร้อมเจอกับปัญหา เหมยนำเดินออกไป ปยุตรมองไม้อย่างข้องใจนิด ๆ แต่ด้วยความเป็นผู้ใหญ่กว่า ปยุตรจึงไม่พูดอะไร และจะเดินออกไป แต่ปยุตรต้องหยุดชะงักเมื่อเสียงไม้ดังขึ้นมา

“ฝากดูแลพี่เหมยแทนผมด้วยนะพี่ยุตร” ปยุตรหันกลับมา ไม้ยิ้มน้อย ๆ ให้ ปยุตรยิ้ม ออกมาได้บ้างเหมือนกัน

---@@@---

ป้องนั่งสับสนจมกับความคิดของตัวเอง สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจโทรฯ หากันต์ กันต์ซึ่งกำลังดูแลแม่กุ้ง เห็นป้องโทรฯ เข้ามาก็ไม่อยากรับเพราะยังน้อยใจเรื่องที่ป้องแถลงข่าวว่าไม่ได้คิดอะไรกับกันต์ กันต์เดินออกจากห้องมารับโทรศัพท์ เสียงกันต์เรียบนิ่งพร้อมรับฟังทุกอย่าง ป้องไม่ได้บอกอะไรมากแค่บอกว่าตอนเย็นจะไปหาที่โรงพยาบาล หลังวางสาย ทั้งคู่ต่างก็หนักใจกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

---@@@---

เหมยตอบคำถามนักข่าวตามความจริงว่าบ้านที่จะซื้อ เธอและไม้น้องชายตั้งใจเพื่อเป็นอนาคตให้น้อง ๆ และครอบครัว ทำให้เหมย ได้คะแนนไปอีกในสายตานักข่าว น้ำหวานเห็นแล้วก็ยิ่งหมั่นไส้ มดแดงพอจะรู้ว่างานนี้เป็นฝีมือเต้าข่าวของน้ำหวานจึงพูดแดก น้ำหวาน ไม่ยอมแว้ดใส่ มดแดงอารมณ์เสียเดินปลีกตัวไป น้ำหวานเดินมาประจันหน้ากับเหมย

“สงครามระหว่างเธอกับชั้นมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น เตรียมตัวไว้ได้เลย!!!” พูดจบก็สะบัดเดินออกไปทันที

เหมยอึ้งไป รู้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือน้ำหวานแน่ สุดจะเหนื่อยหน่ายใจ

---@@@---

นักข่าวทยอยกันกลับหลังสัมภาษณ์เสร็จ น้ำหวานเห็นปยุตรก็ปรี่เข้ามาทักเสียงหวาน ปยุตรทำหน้าเซ็ง ๆ ไม่อยากเสวนาด้วย น้ำหวานแหย่เรื่องเหมยกับไมค์ที่ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริง ๆ ปยุตรบอกเขารู้ดีว่าเหมยเป็นคนอย่างไร น้ำหวานส่งสายตาหวานเชื่อมให้ปยุตรอย่างเปิดเผย ทันใดนั้นไฟที่เซตฉากก็ล้มคว่ำลงมาตรงหน้าน้ำหวาน ด้วยความตั้งใจของใครคนหนึ่ง ปยุตรคว้าตัวน้ำหวานหลบ ไฟเฉียดน้ำหวานไปนิดเดียว แต่ขาไฟก็ล้มมากระแทกแขนปยุตรที่เอาตัวบังน้ำหวานอยู่

หน้าของปยุตรแนบกับหน้าน้ำหวาน น้ำหวานรู้สึกอบอุ่นจากสัมผัสของปยุตรขึ้นมาในฉับพลัน เจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยยกไฟขึ้นจากตัวปยุตร ทีมไฟขอโทษขอโพยและรีบยกไฟออกไปจากตรงนั้น น้ำหวานกล่าวขอบคุณปยุตรและมองอย่าง ชื่นชม เหมยเดินออกมาจากห้องแต่งตัว และต้องชะงักเมื่อเห็นน้ำหวานยืนอยู่กับปยุตร

น้ำหวานเหลือบเห็นเหมยจึงจงใจแกล้งโดยการจับแขนปยุตรด้วยความเป็นห่วง ปยุตรว่าไม่เป็นไร น้ำหวานทำทีจะเดินไปแต่แกล้งเดินล้ม ปยุตรต้องเข้าไปประคองอีกครั้ง คราวนี้น้ำหวาน กอดซบอกปยุตรให้เหมยเห็นจัง ๆ น้ำหวาน ส่งสายตาท้ารบ เหมยอึ้งไป ก้มหน้าพยายามไม่คิดมาก แต่ก็ความน้อยใจมันมีมากกว่า น้ำตาเอ่อ ขึ้นมาทันที เหมยรีบปาดน้ำตา และเดินเลี่ยงไปทางอื่น น้ำหวานยิ้มสะใจ ก่อนที่จะหันมองตาม ปยุตรอีกครั้งด้วยความรู้สึกที่แปลกไป

ชายลึกลับคนที่ตั้งใจทำไฟล้มใส่น้ำหวาน มองเหตุการณ์ที่ไม่เป็นอย่างที่ใจหวังด้วยอารมณ์พลุ่งพล่านโกรธแค้น

---@@@---

ตอนที่ 21

ไม้นั่งซึมอยู่หน้าบ้าน แต้วเดินออกมา เห็นเลยลงนั่งปลอบไม้

“ถ้าเรารักใครสักคน แล้วไม่ได้รับความรักนั้นตอบ มันก็เจ็บแบบนี้ล่ะ แต่เราก็ยังมีความสุขที่ได้รักเขาไม่ใช่เหรอ เพียงแต่ว่ามันคงต้องยอมเป็นทุกข์ที่ต้องรอว่าเมื่อไหร่เค้าจะรักเรา”

ไม้ยิ้มเข้าใจที่แต้วพูดหมดทุกอย่างแล้วแซวแต้ว “แก่แดด พูดยังกับเข้าใจความรักได้ดีนักนี่” แต้วหัวเราะเบา ๆ “ก็แต้วเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน” ไม้ชะงักกึก ลึก ๆ แล้วไม้ก็รู้ว่าแต้วรักเขา แต่ไม้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวันไหนที่ เขาจะรักแต้วได้เหมือนอย่างที่เขารักเหมย แต่อย่างน้อยวันนี้เขาก็มีแต้วคอยนั่งเป็นเพื่อนยามที่เขาทุกข์ใจ

---@@@---

ที่สวนหย่อมในโรงพยาบาล ป้องบอกกันต์ว่าคุณพิงค์เรียกเข้าไปพบ เตือนให้รักษา ภาพลักษณ์ เพราะกลัวคนดูรับไม่ได้ กันต์เห็นใจป้องจึงขอยุติความสัมพันธ์ กันต์ค่อย ๆ เดินจากไป แต่ป้องคว้ามือเอาไว้ ป้องบีบมือกันต์แน่น “ผมไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนั้น และผมอยากให้คุณอยู่ข้าง ๆ ผมแบบนี้” กันต์ยิ้มปนเศร้า เหมยที่ยืนมองทั้งคู่อยู่ห่าง ๆ รู้สึกเข้าใจ จึงเดินเข้าไปหาน้องชาย

“พี่ไม่รู้ว่าเรื่องระหว่างกันต์กับคุณป้อง ความจริงมันเป็นยังไง แต่พี่แค่อยากจะบอกว่า ความสุขของคนเราคือการได้ยืนอยู่บนความจริง ไม่โกหกคนอื่น และที่สำคัญต้องไม่โกหกตัวเอง” เหมยพูดเหมือนสะท้อนใจเรื่องของตนเอง กันต์และป้องมองหน้ากันรู้สึกผิดที่หลอกตัวเอง “บางครั้งความจริงมันก็ไม่ได้มาพร้อมกับการยอมรับ แต่จำไว้นะความจริงมันมาพร้อมกับความสุขเสมอ เชื่อพี่นะกันต์” เหมยพูดจบก็ให้กำลังใจกับทั้งสองคน ด้วยการแตะบ่า แล้วก็เดินไปทางห้องคนไข้แม่กุ้ง ทั้งป้องและกันต์ยังยืนนิ่งทบทวนสิ่งที่เหมยพูด เพียงชั่วครู่ ทั้งสองมองหน้ากัน แต่คราวนี้เห็นประกายในแววตาของทั้งคู่เปล่งออกมาอย่างชัดเจน

---@@@---

ในห้องพัก เหมยป้อนข้าวแม่กุ้ง แต่ หน้าตามีแววกังวล ยังคิดวนเวียนถึงเรื่องปยุตร และน้ำหวาน แม่กุ้งจับสังเกตได้ เหมยสารภาพ ทั้งน้ำตา “เหมยไม่เข้าใจคุณยุตรเค้าเลยค่ะแม่ เหมยเห็นว่าเขาจับมือถือแขนกับน้ำหวาน แต่พออยู่ต่อหน้าเหมย เขาก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมยไม่เข้าใจจริง ๆ”

“ไม่เข้าใจ ก็ต้องหาทางทำความเข้าใจ ให้เร็วที่สุด ความรักน่ะถือทิฐิไม่ได้นะลูก ถ้าเหมยรักคุณยุตร เหมยก็ต้องเปิดใจกับเขา” เหมยพยักหน้ารับฟังสิ่งที่แม่กุ้งสอน แต่ลึก ๆแล้วก็ไม่แน่ใจว่าเรื่องนี้จะเคลียร์กับปยุตรได้จริงหรือ

---@@@---

ที่คอนโดฯ น้ำหวานนั่งอยู่บนโซฟา นึกถึงเหตุการณ์ที่ปยุตรช่วยเธอไว้ น้ำหวานยิ้มละไม สัมผัสอันอบอุ่นแบบนั้น เธอไม่เคยได้ รับจากใครนอกจากความรู้สึกที่ได้จากปยุตร น้ำหวานตัดสินใจกดโทรฯหาปยุตรทันที ปยุตรที่กำลังนั่งเขียนข่าวอยู่รับสาย น้ำหวานขอบคุณปยุตรยกใหญ่พร้อมหยอดคำหวาน ปยุตรชะงักไป ฝ่ายเหมยหยิบมือถือออกมากดโทรฯหา ปยุตร แต่เป็นสายเรียกซ้อน ปยุตรมองมือถือเห็นว่าเป็นสายเรียกซ้อนจากเหมยก็จะหา ทางวางสายจากน้ำหวาน แต่ไม่มีจังหวะ ปยุตร พะวงกับสายของเหมยตลอดเวลา ฝั่งเหมยก็ถือสายรออยู่อย่างอดทน ปยุตรตัดบทจากน้ำหวานจังหวะที่ปยุตรตัดสายน้ำหวานทิ้ง เหมยก็วาง สายไป แล้วก็ปิดเครื่อง “ไม่คุยก็ไม่ต้องคุย คนบ้า” ปยุตรโทรฯกลับไปหาเหมยแต่เหมยปิดเครื่องไปแล้ว ทางฝั่งน้ำหวานที่ถูกปยุตรตัด สายทิ้ง ก็เริ่มหงุดหงิด “คุณยุตร น้ำหวานจะ ทำให้คุณเห็นว่าน้ำหวานมีดีกว่านังเหมยเป็นไหน ๆ” ดวงตาน้ำหวานวาวโรจน์ ครั้งนี้เธออยากได้ปยุตรจริง ๆ

---@@@---

ที่วัด พีทและรมมี่มาไหว้พระด้วยท่า ทีสบายใจ รมมี่ไม่ได้มีท่าทางเปรี้ยวฉูดฉาดเหมือนเดิม จากนั้นทั้งคู่ไปให้อาหารปลากันต่อด้วยท่าทางนิ่ง ๆ แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม

“ให้อาหารปลาเสร็จแล้วเราไปนมัสการ หลวงพ่อกันนะคะ ฉันอยากให้ท่านช่วยดูฤกษ์ให้”

“ฤกษ์อะไร?”

“ก็งานแต่งงานของเราน่ะสิคะ”

พีทอ้าปากค้างแบบคาดไม่ถึง รมมี่ถามเย้า ๆ

“หรือจะไม่แต่ง?”

“แต่งสิ ผมอยากแต่งงานกับคุณ ไชโย” พีทตะโกนเสียงดัง พีทมองหน้ารมมี่แล้วยิ้มกว้าง สองหนุ่มสาวประสานสายตากัน ก่อนหันไปให้อาหารปลาต่ออย่างมีความสุข

---@@@---

รมมี่กับพีทนัดเหมยกับปยุตรออกมาทานข้าวนอกบ้าน เพื่อบอกข่าวดี เหมยยังงอนปยุตรอยู่เลยไม่ค่อยสบตา

“คือว่า..ผมกับรมมี่จะแต่งงานกัน”

เหมยกับปยุตรประหลาดใจไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ เหมยยิ้มกว้างแสดงความยินดีกับ ทั้งคู่

“ดีใจด้วยนะรมมี่ คุณพีท”

“ขอแสดงความยินดีกับว่าที่เจ้าบ่าวครับ”

“โห ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้หรอก ต้องขอดูพฤติกรรมก่อน เรื่องเก่าชั้นไม่สน แต่ถ้ามีเรื่องใหม่มาชั้นเอาตายแน่”

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 30 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 30 กันยายน 2553
“ชุมศรีเอ๊ย...พี่มีเธอเป็นน้องอยู่คนเดียว พี่ก็ต้องรักต้องห่วงเธอ...ฉะนั้นพี่ไม่มีวันยอมให้น้องต้องไปทำงานเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย อย่างนั้นหรอก”

“แต่..คุณประจวบ”

“อย่าห่วงเลย...พี่ไม่ปล่อยให้ว่าที่น้องเขยไปเสี่ยงตายเหมือนกันน่า”

ชุมศรีมองดูพี่ ซึ้งใจจนน้ำตาแทบไหล ตื้นตัน...ประจวบเดินเข้ามา ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น

“พี่ชวนเรียกผมเหรอครับ”

“อืม...ชุมศรีออกไปข้างนอกก่อนไป ผู้ชายเขาจะคุยกัน”

ชุมศรีออกไป ประจวบมองตาม ชวนหยิบซองเงินในลิ้นชักออกมา แล้วยื่นให้ประจวบ

“เอาเงินนี่ไปใช้หนี้ซะ”

ประจวบอึ้ง ระคนตกใจ “แต่...”

ชวนยัดซองเงินใส่มือประจวบ “ไม่ต้องแต่ ฉันไม่ได้ให้เงินนายไปเปล่า ๆ ฉันมีงานให้นายทำด้วย”

“งานอะไรครับ”

“อืมมม...พี่จะให้นายทำงานในหน้าที่ดูแลผู้หญิงที่น่ารัก ๆ ซักคนนึง นายจะทำได้มั้ย”

“ดูแลผู้หญิง!! งานอื่นไม่ได้เหรอครับ ผม...”

“ทำไม กลัวอะไร ถ้าผู้หญิงคนนั้นคือชุมศรีน้องพี่เองล่ะ”

“พี่ชวน...”

“นายพอจะคุ้มครองชุมศรีให้เขาอยู่ดีมีสุข และซื่อสัตย์กับเค้าไปตลอดได้มั้ย”

“ได้ครับ” ประจวบรับปากอย่างมั่นใจ

“ถ้าอย่างนั้น ก็รีบเอาเงินไปใช้หนี้ซะ แล้วรีบกลับมาที่นี่นะน้องเขย”

ประจวบยิ้มตื้นตันกับความมีน้ำใจของสองพี่น้องคู่นี้

---@@@---

วันต่อมาประจักษ์ประคองวนิดา สีหน้าดีขึ้นแล้ว เข้ามาในบ้านมหศักดิ์ ป้าทอง จวง ตามมา

“ระหว่างที่ฉันไปทำงาน เธอต้องทานข้าว ทานยาให้ตรงเวลา ถ้ารู้สึกไม่ดี รีบโทรฯ หาฉันทันที”

ป้าทองกับจวงมองประจักษ์กับวนิดาแล้วอมยิ้ม

“ฉันไม่ใช่เด็ก ๆ แล้วนะคะ ฉันดูแลตัวเองได้ แผลที่ขาแค่นี้ ยังไกลหัวใจอีกเยอะ”

“ไกลหัวใจเธอ แต่ใกล้หัวใจฉัน...ถ้าเธอเป็นอะไรขึ้นมา ใจฉันคงทนไม่ได้”

“คุณไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ มีป้าทองกับจวงคอยดูแลอยู่ใกล้ ๆ”

“มันก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ใครจะดูแลเธอได้ดีเท่าฉัน”

ประจักษ์มองวนิดาแววตาเป็นห่วงอย่างจริงจังจนวนิดาพูดไม่ออก ป้าทองกับจวงหัวเราะคิกคักเขินอายแทน ทำเอาเสียบรรยากาศ ประจักษ์กับวนิดาได้ยินหันไปมอง ป้าทองกับจวงรีบปิดปากแล้วอมยิ้มแทน ประจักษ์ผละออกห่างวนิดา

“ฉันไปนะ แล้วจะรีบกลับมา”

“ค่ะ”

ประจักษ์ยิ้มแล้วเดินออกไป วนิดายิ้มค้าง เห็นป้าทองกับจวงมองอยู่ วนิดาเขินอายหน้าแดง...ประจักษ์เดินออกมาเจอกับพิสมัยที่เดินออกมา

“เย็นนี้เธอว่างมั้ย ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”

พิสมัยมองประจักษ์นิ่งอึ้ง เพราะรู้ว่าประจักษ์จะคุยเรื่องอะไร ถึงตัวเย็นใจสั่น แต่พยายามไม่แสดงออก พิสมัยถามจะคุยเรื่องอะไร ประจักษ์บอกจะคุยเรื่องของเรา พิสมัยใจเสียแต่ก็รับปาก

---@@@---

ปราณีเปิดประตูเห็นพิสมัยร้องไห้ฟูมฟายก็ตกใจ ถามว่าเป็นอะไร พิสมัยโผเข้ากอดปราณี

“ปราณีช่วยฉันด้วย คุณพี่ไม่รักฉันแล้ว คุณพี่ไม่รักฉัน ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะทำยังไงดี ฮือฮือ”

“ใจเย็น ๆ ก่อนพิสมัย เธอพูดอะไรของเธอ คุณใหญ่จะไม่รักเธอได้ยังไง”

พิสมัยเอาแต่ร้องไห้ ปราณีดึงพิสมัยออกมามอง

“ตอนที่คุณพี่ ฉัน แล้วก็นังวนิดาติดอยู่ในวิหารพระฯ คุณพี่ไม่สนใจ ไม่ห่วงฉัน คุณพี่เอาใจแต่นังวนิดา ดูแลมันจนออกนอกหน้า ทำเหมือนฉันไม่มีตัวตน สิ่งที่คุณพี่ทำมันทำให้ฉันมั่นใจว่าคุณพี่รักนังวนิดา...เย็นนี้คุณพี่นัดฉันให้ออกไปพบ คุณพี่บอกว่าจะคุยเรื่องของเรา คุณพี่ต้องบอกเลิกฉันแน่ ๆ ปราณี ฉันจะทำยังไงดี ฉันไม่อยากเสียคุณพี่ไป ฉันอยู่ไม่ได้ถ้าขาดคุณพี่ ฉันอยู่ไม่ได้ ฉันอยู่ไม่ได้” พิสมัยร้องไห้หนักมาก

“พิสมัย! ตั้งสติแล้วฟังฉัน...เธอจะอ่อน แอแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด ถ้าเธออ่อนแอ เธอจะเสียคุณใหญ่ให้นังวนิดา เธอจะยอมแพ้มันเหรอพิสมัย!”

พิสมัยนิ่งคิดตามที่ปราณีพูด “แล้วเธอ จะให้ฉันทำยังไง?” ปราณียิ้มร้าย มีแผนการ พิสมัยมองสงสัย

---@@@---

อำไพนั่งคุยอยู่กับวนิดา ไม่นานมนตรีวิ่งหน้าตาตื่นเต้นดีใจเข้ามา วนิดากับอำไพหันไปมองมนตรีที่ตรงปรี่เข้ามาจับมือวนิดาแน่น วนิดาชะงัก อำไพตกใจ

“พอรู้ว่าคุณนิดกลับมา ผมก็รีบมาหาคุณ นิดทันทีเลย ไม่ได้เจอหน้าคุณนิดตั้งหลายวัน ผมจะขาดใจตายให้ได้ ผมคิดถึงคุณนิดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ”

“หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีด้วยรึเปล่าคะ”

มนตรีเคลิ้ม “ครับ...เย้ยย!! นั่นมันคนตายแล้ว” พอนึกได้หันตาเขียวใส่อำไพ

“ถ้าคุณยังไม่ปล่อยมือคุณนิด คุณประจักษ์ ได้เล่นงานคุณตายแน่”

มนตรีผงะ ตกใจ รีบปล่อยมือจากวนิดาแล้วยิ้มแหย ๆ

“ขอโทษครับ ผมลืมตัว ดีใจมากไปหน่อย วันนี้คุณนิดว่างมั้ยครับ...ผมอยากชวนไปดูหนัง”

“ขอบคุณนะคะที่ชวน แต่นิดไม่ค่อยสบายน่ะค่ะ”

“ไม่สบาย!! คุณนิดไม่สบายเป็นอะไร ครับ แล้วไปหาหมอรึยัง”

อำไพทนไม่ไหว “โอ๊ย! ถามไม่หยุดแบบ นี้ คุณนิดจะตอบได้ยังไง”

มนตรีเงียบ วนิดาอมยิ้มขำ ๆ กับท่าทางของมนตรีกับอำไพ

“คุณนิดหกล้มตอนที่ไปบางปะอิน หยุด!..ฟังฉันพูดให้จบก่อนแล้วค่อยถาม ตอนนี้อาการคุณนิดดีขึ้นแล้ว แต่ยังไม่สมควรออกไปไหน เอ้า อยากถามอะไรก็ถาม”

มนตรีอึ้งเพราะไม่มีอะไรจะถามแล้ว “ขอให้หายเร็ว ๆ นะครับ น่าเสียดายกว่าผมจะได้ตั๋วหนังรอบแรกมา เลือดตาแทบกระเด็น”

“งั้นให้คุณจี๊ดไปดูหนังเป็นเพื่อนคุณมนตรี สิคะ”

อำไพกับมนตรีตกใจ

“จี๊ดเหรอคะ?”

มนตรีรีบปฏิเสธจนดูเหมือนรังเกียจ “โอ๊ย ไม่เอาหรอกครับ”

อำไพหมั่นไส้ ดึงตั๋วมาจากมือมนตรีทั้งสองใบ “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปดู จี๊ดไปนะคะคุณนิด”

อำไพลุกเดินออกไป มนตรีเหวอ หันไปตะโกนไล่หลังอำไพ

“เฮ้ยได้ไง!!...ผมไปก่อนนะครับ” มนตรีบอกวนิดา แล้วรีบวิ่งตามอำไพไป

---@@@---

ในที่สุดมนตรีกับอำไพก็ต้องดูหนังด้วยกัน อำไพกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะดูเพราะเป็นหนังผี ยกมือขึ้นมาปิดตา แต่ก็กางนิ้วออกดู เสียงดังโครม! ออกมาจากในหนัง อำไพกรี๊ดลั่น มนตรีสะดุ้งเฮือก! มนตรีกระซิบ “นี่ เบา ๆ หน่อยได้มั้ย อายคนอื่นเค้า”

“ก็มันน่ากลัวนี่นา... นั่นไง ๆ ผีมาแล้ว”

อำไพจิกแขนมนตรีแน่นโดยไม่ตั้งใจ มนตรีสะดุ้งโหยง ร้อง โอ๊ย!

“กลัวเหมือนกันเหรอ”

“กลัวบ้าอะไร เธอจิกแขนฉันอยู่”

อำไพก้มมองเห็น ตกใจ รีบปล่อย ยิ้มแหย ๆ มนตรีหัวเสีย อำไพหันไปดูหนังเสียงฟ้าผ่าเปรี้ยง อำไพกรี๊ดลั่นพร้อมจิกแขนมนตรีซ้ำรอยเดิม มนตรีหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด... หลังดูหนังจบ อำไพยังตื่นเต้นกับหนังที่ดูเมื่อกี๊

“หนังอะไรก็ไม่รู้ทั้งสนุกทั้งน่ากลัว วันหลังถ้ามีหนังสนุก ๆ แบบนี้อีก บอกกันบ้างนะ”

มนตรีไม่ตอบ เซ็ง อำไพหันไปมองแปลกใจ

“ทำไมคุณมนตรีทำหน้าแบบนี้ หนังไม่สนุกเหรอ”

“จะสนุกได้ยังไง มีคนมาจิกแขน ร้องกรี๊ด ๆ ๆ อยู่ข้างหู ฉันเจ็บไปหมดทั้งแขนแล้วเห็นมั้ย”

อำไพก้มมองเห็นแขนมนตรีเป็นรอยแดง อำไพตกใจ

“อุ๊ย! ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

มนตรีส่ายหน้าเซ็ง เดินออกไป อำไพจ๋อย รู้สึกผิด

---@@@---

วนิดากำลังทานข้าวอยู่ ป้าทองนั่งอยู่ ใกล้ ๆ ไม่นานถมเข้ามาบอกว่ามีโทรศัพท์ถึงวนิดา ป้าทองกับวนิดามองหน้ากันด้วยความ สงสัย

“จากใคร?”

“ไม่ใช่ธุระที่ฉันต้องถาม”

ถมสะบัดก้นเดินออกไป ป้าทองขมุบขมิบปากด่า วนิดาแปลกใจว่าใครโทรฯ หาเธอ... วนิดารับสายโทรศัพท์สีหน้าแปลกใจ

“คุณพิสมัย??”

ป้าทองยืนอยู่ด้านหลัง ได้ยินชื่อพิสมัยก็สงสัย

“ได้สิคะ คุณต้องการพบฉันที่ไหน... ตกลงค่ะ”


วนิดาครุ่นคิดสงสัยว่าพิสมัยนัดเธอออกไปทำไม?

---@@@---

ประจักษ์เดินเข้ามาเห็นพิสมัยยืนรออยู่ที่ในสวนหย่อม ประจักษ์หน้าเครียดเดินมาหาพิสมัย ทันทีที่พิสมัยหันมาเห็นประจักษ์ ก็แกล้งตีหน้าเศร้าเสียใจ

“น้องขอโทษที่น้องทำตัวไม่ดีกับคุณพี่แล้วก็วนิดาตอนที่เราติดอยู่ในวิหารพระด้วยกัน”

พิสมัยรีบพูดต่อ เข้ามาจับมือประจักษ์ น้ำตารื้นขึ้นมา สีหน้าเศร้าสร้อยดูน่าสงสาร

“คุณพี่อย่าโกรธน้องนะคะ ที่น้องทำไป เพราะน้องกลัว กลัวจะออกไปจากที่นั่นไม่ได้ และที่สำคัญ...น้องกลัวว่าคุณพี่จะทิ้งน้องไปหา วนิดา”

ประจักษ์ชะงักถูกจี้ใจดำ น้ำตาพิสมัยไหลออกมาพอดี

“ยิ่งเห็นคุณพี่เอาใจใส่ ดูแล เป็นห่วงวนิดา ทำเอาน้องทนไม่ได้ หัวใจของน้องมันจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนทำให้น้องแสดงความก้าวร้าวออกไป คุณพี่อภัยให้น้องนะคะ” พิสมัยแกล้งร้องไห้ แล้วทรุดเข่าลงกับพื้นทำท่าจะกราบเท้าประจักษ์ ประจักษ์ตกใจ รีบย่อตัวลงมาจับไหล่พิสมัย

“พิสมัย...เธอจะทำอะไร”

“น้องทราบดีว่าคุณพี่คงไม่หายโกรธน้องง่าย ๆ น้องก็เลยจะแสดงความบริสุทธิ์ใจให้คุณพี่เห็นจะให้น้องไปกราบขอโทษวนิดาด้วยอีกคน น้องก็ยอม”

ประจักษ์พูดไม่ออกเมื่อพิสมัยมาไม้นี้ ประจักษ์ดึงพิสมัยให้ลุกขึ้นยืน

“เธอไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้ ฉันกับนิดไม่โกรธเธอหรอก”

“จริงนะคะคุณพี่ คุณพี่กับวนิดาไม่โกรธน้องจริง ๆ นะคะ”

ประจักษ์พยักหน้า พิสมัยโผกอดประจักษ์แน่นด้วยความดีใจ หน้าเปลี่ยนเป็นร้ายทันที ประจักษ์ยิ่งเครียดหนัก เหมือนมีอะไรมาจุกที่คอหอย พิสมัยผละออกมามองประจักษ์ด้วยสีหน้าสำนึกผิด พิสมัยเน้นน้ำเสียงย้ำ “คุณพี่ยังจำสัญญาที่ว่าจะแต่งงานกับน้องคนเดียวได้มั้ยคะ”

ประจักษ์ชะงัก กลืนน้ำลายด้วยความลำบากใจ “จำได้สิ”

“ชายชาติทหารอย่างคุณพี่รักษาคำมั่นสัญญายิ่งชีพ น้องจะรอวันนั้น วันที่เราจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันนะคะ...ขอให้คุณพี่รู้ไว้ นะคะ ว่าน้องเป็นคนเดียวที่รักคุณพี่ด้วยหัวใจที่แท้จริง ไม่มีผู้หญิงคนไหน ที่จะยอมทำทุกอย่างเพื่อคุณพี่ได้เท่าน้องอีกแล้ว”

พิสมัยกอดประจักษ์แน่นด้วยความรัก ประจักษ์พูดอะไรไม่ออกอยู่ในสภาวะน้ำท่วมปาก หลุบตามองพิสมัยลำบากใจ...วนิดาเห็นประจักษ์กับพิสมัยกอดกัน รู้สึกเจ็บปวด พิสมัยหันมาเห็นวนิดายืนอยู่ ยิ้มเยาะเย้ยวนิดาอย่างผู้ชนะ วนิดาเศร้าและเสียใจสุด ๆ

---@@@---

วนิดานั่งเศร้าอยู่ที่ศาลาบ้านมหศักดิ์ ยังอึ้ง ๆ งง ๆ รู้สึกเสียใจและเจ็บปวดไม่หาย ประจักษ์เดินหน้าเครียดมาหยุดยืน โดยไม่รู้ว่า วนิดานั่งอยู่ที่ม้านั่งหลังพุ่มไม้และบังเอิญหันมาเจอหน้ากัน ชะงักกันไป วนิดาลุกขึ้นยืน ทั้งคู่ดูเก้อ ๆ เขิน ๆ

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“ค่ะ เอ่อ...แต่ฉันกำลังจะไปนอนแล้ว”

วนิดาหันหลังจะเดินไป ประจักษ์รีบเรียกไว้

“นิด” ประจักษ์มองสบตา รู้สึกสับสน เงียบไปนาน จนวนิดาแปลกใจ

“คุณมีอะไรจะพูดเหรอคะ”

“เอ้อ...ราตรีสวัสดิ์”

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

วนิดาเดินออกไปตามทาง เจอพิสมัยยืนรออยู่มุมหนึ่ง วนิดาชะงัก ไม่อยากมีเรื่องจะเดินหนี

“ฉันมีเรื่องอยากคุยกับเธอ”

“ถ้าเป็นเรื่องคุณประจักษ์ ขอให้คุณสบายใจว่าฉันจะไม่มีวันเป็นมือที่สามมาจากคุณ ถ้าทุกอย่างสิ้นสุดลงเมื่อไหร่ ฉันจะหย่ากับคุณประจักษ์ทันที และคุณประจักษ์ก็จะไม่มีวันได้พบหน้าฉันอีก”

“รู้เองอย่างนี้ก็ดี จะได้ไม่ต้องเสียเวลาพูด จำคำพูดของเธอวันนี้เอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน วนิดา” พิสมัยจิกตามองวนิดาอย่างผู้ชนะ ก่อนจะเดินออกไป วนิดารู้สึกเศร้าขึ้นมา

---@@@---

เช้าวันใหม่ น้อมหัวเราะเสียงดังลั่นมีความสุขสุด ๆ ในมือมีจดหมายจากประจวบ

“ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง ตาเล็กเขียนมาบอกว่าภายในอาทิตย์นี้จะกลับมาใช้หนี้นายดาว”

น้อมหันไปยิ้มร่ากับพิสมัยและถม

“นี่เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดในรอบหลายเดือนที่ผ่านมาเลยนะคะคุณแม่”

“ใช่ลูก แม่ดีใจจริง ๆ นังวนิดามันจะได้ขนข้าวขนของออกไปจากบ้านเราสักที”

น้อมนิ่งไป แล้วก็นึกอะไรชั่ว ๆ ออกยิ้มมุมปาก หันไปมองพิสมัยกับถมอย่างมีแผนการ...เมื่อวนิดากับประจักษ์กลับมาด้วยกัน จากการที่วนิดาไปไหว้กระดูกย่ามณฑาที่วัด ระหว่างนั้นน้อม พิสมัยเดินออกมา พิสมัยมองวนิดากับประจักษ์ไม่พอใจ

“พ่อใหญ่...ทำไมถึงมาด้วยกัน ไปไหนกันมาเหรอ”

“ไปไหว้คุณป้ามณฑามาครับ”

“แหม...น่าเสียดายที่ฉันมาช้าไปหน่อย ไม่งั้นแกจะได้ไปบอกข่าวสำคัญกับกระดูกย่าของแก”

ประจักษ์กับวนิดามองน้อมสงสัย

“คุณแม่พูดอะไร?”

“คุณเล็กเขียนจดหมายมาบอกว่าจะกลับมาภายในอาทิตย์นี้ค่ะ”

วนิดา ประจักษ์ อึ้ง ตกใจ มองหน้ากันเพราะมันเร็วกว่าที่คิดเอาไว้มาก

“ยินดีด้วยนะวนิดา เธอจะได้เป็นอิสระ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับคนที่เธอไม่ได้รักอีกต่อไปแล้ว”

พิสมัยปรายตามองประจักษ์ ประจักษ์มองวนิดาไม่วางตา วนิดาพูดอะไรไม่ออก

“พ่อใหญ่ เงียบทำไมล่ะลูก ดีใจจนพูดไม่ออกเหรอที่น้องจะกลับมา”

ประจักษ์ยังเงียบ พิสมัยเข้ามาควงแขนประจักษ์แนบแน่น

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา วันที่ 30 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 29 กันยายน 2553
“ขอให้คลอดปลอดภัยนะจ๊ะ”

จึเนะโกะกล่าวแล้วหันกายกลับเข้าไปในบ้านหลังใหญ่...โอชินรับเอาผ้าปูพื้นมาถือไว้กล่าวกับสามีว่า

“แม้แต่พี่จึเนะก็ยังเป็นห่วงเป็นใยฉัน ฉันจะต้องคลอดเองให้ได้โดยจะไม่รบกวนผู้อื่นให้เดือดร้อนเลย”

“เว้นแต่ฉันคนเดียวนะโอชิน” ริวโซ่เติม ประโยคของภรรยาพลางยิ้มให้อย่างมั่นใจและหนักแน่น

---@@@---

ถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ถึงกาลกำหนดคลอดของโอชิน นาทีแห่งการคลอดชีวิตใหม่อาจจะเกิดขึ้นได้ไม่วันนี้ก็วันพรุ่งนี้ แต่โอชินมิได้คำนึงยังคงช่วยสามีเก็บเกี่ยวข้าวสาลีอยู่ในนา...อันว่าเรานี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากเป็นลูกสาวของแม่ที่เป็นชาวนาผู้ยากจน แม่ซึ่งเคยคลอดในกลางนามาแล้ว...ทำไมเราจะเป็นเช่นนั้นไม่ได้...โอชินคะนึงไปในระหว่างทำงาน

ผืนนามีน้ำเจิ่งนองด้วยฝนตกชุก แต่ข้าวสาลีก็งอกงามเก็บเกี่ยวไปแทบจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยด้วยความปราโมทย์ในผลผลิตที่แรงแห่งสองมือกระทำมันขึ้นมา...เขากับเธอช่วยกันเกี่ยวตลอดทั้งวัน โอชินก้มหลังตัดต้นข้าวด้วยเคียวด้ามสั้น ก้มหลังได้อย่างลำบากเพราะท้องอันใหญ่โต การทำงานจึงล้าหลังริวโซ่ ชั่วระยะไม่นานนักเขาก็รุดหน้าไปกว่าเธอทิ้งเธอไว้ข้างหลัง แต่ริวโซ่ก็มิได้ลืมว่าโอชินตก อยู่ในสภาวะใดแล้ว บ่อยครั้งเขาจะเหลียวกลับมาดูเมียข้างหลัง...บางครั้งเคียวหลุดจากมือ หลังจากอัตราความรวดเร็วของการเกี่ยวข้าวนั้นช้าลง ๆ

ริวโซ่จะพลอยหยุดระงับการทำงานของเขาไปด้วย ยืนมองด้วยความห่วงใย จนกระทั่ง โอชินก้มไปจับเคียวขึ้นมาใหม่แล้วเกี่ยวเก็บสืบไปโดยมิได้ปริปากเขาจึงถอนใจพลอยโล่งอก... งานของเขาวันนั้น เสร็จเกือบค่ำมืด เมื่อมาถึงบ้านที่อยู่นอกเขตบ้านหลังใหญ่ ตะวันก็ตกดินแล้ว ทิ้งรัศมีมีแผดจ้าสุดท้ายก่อนความมืดจะเข้ามาแทนที่...เขาพากันล้างแข้งขาอยู่ที่บริเวณหน้าบ้านเหมือนเคย ริวโซ่กล่าวกับภรรยา

“วันนี้รู้สึกเจ็บท้องหรือไง”

“พอทนได้ค่ะ...ท้องคราวนี้รู้สึกเด็กไม่ค่อยดิ้นเลย ผิดกับยิ่ว...ตอนนั้นถีบแม่ยังกะอะไรดี...”

“คงจะเป็นผู้หญิงสมใจฉันแน่เลย”

ระหว่างนั้นมีเสียงฝีเท้าอันร้อนรนของใครคนหนึ่งดังออกมาจากในบ้าน คนทั้งสองเงยหน้าขึ้นพบจึเนะโกะหน้าตาตื่น ในมือถือคบไฟที่ยังไม่ได้จุด

“อาจึโกะเจ็บท้องนานแล้ว อยากให้ช่วยไปรับหมอตำแยที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน มันมืดแล้ว หมอมาไม่ถูก...ถ้ามีคนไปรอรับก็จะสะดวกขึ้น เป็นหมอตำแยที่มาจากในเมือง ถ้าเป็นคนบ้านเดียวกันนี้ก็คงไม่ต้องรบกวน...ช่วยหน่อยนะ”

ริวโซ่รับคบไฟมาพร้อมด้วยชนวนจุดไฟ เร่งฝีเท้าออกจากบ้านทาโนะคุระไปทันที จึเนะโกะว่าอาจึโกะคงจะคลอดก่อนโอชิน โอชินเสนอตัวจะช่วยเหลือแต่จึเนะโกะว่าไม่ต้องเพราะรู้ว่าโอชินเหนื่อยมามากแล้ว พร้อมกับบอกว่าทำกับข้าวไว้ให้โอชินแล้วด้วยเพราะกลัวว่าจะยุ่งเรื่องอาจึโกะคลอดลูกจนไม่มีเวลาหาให้

เมื่อจึเนะโกะกลับเข้าบ้านหลังใหญ่ไปแล้ว โอชินก็เข้าไปที่บ้านพักของตนเองหาไม้ขีดมาจุดตะเกียง แต่แล้วโอชินก็เกิดอาการเจ็บท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน ความเจ็บร้าวนั้นเตือนสติให้โอชินระลึกว่านาทีสำคัญกำลังจะมาถึง...เอามือกุมหน้าท้องพลางกล่าวเสียงสั่นเครือกับตัวเอง เบา ๆ

“ยังนะ...ยังหรอก...เจ็บแค่นี้ยังไม่คลอดหรอก...”

โอชินเอามือควานไปจนถึงกระดาษน้ำมันที่พับเรียบร้อย นำมันออกมาคลี่ปูไปบนพื้น จากนั้นค่อยไปหยิบผ้าอ้อมที่มารดาจากยามางาตะ ส่งมาให้ เอาขึ้นมาแนบแก้มด้วยความคิดถึงแม่อย่างชนิดที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน

“แม่จ๋า...ถ้ามีแม่อยู่ใกล้ ๆ...”

เสียงขาดหายเพราะความเจ็บทวีความรุนแรงมากขึ้น...โอชินรู้สึกใจหายวาบเมื่อคิดไป ว่าขณะนี้เสมือนตนอยู่ตามลำพังผู้เดียว ด้วย ริวโซ่เพิ่งจะออกไปรอรับหมอตำแยให้อาจึโกะ ความวุ่นวายและกังวลใหญ่หลวงในบ้านหลังใหญ่มีมาโดยตลอด จนกระทั่งเวลาผ่านไปถึงสองยาม หมอตำแยก็ยังเอาลูกออกจากท้องของอาจึโกะไม่ได้ ริวโซ่อยู่กับพี่ชายใหญ่ข้างเตาไฟด้วยจิตใจกระวนกระวายเพื่อให้น้องสาวคลอดลูกโดยเรียบร้อย...

“นานไม่ใช่เล่นนะ...!”

ริวโซ่รำพึงออกมา พอดีกับมารดาเดินหน้า ซึมออกมาจากห้องข้างใน ทรุดกายลงนั่งเหมือนคนที่สิ้นแรง กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ

“หัวเด็กมันโตมาก...อาจึโกะเป็นลมไปหลายตลบแล้ว...แม่สมเพชจนทนดูไม่ไหว”

ความผิดปกติของแรงคลอด ทำให้อาจึโกะประสบอยู่ยามนั้น...หัวเด็กไม่ยอมเข้าอุ้งเชิง กรานแสดงให้เห็นว่ามีการหดรัดตัวของมดลูกที่ผิดปกติ หากปล่อยทิ้งเนิ่นนานก็จะเกิดอาการขั้นต่อไปคือมดลูกเปลี้ยแรง อันตรายยิ่งกว่านี้คือ ถ้าการผิดสัดส่วนระหว่างหัวเด็กกับเชิงกรานแม่แล้วแทนที่มดลูกจะหดรัดตัวเฉื่อยลง กลับจะหดตัวแรงขึ้นจนทำให้มดลูกแตกได้ ไดโงะโร่เดินเหงื่อเต็มใบหน้าออกมาอีกคนหนึ่ง

“เข้าไปเป็นกำลังใจให้อาจึโกะหน่อยซิ ...โอคิโย่...”

“แย่ถึงเพียงนั้นเทียวหรือครับ”

“แม่นึกแล้วมันผิดที่ไหน นี่เป็นเพราะมาคลอดพร้อมกับโอชินพระเจ้าถึงได้ลงโทษ... ถ้าโอชินมันเชื่อแม่ยอมไปคลอดซะที่อื่น...”

“ยังจะมาพูดเรื่องไร้สาระอยู่อีก”

โอคิโย่ลุกขึ้นยืน สายตาที่มองมายัง ริวโซ่ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “คอยดูนะ ถ้า อาจึโกะหรือลูกมันเป็นอะไรไปล่ะก็ ฉันจะฆ่านัง โอชิน”

“โอคิโย่...”

จึเนะโกะวิ่งถลันออกมาจากในห้องหน้าตาตื่นราวกับถูกไฟไล่มาข้างหลัง ร้องบอกโอคิโย่ เสียงหลง

“คุณแม่...คุณอาจึโกะเรียกหาค่ะ...”

“เห็นลูกได้รับความทรมานแบบนั้น ฉันทนดูไม่ไหว...”

“ไป...เข้าไปดูทำไมจะดูไม่ได้ ในเมื่อเธอส่งเสริมอาจึโกะให้มันเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ ผลมันก็เกิดอย่างที่เห็นนี่แหละ”

“ริวโซ่...เพราะแกทีเดียว แกพานังโอชิน มา อาจึโกะมันจึงต้องทรมานเบบนี้...”

“บ้า...พูดบ้าอีกคำเดียวเป็นต้องเห็นดีกัน”

โอคิโย่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น รีบเข้าไปข้างในห้องตามหลังไปติด ๆ ก็คือจึเนะโกะ ไดโงะโร่หันมาทางริวโซ่

“นี่มันเที่ยงคืนกว่าแล้ว แกไม่ไปดูโอชิน เขาบ้างรึ”

“ยังไม่มีทีท่าเลยครับ คุณพ่อ ถ้าเขามีอะไรเขาก็คงจะมาเรียกเองนั่นแหละ ตอนนี้คุณแม่เป็นห่วงอาจึโกะมาก ขออยู่ดูให้คลอดเสร็จก่อนก็แล้วกันครับ”

ระหว่างนั้นโอคิโย่ก็วิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องบอกว่าหมอตำแยเอาไม่อยู่แล้วจะต้องไปตามสูติแพทย์ในเมือง ริวโซ่รีบอาสาจะไปตามมาให้ทันที เขาวิ่งฝ่าสายฝนออกไปโดยไม่มีคบไฟส่องสว่างทางอย่างไม่คิดชีวิต

ถึงตอนนี้โอชินก็เจ็บร้าวสุดขีดบนใบหน้ามีเหงื่อโทรมเป็นเหงื่อที่เกิดจากความเจ็บร้าว...โอชินเลื้อยคลานไปตามพื้นห้องด้วยความลำบากยากเย็น...จนกระทั่งมือเอื้อมถึงบานประตูใหญ่...พยายามออกแรงเลื่อนจนสำเร็จ... สายฝนสาดกระเซ็นเข้ามาต้องแสกหน้าพร้อมด้วยพายุที่โหมกระหน่ำ...

โอชินพูดอะไรไม่ออก...ตั้งใจจะเปิดบานประตูส่งเสียงเรียกหาสามีสุดที่รัก...แต่รู้สึกปวดร้าวจนแทบจะทนต่อไปมิได้...ดวงตาพร่าพราวด้วยสายฝน...หอบหนักดุจดังเสียงหอบของสัตว์ป่าที่ได้วิ่งมาเป็นระยะทางไกลแสนไกล โอชินพยายามทรงตัวแนบกับเสาต้นใหญ่หน้าประตู...อ้าปากอย่างยากเย็นแล้วตะโกนสุดเสียง

อ่านละครย่อเรื่อง สงครามชีวิตโอชิน วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา dailynews

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 29 กันยายน 2553

อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 29 กันยายน 2553
น่าสงสัยอย่างนั้นรึ” จีแบก ถาม

“พระนางซุงด๊อกขัดรับสั่งของท่านอ๋องมาหลายครั้ง ไปทำสงครามกับพวกหนี่เจิน โดยไม่สนใจว่าเหมาะสมหรือไม่ จะไม่ทำให้พวกหนี่เจินโกรธได้ยังไงกัน อีกอย่างในอดีตตอนที่ พระอัยยิกายังมีพระชนม์ชีพ พระนาง ซุงด๊อกกับฮวางจู...ยังเคยทำท่าจะกระด้างกระเดื่อง อีกต่างหาก”

“อะไรกัน ตอนนี้วังมองบ๊อกกำลังเป็นเป้าโจมตี ทำไมต้องมาพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวด้วย” จีแบก กล่าว

“เพราะว่าข้าสงสัยว่าพวกเขาอาจจะอาศัยเรื่องนี้ เพื่อจะก่อตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้นมาใหม่ โดยมีจุดประสงค์แอบแฝงยังไงล่ะ”

“ใช่พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง กระหม่อมไม่ สามารถคาดเดาได้เลยว่าพวกหนี่เจิน จะมีความกล้าบุกเข้ามาในวังของพระอัยยิกาได้อย่างไร ไม่น่าเป็นไปได้พ่ะย่ะค่ะ” ซิมอูน กล่าว

“นี่พวกเจ้าพูดเหลวไหลอะไรกันเนี่ยตอนนี้วังมองบ๊อกถูกโจมตีอยู่ พวกเจ้ารู้บ้างรึเปล่า”

“ฝ่าบาท วังมองบ๊อก เป็นสถานที่ที่พระองค์ประสูติ และเติบโตมานะพ่ะย่ะค่ะ ขอพระองค์ทรงใคร่ครวญให้ดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ” กัมชัน ทูล

“แต่ว่าท่านอ๋อง แม้ว่าวังมองบ๊อกจะเป็นสถานที่ประสูติของพระองค์ก็จริง แต่ก่อนที่จะทำเรื่องราวให้กระจ่างนั้น การส่งทหารไปเป็นการไม่เหมาะสมอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ” ชอยรัง ทูล

“มันก็จริง แต่ว่า...ตอนนี้น้องสาวข้าเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ จะให้ข้านั่งเฉยได้ยังไง ข้าจะให้ท่านคังกัมชัน เดินทางไปยังฮวางจู เพื่อไปตรวจสอบเรื่องนี้มาให้ชัดเจน” พระเจ้าซองจง ตรัส

“พ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋อง”

---@@@---

เมื่อพระนางชอนชู มาถึงวังมองบ๊อก ซอลฮวาก็รายงานเรื่องที่เกิดขึ้น มีคนเสียชีวิตทั้งหมด 20 คน มีคนบาดเจ็บอีก 40 กว่าคน อีก 15 คนถูกจับเป็นเชลย และสามารถฆ่าผู้บุกรุกไปได้ 20 คน

“มันจับฮยังบีไป ที่ฮยังบีต้องถูกจับ ก็เพราะว่านางต้องการปกป้องข้า” ฮวางโบซอล กล่าวทูล

“ไม่ต้องเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ ฮยังบีไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา เมื่อก่อนนางเคยลำบากมายิ่งกว่านี้ นางคงไม่เป็นไรพ่ะย่ะค่ะ ไม่เป็นไร” คังโจ กล่าวทูล

“พระมเหสี ท่านคังกัมชันมาเพคะ” แม่นมยูน เข้ามาทูล

เมื่อคังกัมชัน มาถึงก็รายงานพระนางชอนชู ว่าพวกขุนนาง หาว่าพระนางเป็นคนก่อเรื่องขึ้น

“ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ได้ ท่านอ๋องลืมแล้วเหรอ ว่าที่นี่คือที่ประสูติของพระองค์ ตอนนี้คนที่เคยดูแลเค้ามาตั้งแต่เล็กตายไป ยังมาพูดแบบนี้”

“ท่านอ๋องต้องการให้กระหม่อมเดินทางมาเพื่อสืบหาความจริง เมื่อไหร่ที่ราชสำนัก ตรวจสอบเรื่องเสร็จ ก็จะส่งทหารมา เพื่อช่วยในการตามจับคนร้ายพ่ะย่ะค่ะ”

“ไปบอกเค้าว่าข้าไม่ต้องการ”

“พระมเหสี”

“ถ้ามัวรอให้เค้ามาทำการตรวจสอบ คนของเราอาจถูกฆ่าหมดก็ได้ กลับไปบอกท่านอ๋องของท่าน ว่าพวกเราไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเค้า”

“พระมเหสี แต่พวกเราไม่ได้มีกำลังทหารมากขนาดนั้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้บาดเจ็บกันไปหลายคน และอีกหลายคนถูกจับตัวไป แถมถูกขังที่ไหนเราก็ไม่รู้” คังโจ ทูล

“ใช่พ่ะย่ะค่ะ ครูฝึกคังพูดถูก เขตพื้นที่ที่พวกหนี่เจินทำการยึดครองอยู่ มันกว้างเกินกว่าที่จะตามหาได้ง่าย ๆ นะพระมเหสี” กัมชัน ทูล

“ก็เพราะพื้นที่ของพวกหนี่เจิน กว้าง จนหาไม่ได้ง่าย ๆ ทางราชสำนักก็เลยไม่ยอมส่งทหารมาช่วย อีกอย่างถ้าต้องออกไปตาม หาหลายกันหลายอาทิตย์ ถ้ายังรอต่อไปอีกพวกฮยังบีอาจจะตายกันหมดก่อนก็เป็นไปได้ ข้าพูดผิดรึเปล่า”

“เฮ้อ...”

“เอาคำพูดข้าไปบอกกับท่านอ๋อง ว่าถ้าหากตอนนั้นพระองค์ไม่สั่งปลดทหารรักษาการณ์ที่นี่ ก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อีกอย่าง ถ้าหากประเทศเราใช้ไม้แข็งกับพวกหนี่เจินแต่แรก พวกนั้นคงไม่กล้าโจมตีวังมองบ๊อกแบบนี้ ดังนั้น กลับไปทูลกับพระองค์ว่า ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฮวางจู ไปนั่งถกแนวความคิดปรัชญา กับพวกขุนนางกลุ่มชิลลาต่อไปให้พอเถอะ”

“กระหม่อม จะกลับไปพร้อมกับพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ”

“ท่านคัง จะยังไม่กลับราชสำนักเหรอ” คังโจ ถาม

“ข้าอยากกลับไปพร้อมพระมเหสี ถ้าหากท่านคิดจะออกไปตาม หาร่องรอยของพวกหนี่เจินจริงละก็ ท่านก็ต้องมีคนคุ้นเคยกับพวกหนี่เจินอย่างข้า”กัมชัน กล่าว

---@@@---

ซอฮุย เชิญเหล่าขุนนางมาประชุม

“ข้าเชิญทุกคนมาเพื่อจะมาหารือเรื่อง วังมองบ๊อกถูกโจมตีโดยพวกชนเผ่าหนี่เจิน ว่าควรทำไง ข้าเกรงว่าท่านอ๋องอาจจะ...ไม่ค่อยให้ความสำคัญ เพราะมีความขัดแย้งอยู่กับพระนางซุงด๊อกอยู่ เช่นนี้อาจจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมืองก็ได้”

“แต่ว่าท่านอ๋องก็ได้ส่งท่านคังกัมชันไป ทำการตรวจสอบแล้วนี่นา” อินคอง กล่าว

“แต่แค่นี้น่าจะยังไม่พอ พักนี้ พวกหนี่เจินได้มารุกรานคนของเราหลายสิบครั้ง และปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแต่ละครั้ง ท่าทีของทางเราก็ไม่กระตือรือร้นซักเท่าไหร่ แล้วเมื่อสามปีก่อน หน้านี้ ก็มีการประกาศกฎหมายที่สั่งให้พวกทหารกลับไปทำไร่ทำนากันเกือบหมด แทบจะเป็นการสลายกำลังกองทัพที่เรามีอยู่เลยนะ” จีแบก กล่าว

“แต่แบบนี้ มันก็ทำให้ประชาชนต่างมีอาหารเพิ่มขึ้น รู้สึกดีใจกันถ้วนหน้านี่” เอินคง กล่าว

“เรื่องนั้นมันก็จริงอยู่ แต่เราไม่มีนโยบาย ที่มารองรับสถานการณ์ฉุกเฉินเลย ถ้าหากวันไหนเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นมา พวกเราก็อาจถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย” คอมอึย กล่าว

“แต่ว่าท่านอ๋อง เป็นคนที่รังเกียจ การใช้กำลังและความรุนแรงอย่างยิ่ง เป้าหมายของพระองค์อยู่ที่การนำมาซึ่งชีวิตที่สงบสุขได้ ดังนั้น ข้าคิดว่าพวกเราอย่ามาหารือกันเรื่องทำสงคราม อีกเลย” ยังยู กล่าว

---@@@---

พระนางซองจง คังโจ และกัมชัน วิเคราะห์ว่าพวกหนี่เจินที่มาคงไม่ใช่พวกโจรหนี่เจินธรรมดา น่าจะเดินทางมาด้วยเส้นทางน้ำ เพราะทางบก ไม่มีทางพากันมาได้เยอะ คังโจ เสนอให้ลองไปดูที่ท่าเรือแพซูก่อน กัมชัน จึงบอกให้ซอลฮวา กลับไปที่ที่ราชสำนักแล้วกราบทูลท่านอ๋องก่อน ส่วนตนจะอยู่ เพื่อจับกุมตัวพวกโจรก่อน

---@@@---

พระมเหสีฮยังบีถูกจับตัวมา ถูกโจรหนี่เจิน สอบสวนว่านางเป็นพระมเหสีของพระราชาคยองจงใช่หรือไม่ ระหว่างนั้นลูกน้องโจร ก็เข้ามาบอกว่า คนที่ถูกจับตัวมาไม่ใช่พระมเหสี หลังจากเอาไปเทียบกับรูปวาดแล้ว พบว่าไม่ใช่...พระมเหสี แต่ว่าเป็นนางกำนัล เรื่องนี้ทำให้หัวหน้าเผ่าไม่พอใจอย่างมาก เพราะทำให้ความพยายามสามปีสูญเปล่า อิลลา เสนอให้ฆ่าพวกนางทิ้งแล้วยกเลิกภารกิจ แต่ชียังไม่เห็นด้วย เพราะเดาว่า พวกนั้นจะต้องมาตามเชลย เหล่านี้ ให้อดทนรอกันอีกหน่อย ถ้าไม่มาค่อยฆ่าเชลยทั้งหมดทิ้ง

---@@@---
อ่านละครย่อเรื่อง ชอนชู หัวใจเพื่อแผ่นดิน วันที่ 29 กันยายน 2553
ที่มา เดลินิวส์