อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 23 มิ.ย. 2555

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 23 มิ.ย. 2555

“เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นแหละ”

น้าแก้วสอดเข้ามาว่า “อ๋อ...คุณประวิทย์ ที่คุณย่าสั่งไม่ให้แก้วส่งข่าวไปบอกตอนคุณปู่เสียใช่ไหมคะ”

“ก็ในเมื่อเขาหนีไปแล้วไม่มีแก่ใจส่งข่าวกลับมา แล้วเราจำเป็นอะไรต้องติดต่อเขา ในเมื่อเขาคิดดีแล้วว่าจะไป ก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันให้มากความ” ดรุณีถามว่าคุณย่าโกรธขนาดนั้นเลยหรือ “ใช่...ตอนนั้นย่าทั้งโกรธทั้งเสียใจ เลยประกาศตัดไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน จนคุณปู่ตายก็ไม่ยอมให้มาเผาผี”

ดรุณีมองคุณย่าตาปริบๆ ไม่กล้าวอแว เพราะไม่ค่อยจะเห็นคุณย่าหน้านิ่งเสียงแข็งอย่างนี้

ooooooo

ส่วนที่บ้านประวิทย์ ลูกๆก็เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวในอดีตของเขากับคุณย่าที่พ่อไม่เคยพูดถึงเลย ประวิทย์ยอมรับกับลูกๆว่า ที่ไม่เคยพูดถึงคุณย่าเพราะตนละอายใจ เล่าให้ลูกๆฟังว่า

“ตอนนั้นพ่อเรียนหนักแถมต้องทำงานในไร่ มันเหนื่อยเกินว่าที่พ่อจะทนไหว พ่อก็เลยหนีมาเรียนอย่างเดียว จนกระทั่งแต่งงานมีลูกแล้วก็ยังไม่กล้ากลับไปกราบขอโทษท่าน เพราะละอายใจในความเลวที่ก่อไว้นี่ล่ะ”

ฟังแล้วอาทิจใจห่อเหี่ยวเชื่อว่าคุณย่าคงไม่ให้อภัยพ่อแน่ บอกว่าพรุ่งนี้ตนไปหางานดีกว่า ประวิทย์ให้ความหวังว่า บางทีจดหมายอาจจะยังไม่ถึง อาทิจแย้งว่าหรืออาจจะถูกขยำทิ้งถังขยะไปแล้วก็ได้

“ไม่หรอก พ่อมั่นใจว่าคุณสมบัติและความจริงใจของลูก จะทำให้คุณย่าเปลี่ยนใจ คุณย่าเป็นคนที่รักผืนแผ่นดินมาก คุณย่าย่อมจะต้องรักคนที่รู้จักและรักที่ทำกินบนผืนแผ่นดินด้วย เชื่อพ่อสิ พ่อรู้จักนิสัยของคุณย่าดี”

ทันใดนั้นเอง ภาณีร้องบอกมาอย่างดีใจว่าไปรษณีย์มา ทุกคนกรูกันไปที่หน้าบ้านด้วยความดีใจ แต่พอรับซองจากบุรุษไปรษณีย์กลายเป็นบิลค่าน้ำ...ทุกคนห่อเหี่ยวไปตามกัน

ooooooo

ที่บ้านคุณย่า...คืนนี้ คุณย่ามานั่งบอกให้ดรุณีเขียนจดหมายตอบประวิทย์ ดรุณีเขียนตามคำบอกของคุณย่าเซ็งๆ

“ถามเจ้าอาทิจดูว่า ถ้าต้องมาทำงานกับย่าโดยไม่มีเงินเดือนเลย เขาจะยังอยากมาอยู่ไหม”

ดรุณีตอบแทนทันทีว่านายนั่นต้องไม่มาแน่ๆ คุณย่าสั่งให้เขียนต่อพลางบอกข้อความว่า...

“แม่จะเลี้ยงเจ้าอาทิจเหมือนที่เลี้ยงลูกทุกคน คือไม่มีเงินเดือนให้ แต่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนของน้องสาวสองคนเป็นการตอบแทนการทำงาน ถ้าเขาเต็มใจและตกลงตามนี้ ก็ส่งตัวเขามา”

ดรุณีอดไม่ได้อีก บอกคุณย่าว่าเสียเวลาเปล่าๆ นายคนนี้อย่างมากก็แก่กว่าตนไม่กี่ปี เขาน่าจะมีแฟนแล้วและคงอยากเก็บเงินไว้แต่งงานสร้างครอบครัว ถ้าคุณย่าไม่มีเงินเดือนให้ รับรองล้านเปอร์เซ็นต์เขาไม่มาแน่

“นั่นไง...ตั้งป้อมอิจฉาเขาซะแล้ว” คุณย่าดักคอ

“โธ่...คุณย่าขา...หนูจะไปอิจฉาเขาทำไม หลานคุณย่ามาอยู่ที่นี่ตั้งกี่สิบคนแล้ว หนูเห็นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันทั้งนั้น อยู่ไม่ทนสักราย รายนี้ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ”

“ก็ในเมื่อย่าให้โอกาสหลานคนอื่นได้ ทำไมหลานคนนี้ย่าจะให้โอกาสบ้างไม่ได้”

“หนูพูดเพราะหนูหวังดีนะคะคุณย่า หนูกลัวว่าคุณย่าจะปวดหัวเหมือนที่แล้วๆมาน่ะค่ะ ขนาดได้เงินเดือนยังอยู่กันไม่ทนเลย นับประสาอะไรกับคนไม่ได้เงินเดือน เลิกเขียนดีกว่าค่ะ เขียนไปก็เมื่อยมือเปล่าๆ หนูว่าเขาไม่มาหรอก”

“นั่นสินะ...ขนาดพ่อเขายังเกี่ยงงานในไร่ในสวนว่ามันหนักมันเหนื่อย แล้วลูกจะทนได้สักแค่ไหน ลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นได้ยังไง” คุณย่าถอนใจอย่างครุ่นคิด

ooooooo

วันนี้อาทิจแต่งตัวจะไปสมัครงาน ก็พอดีบุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่ง จุดประกายความหวังแก่ทุกคนขึ้นมาอีก แต่แล้วก็ห่อเหี่ยวฟีบแฟบไปตามกัน เมื่อเป็นบิลเก็บค่าไฟ แต่พอบุรุษไปรษณีย์จะกลับก็นึกได้บอกว่ามีอีกฉบับแล้วหยิบส่งให้ประวิทย์ พูนทรัพย์ถามเซ็งๆว่าบิลค่าอะไรอีกล่ะพ่อ

“ไม่ใช่บิลแม่...นี่มัน...มันจดหมายจากคุณย่า...” ประวิทย์ดีใจจนเสียงสั่น สิ้นเสียงเขา ลูกๆก็ประสานเสียงร้องกันให้แซด “เย้ๆๆจดหมายคุณย่า...จดหมายคุณย่า!!” อาทิจใจเต้นตึ้กตั้กอยากรู้ข้อความในจดหมายใจแทบขาด

ทุกคนกรูกันกลับเข้ามาในบ้าน นั่งกันหน้าสลอนจ้องอาทิจตาเป๋ง คอยฟังพี่ชายอ่านจดหมายของคุณย่า

“...ขอให้เข้าใจอย่างนึงว่า เงินของฉันได้มาแสนยากจากแผ่นดินทั้งสิ้น การจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์จึงต้องมีเหตุผล ถ้าเจ้าอาทิจต้องการมาทำงานกับฉัน ก็ขอให้ส่งค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของน้องสาวทั้งสองคนมาด้วย เพราะจากนี้ไป เจ้าอาทิจจะต้องทำงานเพื่อแลกกับการศึกษาของน้อง ถ้าเข้าใจและรับได้ตามนี้ก็เดินทางมาทำงานที่นี่ได้เลย บอกเขาว่าย่าของเขาจะคอยเขาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน หวังว่าแกและเมีย รวมทั้งลูกๆทุกคนคงสบายดี...แม่”

อ่านจดหมายจบ อาทิจมองหน้าพ่อด้วยสีหน้ากังวล บอกว่าสำนวนคุณย่าแข็งปั๋งอย่างกับก้อนหินเลย สงสัยท่านจะดุไม่ใช่เล่น

“ดุแต่ไม่พร่ำเพรื่อ ท่านเป็นผู้หญิงเข้มแข็งมากกว่า การทำงานในไร่ในสวนมันต้องอดทน ถ้ากระดูกไม่แข็งไม่แน่จริงละก็...คุมคนงานผู้ชายเป็นร้อยไม่ได้หรอก”

“ลูกก็ตั้งยี่สิบคนนะคะ เลี้ยงลูกไป ทำงานไปได้ขนาดนี้ ฉันล่ะนับถือจริงๆ” พูนทรัพย์เอ่ยอย่างยกย่องชื่นชม

น้องชายอาทิจเป็นห่วงถามว่าพี่ชายจะโดนไม้เรียวฟาดเอ๊า...ฟาดเอาหรือเปล่าเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกใจคุณย่า ประวิทย์บอกว่าอาจจะโดนหนักกว่านั้นก็ได้ ถามอาทิจว่าได้ยินอย่างนี้แล้วจะสู้หรือจะถอย

อาทิจทำหน้าขรึมบอกว่าก็คงต้องถอย ทำทุกคนห่อเหี่ยวไปหมด แต่ไม่ถึงอึดใจเขาก็โพล่งออกมาว่า

“ยอมถอยมายืนให้เต็มสองเท้าแล้วใส่เกียร์เดินหน้าแบบสู้ไม่ถอย ผมจะสู้เพื่อพวกเราทุกคนครับ”

ประวิทย์ยิ้มเต็มหน้า พูนทรัพย์ชื่นอกชื่นใจจนนํ้าตาคลอ นิตยากับภาณีกระโดดกอดกันกลม ส่วนน้องๆคนอื่นๆพากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจกันทุกคน ประวิทย์เสนอว่า แบบนี้ต้องเลี้ยงส่งกันหน่อย บอกลูกๆให้ไปเก็บไข่มาต้มพะโล้ ส่วนพูนทรัพย์ก็จะผัดผักและตำนํ้าพริกให้

อาทิจเอาจดหมายคุณย่ามาแนบอก พึมพำอย่างมีความสุข “คุณย่าของอาทิจ...” เขายิ้มอย่างปลื้มปีติ อยากตะโกนบอกคุณย่าตั้งแต่ที่นี่ว่า นี่คือโอกาสและความหวังที่คุณย่าหยิบยื่นให้ตนกับน้องๆทุกคน...

ooooooo

บ่ายของอีกวัน อาทิจก็ออกเดินทางโดยรถสาย “กรุงเทพฯ–เชียงใหม่–ฝาง” แต่พอไปถึงเชียงใหม่ ต้องหารถต่อไปฝาง เขาเดินไปถามเจ้าของรถ แต่ไม่รู้จะบอกปลายทางอย่างไร เลยบอกไปว่าต้องการไปสวนคุณย่า

แล้วเขาก็แปลกใจที่เจ้าของรถจูงมือไปที่รถ บอกว่ารถตนผ่านสวนคุณย่าพอดีเลย เขาถามว่ารู้จักคุณย่าด้วยหรือ สวนคุณย่า...ชื่ออะไร...อาทิจบอกไม่ถูก แต่เจ้าของรถบอกว่าแค่นี้ก็รู้แล้ว บอกว่าสวนคุณย่าทุกคนรู้หมด บอกอาทิจให้ไปรอที่รถ ตนไปหาผู้โดยสารอีกสักสองสามคนแล้วออกได้เลย

อาทิจจะข้ามถนนไปที่รถ พอถึงกลางถนนเขาช็อกยืนขาแข็งเพราะรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวโค้งมาอย่างแรงและพุ่งเข้าหาเขาราวกับพายุ ซํ้าไม่มีทีท่าจะเบรกด้วย

เสียงอึ่งกับพันคนร้องให้เบรก...เบรก แต่ไม่เป็นผลรถหักเล่ียงวืดไปอีกทาง กระนั้นก็ยังเฉี่ยวจนอาทิจล้มลง

พอรถจอด ดรุณีก็เปิดประตูรถลงมา ตามด้วยน้าแก้วที่รีบไปดูอาทิจที่ค่อยๆลุกขึ้น ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างจะไปโรงพยาบาลไหม ดรุณีเดินเข้ามาช้าๆด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด เธอยืนดูอาทิจที่พยายามลุกขึ้นอยู่ข้างหลังเขา พอเขาลุกขึ้นมาได้ก็เสียหลักโงนเงนล้มไปข้างหลัง

เจ้ากรรม! เขาล้มทับดรุณีเข้าเต็มๆ จมูกโด่งๆไปชนเอาแก้มเรื่อแดงๆของเธอเข้าอย่างจัง ทั้งคู่จ้องหน้ากันวินาทีเดียวต่างก็ตาเบิกโพลงเมื่อจำกันได้ ดรุณีผละออกจากอาทิจ น้าแก้วบอกให้ขอโทษเขาเสีย ดรุณีเปิดฉากด่าเปิง...

“เรื่องอะไรหนูจะขอโทษ นายนี่ซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนข้ามถนนนี่ก็คงไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนเคย แล้วไอ้เรื่องชอบลวนลามลามกนี่ก็เหมือนกัน โดนรถชนขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแต๊ะอั๋งผู้หญิงอีก”

อาทิจโต้ว่าเธอนั่นแหละไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าตนไม่กระโดดหลบมีหวังโดนชนเต็มๆ อึ่งกับพันเห็นด้วย อาทิจใส่ต่ออีกว่า ตนจะรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ข้างหลัง ถ้าคิดจะลวนลาม ตนล้มทับซึ่งหน้าเลยไม่ดีกว่าหรือ อึ่งกับพัน พูดพร้อมกันว่า “มีเหตุผล” อาทิจลุยต่ออีกว่าขับรถชนตนแทนที่จะขอโทษ กลับมาโยนความผิดให้ตนอีก ทำอย่างนี้ถูกหรือ คราวนี้ทั้งน้าแก้ว อึ่ง และพัน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นั่นสิ คุณณี...”

พอดีเจ้าของรถคนนั้นพาผู้โดยสารมาคนหนึ่งเห็นดรุณีกับน้าแก้วก็ร้องทักอย่างคุ้นเคยมาก แล้วหันบอกอาทิจว่า

“แหมโชคดีจังน้อง คุณณีเอารถที่สวนคุณย่ามาพอดี เดี๋ยวน้องอาศัยไปกับคุณณีก็แล้วกันนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ” แล้วหันบอกดรุณี “ฝากน้องเขาไปด้วยนะครับคุณณี เขาจะเข้าไปที่สวนคุณย่าน่ะครับ” เขาบอกอาทิจว่าคนที่สวนคุณย่าใจดีทุกคนแหละ เขายกมือไหว้น้าแก้วกับดรุณี แล้วพาผู้โดยสารที่เพิ่งไปสอยมาได้ไปที่รถ

อาทิจมองหน้าดรุณีที่ยังทะเลาะกันไม่เสร็จ แต่กลายเป็นเขาต้องอาศัยรถไปด้วย เธอตวัดหางตาแล้วเชิดใส่อย่างไม่แยแส

ooooooo
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2
ดรุณีขยับรถเข้าที่จอด ปลดกุญแจรถ คว้ากระเป๋าสะพายและรายการของที่จะซื้อ ปิดประตูรถแล้วหันถามอาทิจที่เดินรวมกลุ่มมากับน้าแก้ว อึ่ง กับพัน ว่าจะไปหาใครที่สวนคุณย่า
“หาคุณย่า” ชายหนุ่มตอบกวน ถูกถามกวนยิ่งกว่าว่ามีธุระอะไร “ธุระส่วนตัว”

ทำท่ากร่างแต่ข่มอาทิจไม่ลง ดรุณีเลยหันไปลงกับอึ่ง พัน และน้าแก้ว ถามเสียงเข้มว่าจะมายืนอยู่ทำไม ให้เอารถเข็นลงมา แล้วถามหารายการของที่จะซื้อกับน้าแก้วว่าเอาไว้ที่ไหน น้าแก้วบอกว่าก็อยู่ในมือคุณณีนั่นแหละ ทำเอาดรุณีหน้าแตกแต่ทำไก๋กลบเกลื่อนไล่ทุกคนให้รีบไปซื้อของตามรายการเร็วๆ เดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน

“ผมรอที่นี่นะ” อาทิจเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินของเธอ “คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร แค่ไถ่โทษด้วยการให้ผมอาศัยรถไปด้วยก็พอแล้ว”

ดรุณีพูดอย่างไม่แยแสว่าจะรอที่ไหนก็เรื่องของนาย พูดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์บอกให้ไปรอฝั่งโน้นดีกว่า แดดไม่ร้อน น้าแก้วมีแก่ใจบอกว่าเดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วจะไปตาม ดรุณีเร่งทุกคนไปกันได้แล้ว อึ่งกับพันจึงหิ้วตะกร้า เข็นรถตามไป

อาทิจเห็นดรุณีทำกุญแจรถตก เขาหยิบขึ้นมาจะเรียกดรุณี แต่พอเงยหน้าขึ้นทุกคนก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว เขาจึงเดินไปฝั่งตรงข้าม เข้าไปในร้านอาหาร เจ้าของร้านมาแจ้งรายการอาหารยาวเหยียด เสร็จแล้วถามว่าจะรับอะไรดีครับ

“น้ำแข็งเปล่าแก้วนึงครับพี่ พอดีคุณแม่ผมทำกับข้าวมาให้แล้ว” เจ้าของร้านทำหน้าเซ็ง อาทิจไม่ได้สังเกต เขาจัดแจงเอาห่อใบตองออกมาสองห่อ ห่อหนึ่งเป็นข้าวเหนียวนึ่งอีกห่อเป็นเนื้อย่างแดดเดียว

ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันยังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดรุณีชะเง้อมองอาทิจแล้วสั่งทุกคนแยกย้ายไปซื้อของ น้าแก้วบอกว่าดีไปเร็วกลับเร็ว คุณคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนาน

“เร็วแต่ไม่ต้องรอค่ะ หนูไม่ได้รับปากเขานี่คะว่าจะให้เขาไปด้วย” พูดพลางเขม้นมองไปที่อาทิจ “เล่นสั่งข้าวมากินซะขนาดนั้นคงอีกนานกว่าจะกินเสร็จ ถ้าเรากลับแล้วมาไม่ทัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเรา จริงไหมคะ แล้วเจอกันที่รถเลยนะคะน้าแก้ว” พูดแล้วเดินไปเลย น้าแก้วมองตามหลังส่ายหน้าอย่างรู้ทัน แล้วเดินไปอีกทาง

อาทิจไม่ทันกินข้าว ก็มีหญิงจรจัดคนหนึ่งอุ้มลูกเข้ามาขอข้าวเจ้าของร้านกิน ถูกเจ้าของร้านไล่บอกว่าติดหนี้ข้าวเป็นร้อยแล้วยังมีหน้ามาขออีก อาทิจเห็นดังนั้นจึงเรียกหญิงจรจัดมากินกับตน เจ้าของร้านไม่ยอมให้นั่งเพราะไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้าน อาทิจเลยให้สั่งน้ำแข็งเปล่าแก้วหนึ่ง แล้วเลื่อนข้าวกับเนื้อย่างแดดเดียวของตนให้หญิงคนนั้นกับลูกกิน

สองแม่ลูกกินอย่างหิวโหย อาทิจมองอย่างเวทนาจนตัวเองลืมความหิวไปเลย

ooooooo

ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันซื้อของเสร็จกลับมาแล้ว เธอเร่งทุกคนให้ไปกันได้เลย น้าแก้วท้วงติงว่ามันจะดีหรือ เดี๋ยวใครๆจะนินทาเอาได้ว่าคนที่สวนคุณย่าไม่มีน้ำใจ อึ่งกับพันเห็นด้วย ดรุณีโต้ว่าน้ำใจมีไว้ตอบแทนคนที่มีน้ำใจให้เราเท่านั้น

อาทิจได้ยินพอดีถามว่า แล้วการเก็บกุญแจรถที่คนทำตกไว้แล้วไม่ขโมยรถ แต่นำกุญแจมาคืนเจ้าของ อย่างนี้เรียกว่ามีน้ำใจไหม ดรุณีฉุกคิดได้ตบกระเป๋าหากุญแจรถจึงรู้ว่าหายไป
อาทิจยื่นกุญแจรถไปตรงหน้า เธอกระชากไป อาทิจถามว่า ในเมื่อตนมีน้ำใจเธอก็คงไม่กลืนน้ำลายตัวเอง จริงไหม พูดแล้วกระโดดขึ้นท้ายรถกระบะเลย ดรุณีสะบัดไปที่นั่งคนขับกระชากรถออกไป จนคนที่นั่งอยู่กระบะเทหัวทิ่มไปข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลังหัวทิ่มหัวตำ ไปตามกัน

ระหว่างทางกลับไปสวนส้ม อาทิจมองสองข้างทางอย่างศึกษาหาข้อมูล ส่วนอึ่งกับพันนั่งมองอาทิจนึกในใจว่าหมอนี่เป็นใครนะ ทำไมหล่อลากดินขนาดนี้ อาทิจหันมาเจอสายตาของทั้งสองก็ฉีกยิ้มให้แล้วมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ

ส่วนที่หน้ารถ หลังจากน้าแก้วรู้ว่าอาทิจคือชายหนุ่มคนที่มากอดไหล่ดรุณีที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงเมื่อ

วันก่อน ก็หัวเราะชอบใจว่านี่ต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ ถึงได้เจอกันแล้วเจอกันอีก สงสัยว่าหนุ่มนี่คงจะไปสมัครงานกับคุณย่า เหลียวมองข้างหลังแล้วพูดขำๆ ว่าพวกสาวๆที่ไร่คงไม่เป็นอันทำงานกันแน่ ขนาดอึ่งกับพันยังมองกันไม่วางตาเลย

“เดี๋ยวเถอะ...จะทำให้หายหล่อทั้งคนจ้องทั้งคนถูกจ้องเลย” ดรุณีพูดอย่างมันเขี้ยวแล้วกระชากรถวืดดดดเดียว คนข้างหลังก็ถูกเหวี่ยงไปกองกันข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลัง ร้องกันลั่นไปหมด

ดรุณียังตั้งหน้าตั้งตาแกล้งคนข้างหลังทั้งที่ตัวเองเพิ่งขับรถเป็นแท้ๆ จนเกือบประสานงากับรถที่สวนมา ดีที่หักหลบได้หวุดหวิด คราวนี้อาทิจทนไม่ได้แล้ว เขาลงไปนั่งเบียดดรุณีออกไป ขอเป็นคนขับรถเอง ดรุณียังทำอวดดีไม่ยอมให้ขับ

“ขับรถประสาอะไร จะพาทุกคนไปตายกันหมดแล้วรู้ตัวรึเปล่า” อาทิจเสียงดัง ดรุณีถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา “เกี่ยวสิ ในเมื่อผมนั่งรถมากับคุณ”

ดรุณีบอกว่าไม่พอใจก็โบกรถคันอื่นไปเอง อาทิจไม่ยอมเพราะตนต้องไปพบคุณย่าวันนี้ให้ได้ และต้องไปรถคันนี้ด้วยแล้วนั่งเบียด ดรุณีตวาดว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาขับรถคุณย่า อาทิจถามว่าทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อตนก็เป็นหลานคุณย่าเหมือนกัน และก็ขับรถเป็นกว่าเธอหลายเท่า

ทุกคนเลยพากันอึ้งเมื่อรู้ว่าอาทิจเป็นหลานคุณย่า เขาจึงเปิดเผยตัวเองว่าชื่ออาทิจเท่านั้นเอง ดรุณีถึงกับตะลึงว่าที่แท้ก็นายคนนี้นี่เอง!

ooooooo

อาทิจขับรถมาจนถึงสวนส้ม น้าแก้วบอกดรุณีว่าตนจะจัดการกับของที่ซื้อมาเอง ให้เธอพาอาทิจไปพบคุณย่าก็แล้วกัน ดรุณีเดินอ้าวไปเลย จนน้าแก้วต้องพูดออกตัวกับอาทิจว่า เธอคงไม่คิดว่าเขาจะเป็นหลานคุณย่าเลยตั้งตัวไม่ทัน และคงรู้สึกผิดเรื่องขับรถด้วย แก้ต่างให้ว่า เธอเพิ่งขับรถเป็น ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเขาหรอก

“ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาชีวิตรอดมากราบคุณย่าได้เท่านั้น”

ดรุณีตะบึงตะบอนพาอาทิจไปหาคุณย่า พูดเหน็บว่าพอได้รับจดหมายก็รีบแจ้นมาเลย คุณย่ามองอาทิจที่เข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว สัญชาตญาณความเป็นย่าหลานทำให้มองกันด้วยสายตาอบอุ่น ชิดเชื้อ

อาทิจเข้าไปก้มกราบแทบเท้าคุณย่า ดรุณีทำแสบแกล้งยื่นเท้าไปใกล้คุณย่าเลยเหมือนอาทิจกราบตนไปด้วย แต่อาทิจก็ไม่สนใจเมื่อคุณย่าถามว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ มาอย่างไร
อาทิจกับน้าแก้วช่วยกันเล่า คุณย่าเห็นรอยฟกช้ำที่แขนกับศอกของอาทิจถามว่าไปโดนอะไรมา อาทิจไม่อยากมีเรื่องตอบเลี่ยงไปแบบไม่โกหกแต่ก็พูดไม่หมดว่า ตนข้ามถนนแล้วไม่ทันเห็นรถที่แล่นมา กระโดดหลบเลยล้มกระแทกพื้นเอง

คุณย่าบ่นพวกวัยรุ่นที่เพิ่งหัดขับรถแล้วออกมากวนเมือง เตือนเขาต้องระวังตัวให้มาก อาทิจสะใจมากบอกคุณย่าว่า

“ครับ ผมจะระวังพวกวัยรุ่นกวนเมืองพวกนี้ให้มากครับ” พลางปรายตาไปทางดรุณี เธอตีหน้ายักษ์ใส่ ส่วนน้าแก้วรู้แกวแอบขำเบาๆ จากนั้นคุณย่าลำดับญาติให้ฟังว่า

“มาด้วยกันอย่างนี้พ่ออาทิจคงรู้จักกับแม่ณีแล้วสินะ แม่ณีเป็นน้องคนหนึ่งของย่า ก็ต้องมีศักดิ์เป็นย่าของพ่ออาทิจด้วย”

“นายอาทิจต้องเรียกหนูว่า คุณย่า ถูกไหมคะ” ดรุณีดี๊ด๊า พอคุณย่ารับว่าใช่ เธอก็หันไปยืดกับเขาทันที ทำเอาอาทิจกระอักกระอ่วนใจ คุณย่าตัดบทว่าคนไทยเรานิยมนับญาติกันตามอายุ ถามอาทิจว่าอายุเท่าไร พอรู้ว่า 20 เศษ คุณย่าบอกว่าแก่กว่าดรุณี 3 ปีเอง บอกดรุณีว่า ให้เธอเรียกอาทิจว่า “พี่” ก็แล้วกัน ทำเอาดรุณีปรับอารมณ์ไม่ทันหน้างํ้าไปเลย

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 23 มิ.ย. 2555
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 22 มิ.ย. 2555

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 22 มิ.ย. 2555
พลันเธอก็ชะงักกึกยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกอาทิจรั้งไว้แล้วเอามือโอบไหล่บอกว่าอย่าเพิ่งไป ชวนดูภาพที่ฉายต่อ ดรุณีกัดฟันกรอด อาทิจเห็นเงียบไปเลยหันมอง เขาผงะยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ตนโอบไหล่อยู่เป็นใคร เขารีบขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าเพื่อน ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไป ทั้งอายทั้งกลัวโดนด่า

ดรุณีโกรธจนอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่ไม่กล้า เลยได้แต่ยืนสูดลมหายใจลึกๆ ลึกๆ สะกดอารมณ์เต็มที่

ooooooo
ที่สวนส้มเนื้อที่กว้างขวางของย่าแดง ที่ทุกคนเรียกท่านว่าคุณย่า ปกติจะเงียบสงบเพราะแถวนั้นคนงานอยู่ประมาณ 20 คน ทุกคนทำงานขยันขันแข็ง แต่วันนี้มีเสียงแผดกรี๊ดดดด เสียงแหลมแหวกอากาศไปทั่วสวนส้ม

พวกคนงานพากันวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอมาถึงเห็นน้าแก้ววัย 60 เศษ ญาติห่างๆของคุณย่าที่มาดูแลคุณย่า จึงเป็นทั้งญาติและคนคอยรับใช้คุณย่า ยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่ ใกล้ๆนั้นดรุณีที่เพิ่งแผดเสียงกรี๊ดจนคนงานแตกตื่น ยืนทำหน้าง้ำ พวกคนงานพากันโล่งอก

“หนูโมโหจริงๆนะคะ น้าแก้วขำอะไร”

“ก็น้าแก้วกำลังสงสัยน่ะสิคะว่า คุณณีโดนพ่อหนุ่มคนนั้นโอบไหล่เฉยๆ หรือว่าโดนจุ๊บมากันแน่ ถึงได้กรี๊ดลั่นสวนยาว 3 รอบอย่างนี้”

ดรุณีทำฮึดฮัดบอกว่าก็ลองดูสิ ตนจะได้ชกให้ บ่นว่าผู้ชายอะไรซุ่มซ่ามบ้ากาม ถ้าไม่คิดว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเคารพ จะโวยแล้วอัดเสียให้จุกไปเลย

“เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกแม่ณี สถานที่ศึกษาหา ความรู้อย่างนั้น คงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม หรอกน่า” ย่าแดงที่กำลังตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ติง แล้วไล่พวกคนงานให้ไปทำงานเสีย หันมาบอกดรุณีว่า “เราก็เหมือนกัน จะมายืนอารมณ์เสียอยู่ทำไม มาช่วยย่าแต่งกิ่งส้มนี่ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง ได้ประโยชน์ด้วย”

ดรุณีจำต้องหันไปหยิบกรรไกรตัดแต่งกิ่งส้ม งับกรรไกรฉับๆๆ บ่นลอดไรฟัน

“อย่างนี้มันโรคจิตชัดๆ เป็นพวกขาดความรักแหงๆ”

ooooooo

ที่บ้านพักนายประวิทย์ ปลัดอำเภอ พ่อของอาทิจ ชายหนุ่มก้าวเข้ามา เห็นนิตยาและภาณี น้องสาวสองคนกำลังพาน้องๆรดน้ำต้นไม้และพรวนดินที่แปลงพืชผักสวนครัวอยู่หน้าบ้าน นิตยาเหลือบเห็นอาทิจก็ร้องออกมาอย่างดีใจสุดๆ

“พี่อาทิจ!!”

สิ้นเสียงนิตยา น้องๆก็วิ่งกรูกันมาห้อมล้อมอาทิจเป็นพรวน เพราะเขาเป็นพี่คนโตและมีน้องๆอีกถึง 9 คน ภาณีวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ว่าอาทิจกลับมาแล้ว ส่วนอาทิจ ยังถูกน้องๆมะรุมมะตุ้มจับแขนกอดขา ดึงเสื้ออยู่ที่หน้าบ้าน

อาทิจกอดและโอบน้องๆไว้บอกว่า “พี่คิดถึงทุกคนที่สุดเลยรู้ไหม”

ประวิทย์และพูนทรัพย์ผู้เป็นแม่เดินอ้าวออกมาโดยพูนทรัพย์อุ้มลูกวัย 8 เดือน น้องคนเล็กของอาทิจ ออกมาด้วย ทุกคนดีใจมากกับการเรียนจบและกลับมาของเขา บรรยากาศอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรักของคนในครอบครัว

อาทิจบอกพ่อว่าที่จริงตนอยากเรียกต่ออีกสักสองปีจะได้รับปริญญา แต่สงสารนิตยากับภาณีที่เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้ตนได้เรียน เลยเปลี่ยนใจมาหางานทำเพื่อส่งน้องๆเรียนดีกว่า

พูนทรัพย์ถามว่าเขาอยากทำอะไร อาทิจบอกว่าอยากเป็นชาวไร่ชาวนาเป็นเกษตรกร พูนทรัพย์ติงว่าทุนรอนเราไม่มี ที่ดินสักกระแบะมือก็ไม่มี จะทำได้อย่างไร ประวิทย์ตัดบทว่า ตำแหน่งเกษตรอำเภอที่นี่ว่างอยู่ พรุ่งนี้จะลองคุยกับนายอำเภอดู ตนปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตมานาน ท่านต้องเห็นใจและเมตตาแน่ๆ

การพูดคุยยุติลงทั้งที่อาทิจไม่อยากทำงานที่พ่อจะขอให้เลย

ooooooo

รุ่งขึ้น ขณะประวิทย์จะออกไปทำงาน พูนทรัพย์ จึงบอกให้อาทิจลองคุยกับพ่อดู เขาบอกพ่อว่าอาชีพรับราชการเงินเดือนคงไม่พอที่จะส่งน้องเรียน แต่ประวิทย์ชี้ให้เห็นว่าถึงเงินเดือนจะน้อยแต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และสวัสดิการ

เมื่ออาทิจชี้แจงเหตุผลและความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อประเทศชาติ ทำให้เขาอยากเป็นเกษตรกรให้พ่อฟังแล้ว ประวิทย์ตัดบทว่า

“อย่าเพิ่งฝันล้มๆแล้งๆกับอุดมคติที่ยังจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ลูกเรียนมามันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความยากลำบากที่ต้องเผชิญในความเป็นจริง ลูกยังไม่เคยเจอสภาพ ไม่เคยรับรู้ว่าการเกิดมาเป็นชาวนาจริงๆมันทุกข์ยากขนาดไหน...พ่อบอกได้เลยว่า มันไม่น่าพิสมัยนักหรอก” น้ำเสียงประวิทย์ขมขื่นจนอาทิจแปลกใจ

แต่เมื่อประวิทย์ไปคุยกับนายอำเภอด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะฝากลูกชายเข้าเป็นเกษตรอำเภอ ซึ่งนายอำเภอก็ยินดีที่เด็กรุ่นใหม่สนใจการเกษตร แต่พอประวิทย์ถามว่าจะเริ่มงานได้วันไหนดี นายอำเภอบอกว่าเริ่มได้ทันทีถ้าหาเงิน 3 แสนมาได้ ทั้งยังขู่ๆว่ารีบๆหน่อยก็แล้วกันเพราะคนที่มาฝากลูกหลานมีหลายคน

ประวิทย์ที่หน้าตาแจ่มใสเปี่ยมด้วยความหวังในตอนแรก บัดนี้ ห่อเหี่ยวหมองคล้ำไปในพริบตา...

ความรู้สึกเสียใจผิดหวังกับข้าราชการบางคนที่กินนอกกินในกินใต้โต๊ะ ทำให้ประวิทย์ไม่คาดหวังงานราชการกับอาทิจอีก บอกลูกว่า

“พ่อว่าบางทีลูกอาจจะคิดถูก เรื่องที่ลูกอยากทำไร่ทำนา บางทีความเหนื่อยยากแต่เป็นอิสรเสรีอาจจะทำให้ลูกมีความสุขมากกว่าต้องมาทนกับระบบพวกพ้องและการประจบเอาหน้าแบบข้าราชการก็ได้”

อาทิจดีใจมาก เขาบอกพ่อว่าจะไปทำงานอย่างอื่นก่อนเก็บเงินมาซื้อที่สักแปลงค่อยผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร

พูนทรัพย์ถามว่าจะไปเช่าที่เขาทำหรือ หาได้เท่าไรก็ไปจมอยู่กับค่าเช่าหมด

“มันอาจจะไม่ยากเย็นขนาดนั้นก็ได้แม่ พ่อพอมีหนทาง ว่าแต่...ลูกจะทนลำบากกับงานในไร่ในสวนได้แน่เหรอ” เมื่ออาทิจยืนยันถึงความอดทนใน 5 ปีที่เรียนมา ประวิทย์ตัดสินใจบอกลูกว่า “ดี...ถ้าลูกตั้งใจและมั่นใจอย่างนั้น พ่อก็จะเขียนจดหมายส่งตัวลูกไปทำไร่ทำสวนกับคุณย่า”

“คุณย่า...คุณย่าไหนครับ” อาทิจถามงงๆ เพราะนับแต่เกิดมาจนอายุ 20 เขายังไม่เคยรับรู้ว่าตนมีคุณย่าเลย

พวกน้องๆก็พากันงงไม่น้อยกว่าเขา ส่วนพูนทรัพย์ ละมือจากทำขนม มองหน้าประวิทย์อย่างแปลกใจแกมหนักใจ

ประวิทย์นิ่ง...เงียบ...แต่ในแววตาเขาแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดและขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด

ooooooo

ที่บ้านคุณย่า คืนนี้คุณย่าออกมานั่งดื่มนมอุ่นๆที่ระเบียง ดรุณีมานั่งดื่มเป็นเพื่อน คุณย่าถามว่าคิดหรือยังว่าจะทำอะไร ดรุณีบอกว่าทีแรกคิดจะสอบเข้าคณะเกษตรจะได้มาช่วยคุณย่าดูแลสวน แต่วันก่อนไปดูงานที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงแล้วเลยลังเล อยากทำอาหารกระป๋องแปรรูป จะได้เอาผักผลไม้ที่เหลือจากคัดไปขายมาแปรรูป ถามคุณย่าว่าดีไหม

คุณย่าเห็นด้วยเพราะงานสวนงานไร่หนักเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ ดรุณีอ้อนว่าทีคุณย่ายังทำคนเดียวมาได้ตั้งนาน

“ย่าทำมาตั้งแต่ยังสาว ตั้งแต่ที่ดินมีแค่กระผีก มันก็เลยชิน แต่ตอนนี้ที่ดินขยายขึ้นเป็นพันไร่ ย่าว่ามันหนักหนาเกินไปสำหรับหนู”

“ถึงจะหนักแสนหนักแค่ไหน หนูก็จะสู้ค่ะ ถ้าไม่มีใครที่คุณย่าพอจะไว้ใจและวางมือให้รับหน้าที่แทนได้ หนูจะขอรับหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณย่าเองค่ะ” ดรุณีฉอเลาะ จนน้าแก้วที่มาเก็บแก้วนมได้ยินก็อดขัดคอไม่ได้ว่า

“แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะค้า...”

“มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะน้าแก้ว” ตอบน้าแก้วแล้วกอดแขนคุณย่าอ้อน จนคุณย่ากอดไว้อย่างชื่นใจ

ooooooo

สามวันต่อมา คุณย่าก็ได้รับจดหมายจากประ-วิทย์ คุณย่าให้ดรุณีอ่านให้ฟัง โดยมีน้าแก้วที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง นั่งเช็ดแก้วอยู่ใกล้ๆ เงี่ยหูฟังอยู่ด้วย

“...สุดท้ายนี้ ผมกราบขอโทษในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่า คุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ...พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟังข่าวดีจากคุณแม่ครับ...ประวิทย์”

อ่านจดหมายแล้วดรุณีถามคุณย่าว่าประวิทย์ไหนหรือ ทำไมตนไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึง...เอ่อ...คุณลุงคนนี้มาก่อนเลย

“เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นแหละ”

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 22 มิ.ย. 2555
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 21 มิ.ย. 2555

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 21 มิ.ย. 2555
ณ แปลงทดลองปลูกข้าวโพดขนาดใหญ่ที่ปากช่อง...อาทิตย์สาดแสงอ่อนๆ ไล้ยอดข้าวโพดที่พลิ้วไหวไปตามแรงลมเหมือนคลื่นน้อยๆ โลดไล่กันไปในทะเลสีเขียว

นักเรียนเกษตรประมาณ 20 คน กำลังกระจายกันไปตามไร่ข้าวโพดที่กำลังออกฝัก ทุกคนขะมักเขม้นกับการเก็บข้อมูล จดรายงานการเจริญเติบโตของต้นข้าวโพด ต่างยังจดจำคำให้โอวาทของอธิการบดีในวันรับประกาศนียบัตรได้ขึ้นใจ

“อาจารย์มีความยินดีกับนักเรียนเกษตรฯทุกคนที่จบการศึกษาในวันนี้ หลังจากที่บากบั่นพากเพียรกันมากว่า 5 ปี อาจารย์หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นักเรียนทุกคน จะได้นำวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาไปพัฒนาท้องถิ่นของตนเอง และน้อมนำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า...”

อาจารย์หยุดนิดหนึ่งก่อนอัญเชิญพระราชดำรัสว่า

“ปัญญานั้นมีอยู่ 2 ลักษณะ คือปัญญาที่เกิดจากการเล่าเรียนจดจำอย่างหนึ่ง กับปัญญาที่เกิดจากการศึกษา สังเกตและพิจารณาจนรู้ชัดอย่างหนึ่ง นักเรียนเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาอบรมมาดีแล้ว จึงต้องสังเกตและศึกษาให้มาก ไม่มองข้ามแม้สิ่งเล็กน้อย เพราะแม้แต่ต้นหญ้าก็สามารถนำมาเทียบเคียงให้เป็นประโยชน์แก่การดำเนินชีวิตได้”

สุดท้ายอาจารย์อวยพรแก่นักเรียนที่เรียนจบว่า “ขอให้นักเรียนทุกคนประสบความสำเร็จในชีวิต และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรให้แก่ประเทศชาติสืบไป”

ระหว่างนักเรียนกำลังเก็บข้อมูลกันนั้น อาจารย์เดินมาที่ข้างหลังนักเรียนคนหนึ่งถามหาอาทิจ นักเรียนสองสามคนตรงนั้นช่วยกันถามหา มองหาและร้องเรียก “อาทิจ...อาทิจ...อาจารย์เรียก”

ครู่เดียวต้นข้าวโพดก็ไหวยวบเปิดเป็นทางเพราะอาทิจแหวกออกมา เขารีบวิ่งเข้าไปหาอาจารย์ถามอย่างกระตือรือร้น

“อาจารย์มีอะไรจะใช้ผมหรือครับ”

“พรุ่งนี้อาจารย์จะขึ้นไปสัมมนาที่พิพิธภัณฑ์โรงงานที่ฝาง เธอสนใจจะไปศึกษางานกับอาจารย์ไหม อาจารย์บอกเจ้าหน้าที่ไว้แล้วว่า อาจจะมีนักเรียนที่ได้ทุนเรียนดีขึ้นไปดูงานด้วย 3 คน หรือว่าจะกลับไปบ้านเลย”

“ไปสิครับ ผมอยากไป” อาทิจรีบบอกอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ดีแล้ว ไปดูงานที่ในหลวงท่านทรงไว้ จะได้นำ ความรู้ไปใช้ให้เป็นสิริมงคลกับตัวเอง”

“ครับ...ขอบคุณมากครับอาจารย์” อาทิจยกมือไหว้อย่างนอบน้อม อาจารย์ยิ้มตบบ่าเขาเบา ก่อนเดินออกไป

อาทิจหันมาสบตากับเพื่อนๆพากันตะโกน “เย้ๆๆๆ” กระโดดโลดเต้น โยนสมุดรายงานในมือขึ้นฟ้ากันอย่างร่าเริง...

ooooooo

รุ่งขึ้น ที่หน้า “พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวง” ที่ฝาง อาทิจกับเพื่อนนักเรียนอีก 2 คน รวมทั้งนักท่องเที่ยวอีก 10 คน เดินตามเจ้าหน้าที่นำชมโครงการ เริ่มจากความหมายของตราสัญลักษณ์ของโรงงานและประวัติความเป็นมาของโรงงาน

อาทิจจดบันทึกอย่างสนใจมาก

ขณะนั้น มีรถกระบะขนส้มคันหนึ่งแล่นเข้ามาแบบกระตุกๆ พุ่งผ่านหลังอาทิจไปจอดส่งของที่ข้างโรงงาน

ทันทีที่รถจอด ดรุณี สาววัย 17 ท่าทางทะมัดทะแมง กระโดดลงจากฝั่งที่นั่งคนขับ หยิบกระเป๋าสะพายเก๋ๆแบบชาวเขาจะวิ่งไป แต่นึกอะไรได้วิ่งกลับมาที่รถร้องเรียก “ลุงเกร็ง...ลุงเกร็งงงง...”

ลุงเกร็งค่อยๆลืมตาขึ้นถามทั้งที่ยังนั่งเกร็งอยู่เพราะหวาดเสียวกับการขับรถของดรุณี ถอนใจโล่งอกเมื่อรู้ว่าถึงที่หมายรอดปลอดภัยแล้ว ดรุณีบอกลุงเกร็งให้ช่วยจัดเจ้าหน้าที่เอาส้มลง ตนจะไปชมพิพิธภัณฑ์หน่อย ว่าแล้ววิ่งตื๋อไปเลย

ooooooo

ดรุณีจ้ำอ้าวไปที่ลานกิจกรรมแต่ไม่เห็นใครแล้ว รีบเดินเข้าไปด้านใน เห็นเจ้าหน้าที่กำลังเชิญทุกคนไปชมอีกห้องหนึ่ง เธอรีบตามไป

เจ้าหน้าที่นำนักเรียนและนักท่องเที่ยวเข้าไปในห้องที่แสดงชีวิตชายขอบ เจ้าหน้าที่เชิญทุกคนนั่ง อาทิจกับเพื่อนๆเลือกมานั่งที่แถวหน้าประสาคนรักเรียนใฝ่รู้ อาทิจนั่งกลางเพื่อนทั้งสองนั่งขนาบ

ดรุณีเดินเข้ามา พอดีอาทิจเอาปากกาออกมาเตรียมจดปรากฏว่าเขียนไม่ออก หันไปถามเพื่อนว่ามีปากกาอีกด้ามไหมขอยืมหน่อย เพื่อนควานหาปากกาในกระเป๋า ทำให้ปากกาตัวเองหล่นกลิ้งไปเลยลุกไปหยิบ

ดรุณีเห็นมีที่ว่างจึงเข้าไปนั่งแทน อาทิจเหล่ๆเห็นปากกาในมือดรุณีนึกว่าเพื่อนส่งให้ยืม เอ่ยขอบใจแล้วหยิบปากกาไป พลางหันไปคุยกับเพื่อนอีกคน

เจ้าหน้าที่ปิดไฟในห้องเพื่อให้ทุกคนได้ชมวีดิทัศน์ เพื่อนคนนั้นที่ลุกไปหยิบปากกาเลยหาที่นั่งใหม่เพราะไม่อยากรบกวนสมาธิคนอื่น

ดรุณีดูสารคดีอย่างตั้งใจ จนจบไฟเปิดสว่าง เธอหันไปมองอาทิจที่เอาปากกาตนไป อาทิจรู้สึกมีคนมองอยู่จึงหันมายิ้มให้อย่างมีไมตรีไม่เฉลียวใจสักนิดว่าตนหยิบปากกาใครมา ดรุณีกำลังจะเอ่ยปากทวงปากกา ก็พอดีเจ้าหน้าที่เชิญไปพบกับคำตอบที่อยู่อีกห้องหนึ่ง

อาทิจลุกตามเจ้าหน้าที่ไป ดรุณีมองเคืองๆ บ่นตามหลัง “เอาของเขาไปแล้วยังจะมายิ้มให้อีก” พลางจ้ำตามไป



พอเข้าไปในห้องภาพเฉลย เจ้าหน้าที่เฉลยว่า “ผู้ที่มากับเฮลิคอปเตอร์นั้นคือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

จากนั้นเชิญไปยังห้องโรงงานชั่วคราว ระหว่างนั้นเพื่อนนักเรียนกระซิบบอกอาทิจว่าผู้หญิงคนนั้นแอบมองเขาบ่อยๆ อีกคนบอกว่าไม่ใช่แอบมองเท่านั้นยังแอบเดินตามด้วย

อึดใจเดียว ดรุณีก็ทนไม่ได้เดินเข้าใกล้อาทิจร้องบอก “เดี๋ยว...อย่าเพิ่งไป” เพื่อนทั้งสองนึกว่าอาทิจเจอดีแน่แล้วต่างบอกว่าจะไปรอข้างนอกแล้วเลี่ยงไปเหมือนเปิดโอกาสให้เพื่อน ดรุณีเดินเข้าไปหาอาทิจบอกเขาว่า

“ช่วยเอาปากกาที่นายถือวิสาสะดึงจากมือฉันไปคืนมาด้วย”

อาทิจทำหน้าเหวอๆ พอนึกได้ก็รีบขอโทษและส่งปากกาคืนให้บอกว่านึกว่าของเพื่อนตน ดรุณีถามอย่างไม่ยอมให้แก้ตัวง่ายๆ ว่าตนนั่งอยู่ข้างเขาแล้วจะนึกว่าเป็นเพื่อนได้ยังไง อาทิจตอบอย่างไม่อยากต่อความยาวสาวความยืดว่า

“คือ...ก็...เพื่อนผมเขานั่งตรงที่ที่คุณนั่งก่อน... เออ...เอาเป็นว่าผมขอโทษก็แล้วกันครับ”

“ทีหลังจะทำอะไรก็หัดดูตาม้าตาเรือซะบ้าง” ว่าแล้วก็สะบัดพรืดไป อาทิจมองตาปรอยพึมพำอ่อยๆ

“แค่ปากกานี้เนี่ยนะ?...”

ooooooo

เมื่อเข้ามาในห้องโรงงานชั่วคราว เจ้าหน้าที่เล่าถึงระยะแรกของการทำอาหารกระป๋องในโรงงานชั่วคราวประกอบภาพสไลด์มัลติวิชั่น

ดรุณีสนใจการทำอาหารกระป๋อง จึงเดินแทรกเข้าไปยืนด้านหน้าสุดข้างๆเพื่อนอาทิจ เธอมีสมาธิในการศึกษามาก ก้มๆเงยๆจดๆดูๆภาพเงาและฟังเสียงบรรยาย

นักท่องเที่ยวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นว่าอยากเห็นเครื่องกระป๋องที่แปรรูป เจ้าหน้าที่จึงเชิญไปยังห้องที่มีจำหน่ายและให้ชิม นักท่องเที่ยวทยอยกันเดินตามเจ้าหน้าที่ไป

อาทิจศึกษาอย่างสนใจ ตามองที่ภาพปากพูดกับเพื่อนว่าเทคนิคน่าสนใจดี ดูแล้วเข้าใจง่าย เพื่อนคนหนึ่งทำเสียงอือเห็นด้วย แล้วเดินตามเจ้าหน้าที่ไปกับเพื่อนอีกคน อาทิจนึกว่าเพื่อนยังอยู่ เขาคุยไปเรื่อย ดรุณียืนอยู่ติดกันเหล่มองด่าด้วยสายตาทำนองว่า “อีตาบ้านี่อีกละ” แล้วจะผละไป

อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 21 มิ.ย. 2555
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐ