Pursuit of happyness (ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้)

Pursuit of happyness (ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้)

Pursuit of happyness (ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้)
Don't ever let somebody tell you-you can't do something

...You got a dream, you gotta protect it

...If you want something, go get it.”


เมื่อเร็วๆ นี้ทีมงานได้ชมภาพยนตร์รอบพิเศษของหนังเรื่อง Pursuit of happyness หรือชื่อไทย ยิ้มไว้ก่อนพ่อสอนไว้ และติดใจกับประโยคข้างต้นที่แปลได้ใจความว่า “อย่ายอมให้ใครมาบอกลูกว่า ลูกไม่สามารถทำสิ่งนั้นได้ ลูกมีความฝัน และลูกต้องปกป้องมัน ถ้าลูกฝันอยากได้อะไร ต้องไขว่คว้ามันมาให้ได้

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างมาจากเรื่องจริงของ คริส การ์ดเนอร์ ผู้ซึ่งกัดฟันสู้ชีวิตจนกลายสภาพจากยาจกมาเป็นมหาเศรษฐี ด้วยความวิริยอุตสาหะ และความรักที่มีต่อลูกวัยแบเบาะ เรื่องราวของเขาถูกนำเสนอโดยรายการทอล์กโชว์ยอดฮิตในสหรัฐฯ เมื่อผู้สร้างได้ชมรายการนี้ก็เกิดปิ๊งไอเดีย จึงนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์เสียเลย เพื่อสะท้อนให้เห็นความจริงที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น ไทยรัฐซันเดย์สเปเชียลหนนี้จึงขอนำเรื่องของคนอเมริกันมาเล่าสู่กันฟัง

...เขาว่ากันว่าจิตวิญญาณของคนอเมริกันคือการล่าฝัน

อเมริกันที่ว่านี้คือคนที่อพยพไปตั้งรกรากอยู่ในอเมริกาตั้งแต่สองสามร้อยปีที่ผ่านมา ผู้อพยพเหล่านี้มีหลากหลายเชื้อชาติ สีผิว และความเชื่อ บางคนมาด้วยความเต็มใจ บางคนก็ถูกบังคับให้มา แต่ในที่สุดแล้วทุกคนก็ได้ประจักษ์ว่า แผ่นดินผืนนี้ช่างกว้างใหญ่ รวมทั้งโอกาสให้ไขว่คว้า ที่สำคัญคือเป็นดินแดนแห่งอิสรเสรี ไม่มีชนชั้น ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ ทุกคนมีสิทธิ์ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้เท่ากัน ขึ้นอยู่กับโอกาสและความขยันขันแข็งของแต่ละบุคคล

หลายคนอาจ จะเถียงว่าไม่ จริง คนผิวดำ จากแอฟริกาที่ถูกหลอกบ้าง บังคับบ้าง ให้มาเป็นทาสอยู่จนกระทั่งประมาณ 150 ปีก่อน มิได้มีสิทธิ์อิสระเท่ากับคนผิวขาว (หรือผิวเหลือง) แต่ประการใด หรือชาวอเมริกันพื้นถิ่นที่ถูกเรียกว่าอินเดียน ซึ่งถึงไม่ได้เป็นทาส แต่ก็ถูกกดขี่ข่มเหงและกีดกันโอกาสสารพัด นั่นก็จริงอยู่ แต่ถ้าคิดว่าชาติทุกชาติย่อมเคยมีอดีตอันผิดพลาดกันทั้งนั้น หากเมื่อรู้ว่าผิดแล้วหาทางแก้ไขเพื่อให้เกิดความเสมอภาคและยุติธรรมมากขึ้น ย่อมดีกว่าปล่อยให้ความผิดพลาดนั้นดำเนินต่อไป ปัจจุบันคนที่อยู่ในประเทศอเมริกาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทุกคนมีสิทธิพื้นฐานเท่ากันตามรัฐธรรมนูญ จะเกิดมาด้วยผิวสีใด พ่อแม่มาจากไหน ยากดีมีจนอย่างไร ย่อมมีสิทธิ์ในการแสดงความเห็น การนับถือศาสนา และการถูกปฏิบัติต่ออย่างเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ พูดง่ายๆก็คือ เส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ หรือแม้แต่เส้นกวยจั๊บ และเกาเหลา ย่อมมีสิทธิ์เข้าไปอยู่ในชามก๋วยเตี๋ยวเท่าๆกันตามกฎหมาย ไม่มีใครพิเศษกว่าใครทั้งสิ้น

เมื่อกฎหมายเอื้อให้มีความเป็นคนเท่ากัน คราวนี้ก็แล้วแต่ว่าใคร จะล่าฝันได้สำเร็จ ฝันแบบอเมริกันชนที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งว่า American Dream คือการประสบความสำเร็จในการทำงาน มีเงินทองจับจ่ายพอเพียงสำหรับการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข และมีอิสรเสรีในการกระทำและความคิดตามระบอบประชาธิปไตย แบบทุนนิยม พูดง่ายๆก็คือ มีชีวิตแบบที่ตนต้องการ ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง (ซึ่งแน่นอนว่าความพอเพียงของแต่ละคนย่อมไม่เท่ากัน)

มีคนบอกว่า คนที่จะเข้าใจความฝันแบบอเมริกันได้ ต้องไม่ใช่คนอเมริกัน ซึ่งคิดดูแล้วก็จริงอยู่เหมือนกัน คนอเมริกันปัจจุบันส่วนใหญ่คิดว่าความฝันแบบอเมริกันคือ ชีวิตนี้ ต้องรวย (หรือดัง) ให้เร็วที่สุดและมากที่สุด ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ซึ่งไม่ใช่ความหมายที่อาดัมส์ต้องการให้มันเป็นเสียทีเดียวนัก

ไม่ใช่ว่าอเมริกันชนทุกคนจะประสบความสำเร็จในการล่าฝันเสมอไป ที่ล้มคว่ำคะมำหงายก็มีมาก แต่ก็อย่างที่บอกแล้วว่า ประเทศนี้เต็มไปด้วยโอกาส คนที่ล้มหากมีความพยายามและความตั้งใจจริงที่จะลุก ย่อมสามารถตามล่าหาฝันของตนเอง จนพบได้เสมอ อาจจะไม่ง่าย แต่ก็ไม่ยากจนเป็นไปไม่ได้ คริส การ์ดเนอร์ เป็นตัวอย่างของนักล่าฝันตามแบบอเมริกันคนหนึ่งที่เจอพิษเศรษฐกิจตกสะเก็ดเมื่อประมาณ 30 ปีก่อน เล่นงานเอาจนตกงาน ถูกไล่ออกมาจากห้องเช่า เมียก็หนีไปล่าฝันที่อื่น เพราะไม่อยากเสียเวลากัดก้อนเกลือกิน ในที่สุดเลยต้องกระเตงลูกชายวัยเตาะแตะออกมาเป็นคนจรจัดไร้บ้านในเมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย

คนจรจัดไร้บ้านไม่ใช่เรื่องแปลก (หรือแม้แต่เรื่องใหญ่) เมืองใหญ่ๆทุกเมืองในอเมริกาเต็มไปด้วยคนเหล่านี้ ประมาณว่าทั้งประเทศอเมริกามีคนจรจัดไร้บ้านหลายแสนคน (รายงานบางชิ้นบอกว่ามีเป็นล้านด้วยซ้ำ) ส่วนใหญ่เดินเตร็ดเตร่อยู่ตามถนนในย่านที่ทรุดโทรม หรือไม่ก็นั่งกรึ่มอยู่ตรงมุมเมืองที่ไม่น่าเดิน ที่นอนคือที่ที่เราไม่คิดว่าจะนอนได้ เช่น ใต้สะพาน ข้างถนน ซอกตึก หรือตามสวนสาธารณะ หลายคนมีรถเข็นแบบที่ใช้ในซุปเปอร์มาร์เกตเอาไว้ใส่สมบัติประดามีของตัว เวลาหนาวๆก็จะออกมายืนผิงมือคุยกันอยู่ข้างถนน โดยก่อไฟในถังขยะหรือถังใหญ่ๆแถวนั้น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยอาหารที่โบสถ์หรือองค์กรที่ให้บ้านพักสำหรับคนจรจัดแจกให้ ผสมกับการรับจ้างทำงานเล็กๆน้อยๆ ขอทาน หรือไม่ก็รับเงินประกันสังคม ส่วนใหญ่มีปัญหาติดสุรา ติดยา หรือไม่ก็เป็นโรคประสาทระดับต่างๆ เช่น พูดคนเดียวงึมงำ หรือไม่ก็ด่าทอลมฟ้าอากาศ หรือคนที่เดินผ่านไปมาไปตามเรื่อง

ชีวิตจรจัดไร้บ้าน คือชีวิตที่ตกต่ำถึงขีดสุดของมนุษย์ น้อยคนที่จะหลุดพ้นออกมาจากสถานะนั้นได้ แต่คริส การ์ดเนอร์ มีแรงบันดาลใจที่สำคัญ คือคริสโตเฟอร์ บุตรชาย บ่อยครั้งที่เขาต้องกระเตงคริสโตเฟอร์ออกไปหางานตามที่ต่างๆ โดยมีเงินติดกระเป๋าเพียง 1 ดอลลาร์ (ตอนนั้นประมาณ 25 บาท) แต่ด้วยความเฉลียวฉลาดและใจที่สู้ยิบตาตามแบบของนักล่าฝันอเมริกันชนแท้ๆ ทำให้เขาหาโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตเจอจนได้ ด้วยการเข้าทำงานในบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง ในฐานะนายหน้าขายหุ้น และใช้มันสมองจนกลายมาเป็นเซลส์แมน ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของสหรัฐอเมริกา และได้ออกรายการทีวี 20/20 ซึ่งเป็นรายการสารคดีที่มีคนดูมากที่สุดรายการหนึ่ง

ชีวิตของการ์ดเนอร์เป็นแบบฉบับที่ดีของคนอเมริกันสมัยใหม่ ที่ล่าฝันจนพบด้วยการทำงานหนักและไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค

สำหรับผู้ที่มารับบทเป็นคริส การ์ดเนอร์ คือวิล สมิธ ดาราเจ้าบทบาทจากเรื่อง Men In Black และ Bad Boys พร้อมด้วยลูกชายในชีวิตจริง คือเจเด้น คริสโตเฟอร์ ไซร์ สมิธ มาสวมบทคริสโตเฟอร์

ใครที่อยากเข้าใจความฝันแบบอเมริกันว่าช่วยพัฒนาชาติแบบพอเพียงได้อย่างไร ต้องไปดู แล้วจะได้แรงบันดาลใจครั้งใหญ่ในการทำชีวิตทุกๆ วันของตัวเองให้มีความสุขและพบกับความสำเร็จ.

ทีมงาน ต่วย'ตูน