อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา ตอนที่ 9

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา ตอนที่ 9

ประจักษ์กลับถึงบ้านด้วยความรู้สึกผิด เขาเดินไปที่หน้าห้องวนิดา ยกมือจะเคาะประตูแล้วลดมือลง เป็นอย่างนี้อยู่สองสามครั้ง สุดท้ายตัดสินใจจะเคาะ ประตูก็เปิดออกมาพอดี พอเห็นหน้ากันต่างคนต่างอึ้ง พริบตาเดียว วนิดาก็ปิดประตูใส่หน้าปัง! ประจักษ์สะดุ้งฉุนกึกขึ้นมา หันหลังเดินกลับห้องตัวเองเลย

หลังจากนั้นอีกหลายวัน บรรยากาศก็ยังอึมครึม คนหนึ่งมาอีกคนหนึ่งก็ไป คนหนึ่งออกหน้าบ้านอีกคนก็ออกหลังบ้าน จนไปล่ จวง และป้าทองพลอยเงียบเหงาไปด้วยต่างจับตาดูอยู่อย่างกลุ้มอกกลุ้มใจ

บรรยากาศไม่ทันคลี่คลายก็มีเรื่องใหม่ให้เข้ามาอึดอัดยิ่งกว่า เมื่อวนิดามาขอความร่วมมือจากจวง ป้าทอง และไปล่ อย่าให้ประจักษ์รู้ว่าคืนนี้ตนจะไม่อยู่

ขณะกำลังปรึกษาวางแผนกันอย่างเคร่งเครียดนั่นเอง ทุกคนก็สะดุ้งเฮือกเมื่อประจักษ์โผล่เข้ามาถามอย่างจับผิดว่า

"คุยอะไรกัน"

วงแตกทันที ป้าทองลุกไปตำน้ำพริก จวงหยิบมีดมาหั่นผัก ส่วนไปล่ก็ก้มหน้าก้มตาเด็ดผัก อาการลุกลี้ลุกลนมีพิรุธ ของทั้งสามทำให้ประจักษ์ถามดักคอว่า "วางแผนอะไรกันอยู่"

ป้าทองตั้งหน้าตั้งตาโขลกน้ำพริกสนั่น จวงกับไปล่ ก้มหน้าก้มตาหั่นผักเด็ดผักทำหูทวนลม แต่ในใจลุ้นให้วนิดาตอบแทน แล้วก็สมใจเมื่อวนิดาทำหน้าตายย้อนเขาว่ามองโลกในแง่ร้ายหรือเปล่า

"พฤติกรรมของเธอทำให้ฉันไม่ไว้ใจ" ประจักษ์สวนไปทันควัน วนิดาไม่ต่อล้อต่อเถียงหันเดินออกไป ประจักษ์หันมองป้าทอง จวง และไปล่ ทำเอาทั้งสามหนาวไปตามกัน

ooooooo

ความสงสัยของประจักษ์พานลากยาวมาถึงกลางคืน เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เขาสั่งจวงให้ไปตามวนิดามาทานข้าว

จวงสะดุ้งแต่เพราะวางแผนกันไว้แล้วจึงตอบไปว่าตนไปตามแล้วแต่วนิดาบอกว่าไม่ หิว เพราะจงใจจะจับพิรุธ ประจักษ์ทำเป็นห่วงใยว่าเดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะแล้วลุกขึ้นจะไปตามเอง จวงรีบอาสาจะไปตามให้ พอขึ้นไปถึงหน้าห้องก็ทำเป็นร้องเรียก พูดเป็นตุเป็นตะ พูดเองเออเองว่า

"คุณนิดขา คุณผู้ชายให้ออกไปทานข้าวค่ะ...อะไรนะคะ...จะนอนแล้ว...ได้ค่ะ...ได้"

พอได้ยินว่าวนิดานอนแต่หัวค่ำ ประจักษ์ก็เป็นห่วงว่าจะเป็นไข้ถามจวงว่าทำไมไม่เข้าไปดู จวงคิดไม่ทัน ป้าทองเลยรีบพูดว่า ให้พาตนเข้าไปดูวนิดา จวงรีบพาป้าทองออกไป

ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้ประจักษ์สงสัยมากขึ้น

ครู่หนึ่งป้าทองมาบอกประจักษ์ว่า วนิดาบอกว่าปวดหัวตนเลยให้จวงคอยดูแลอยู่ไม่ต้องห่วง ประจักษ์พยักหน้ารับรู้ ไม่ซักถามอะไรอีก ป้าทองลอบถอนใจอย่างโล่งอก

ooooooo

ที่แท้ วนิดาอยู่ที่โรงเรียนในงาน "คืนสู่เหย้าชาวสีน้ำเงินเหลือง" โดยมีสุมาลีกับกัลยาเพื่อนรักอยู่ด้วย สุมาลีติงว่า วนิดาน่าจะพาประจักษ์มาด้วยจะได้พามาเปิดตัว เพราะมีแต่คนอยากเห็นสามีเธอ

พอวนิดาบอกว่าเขาไม่ว่าง กัลยาก็บ่น "น่าเสียดาย เป็นฉันถ้าได้แต่งงานกับคนหล่อขนาดนี้ ฉันต้องหนีบเข้าเอวพาไปทุกที่ น่าภูมิใจออก"

วนิดายิ้มๆ แต่ในใจคิดกังวลกลัวประจักษ์จะจับได้ว่าตัวเองไม่ได้อยู่ที่บ้าน

ooooooo

ป้าทองกับจวงนึกว่าคลื่นลมสงบแล้ว ต่างพากันโล่งใจที่ประจักษ์ทำท่าเหมือนไม่สงสัยอะไรอีก

ที่ไหนได้ ตกดึกประจักษ์เกิดเป็นห่วงวนิดาขึ้นมาอีก ตัดสินใจเคาะประตูห้องขณะเดินผ่าน ถามเข้าไปว่าเป็นอย่างไรบ้างจวงใจหายใจคว่ำไม่รู้จะทำอย่างไร เลยทำเสียงแหบๆ ตอบไปว่า

"ฉันไม่เป็นอะไร"

เรื่องเลยยิ่งไปกันใหญ่ ประจักษ์ไม่เชื่อว่าไม่เป็นอะไรเพราะฟังเสียงแหบบอกอาการหนักจะเปิดประตู เข้าไปดู ป้าทองก็มายืนขวางพยายามบอกว่าวนิดาไม่เป็นอะไร ร้อนรุ่มวุ่นวายจนผิดสังเกต ทำให้ประจักษ์ยิ่งสงสัยจะเข้าไปให้ได้ ป้าทองเลยแกล้งพูดดังๆให้จวงเตรียมรับสถานการณ์ว่า

"คุณใหญ่เข้าไปดูคุณนิดก็ได้ค่ะ"

จวงแทบช็อก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะปีนหน้าต่างหนีอยู่แล้ว แต่ฉุกคิดได้หันกลับมามองที่เตียง

ดังนั้น พอประจักษ์เข้ามาจึงเห็นร่างที่นอนอยู่บนเตียงสั่นสะท้านจนผ้าห่มไหว เขาบอกป้าทองให้รีบไปตามหมอ ป้าทองเงอะงะไม่ทันใจก็สั่งไปล่แทน ไปล่สติแตกเสียงสั่น พูดผิดพูดถูก

"ครับ...ไม่ได้ครับ"

ประจักษ์เอะใจหันมองที่เตียงเห็นร่างใต้ผ้าห่มยิ่งหนาวสั่นจนเตียงสะเทือน เขาดึงผ้าห่มออกทันที แล้วทุกคนก็ตะลึงงัน เมื่อจวงลุกขึ้นนั่งพนมมือแต้สารภาพว่า "จวงผิดไปแล้วเจ้าค่ะ จวงขอโทษ"

"วนิดาไปไหน" ประจักษ์หันมาคาดคั้นป้าทองอย่างเอาเรื่อง

ooooooo

อ่านละครย่อเรื่อง วนิดา ตอนที่ 9
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว ตอนที่ 7

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว ตอนที่ 7
เพราะน้ำหวานมีข้อแม้ว่าถ้าจะให้เล่นฉากเลิฟซีน ต้องกอดปล้ำกับพระเอกก็ต้องมีหมอนข้างคั่นกลาง เลยกลายเป็นฉากเลิฟซีนที่ดูตลกน่าสมเพชมากกว่า

ผู้กำกับเห็นแล้วอารมณ์เสียสุดขีดแผดเสียงลั่น

"แอร๊ยยยยย ตูอยากตาย ไม่ต้องเลิฟซงเลิฟซีนมันแล้ว ใช้มุกโบราณมันนี่แหละ พีทเอาผ้าห่มคลุมตัวเองกับน้ำหวานแล้วแพนกล้องไปที่หัวเตียง จบ!"

ทุกคนรับคำ อึดใจเดียวพีทกับน้ำหวานก็อยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกัน ใต้ผ้าห่มพีททำท่าปลุกปล้ำน้ำหวานอย่างเมามันแต่ความจริงพีทไม่ได้ถูกต้อง เนื้อตัวน้ำหวานเลย

ผู้กำกับมองดูผ้าห่มที่ขยับอย่างไร้ศิลปะก็อารมณ์เสียระเบิดเสียง "โอ๊ยยย...เซ็งเป็ดโว้ย"

แต่หารู้ไม่ว่าใต้ผ้าห่มนั้น น้ำหวานนอนมองพีทตาเยิ้ม

ก่อนที่จะใช้เท้าแตะไปที่เท้าพีทแล้วค่อยๆไล้เท้าขึ้นมาหน้าแข้งวนไปมาอย่างยั่วยวน

พีทมองน้ำหวานตาวาว...ยิ้มที่มุมปากอย่างรู้กัน...

ดังนั้น...คืนนี้ ที่สระน้ำคอนโดฯที่พีทอยู่จึงมีบทเลิฟซีนกันในสระนอกบทกันอย่างร้อนแรง เมามัน ระหว่างนั้นโทรศัพท์ มือถือของน้ำหวานดังขึ้น เธอไม่รับสายเพราะไม่อยากเสียอารมณ์ ที่กำลังติดพันแต่โทรศัพท์ก็ดังไม่ยอมหยุด จนพีทบอกว่าทางโน้นคงมีเรื่องอยากคุยกับเธอให้ไปรับก่อนดีกว่า

"ใครกัน! กวนใจซะจริง!!" น้ำหวานจำใจโผจากพีทขึ้นมาคว้ามือถือขึ้นดูบ่น "ไม่เห็นรู้จัก"

พอรับสาย ปลายสายคือจิมมี่นั่นเอง เขาไม่เผยตัวแต่พูดขู่ๆว่า "ผมมีเรื่องจะบอก อย่าเพิ่งวางสายนะคุณน้ำหวาน

ผมแค่จะบอกคุณว่า ตอนนี้ในมือผมมีรูปเลิฟซีนที่เร่าร้อนระหว่างคุณกับหมอวาทิศ ไม่รู้ว่าคุณสนใจหรือเปล่า"

น้ำหวานตกใจหน้าซีดเผือด พีทสังเกตอยู่เขามองอย่างสนใจ

ooooooo

กลับถึงบ้าน น้ำหวานเล่าให้พริมาและพฤกษ์ฟังพริมาถามว่าจริงหรือเปล่า น้ำหวานบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าจริงหรือเปล่า พอพฤกษ์ถามว่ามันจริงใช่ไหม น้ำหวาน หันไปแว้ดใส่พ่อทันทีว่า

"พ่อก็...เรื่องแบบนี้ของหนุ่มสาวมันเป็นเรื่องปกติ คนที่แอบถ่ายต่างหากที่มันไม่ปกติ"

ปัญหาจึงมีว่า ทางเราจะหาทางทำลายรูปนั้นอย่างไร

น้ำหวานบอกว่ามันเรียกสามแสน พริมาโวยวายว่ามันขู่กันชัดๆ พฤกษ์เสนอให้แจ้งตำรวจ น้ำหวานเอ็ดพ่อว่า

"ขืนแจ้งตำรวจ คนเขาก็รู้กันหมดสิคะว่าเป็นน้ำหวานจริงๆ" พริมาถามว่าแล้วจะยอมเสียเงินหรือ น้ำหวานเบ้หน้า "น้ำหวานไม่ให้หรอกค่ะ"

พฤกษ์กลัวน้ำหวานจะงานหายเงินหด น้ำหวานปลอบใจ ว่าไม่เป็นไร มันอาจจะแค่ขู่ก็ได้เพราะข่าวก็ยังไม่มี ในเน็ตก็ยังไม่มี แต่ทันใดก็มีเสียงสัญญาณคอมพิวเตอร์เตือนว่ามีเมล์เข้า น้ำหวานรีบไปเปิดดู

แล้วทั้งสามก็ตะลึงงันเมื่อเห็นรูปน้ำหวานนัวเนียกับวาทิศในสระน้ำ!

หลังจากหายตะลึงพริมาถามว่าน้ำหวานจะแก้ปัญหาอย่างไรคงต้องจ่ายสามแสนใช่ไหม ก็พอดีมือถือน้ำหวานดังขึ้น เป็นสายจากจิมมี่นั่นเอง

น้ำหวานตวาดไปว่าตนไม่ยอมจ่ายแม้แต่บาทเดียว จิมมี่ขู่ว่าถ้าอย่างนั้นก็รอดูภาพเธอกับผัวตามแผงหนังสือก็แล้วกัน ทั้งที่ตกใจแต่น้ำหวานก็ยังทำปากกล้าท้าทายไปว่า "ดี!! ฉันจะได้ยิ่งดัง"

สามพ่อแม่ลูกเกือบทะเลาะกันว่าจะยอมจ่ายหรือไม่ ถ้าไม่ก็มีหวังดับ น้ำหวานกลัวแต่ก็ยังทิฐิบอกพ่อกับแม่ว่าตนไม่ชอบให้ใครมาขู่เพราะถ้ารู้ว่า เรากลัวมันก็จะยิ่งได้ใจเรียกร้องจากเรามากขึ้น สุดท้ายเสียงแข็งว่า

"หวานจะยืนกรานเป็นกระต่ายขาเดียวเท่านั้นว่ามันไม่จริง อยากรู้เหมือนกันว่าใครมันจะทำอะไรหวานได้!"

ส่วนจิมมี่เมื่อยังไม่ได้รับคำตอบที่พอใจก็ฮึดฮัดคำรามว่า "รู้จักฉันน้อยไป นังน้ำหวาน" พลางฮึดฮัดเดินผ่านเฮียใหญ่ไป เฮียถามว่าเสียบอลอีกรึไง ถูกตวาดว่า "เรื่องของผม"

"เออ...เรื่องของแก แต่มันเกี่ยวกับงานของฉัน งานที่ให้ ทำน่ะเสร็จรึยัง"

จิมมี่ไม่ตอบ เฮียใหญ่บ่นว่าก็เป็นเสียอย่างนี้แล้วจะเจริญได้ยังไง กลับถูกพูดอย่างท้าทายว่า

"ไม่ต้องมาบ่นผมนะเฮีย ผมมีเงินเมื่อไหร่ ผมไม่อยู่ให้เฮียด่าแน่" พูดแล้วเดินหัวเสียไป

"ฉันด่ามันตรงไหน...ไปกันใหญ่แล้วไอ้นี่" เฮียใหญ่ส่ายหน้าบ่นงึมงำ งงๆ

ooooooo

ปยุตรพาเหมยมาแวะกินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เขาหยอกเหมยขำๆ ว่าต่อไปเธอคงนั่งกินข้างทางแบบนี้ไม่ได้แล้ว เหมยถามว่าทำไมไม่ได้

"ก็มันอยู่ข้างถนน อีกอย่างขืนมานั่งกินกับผมเดี๋ยวก็เป็นข่าว" เหมยทำหน้าทะเล้นบอกว่าดีสิจะได้ดัง ปยุตรแกล้งทำหน้าจ๋อยๆ บอกว่า "แต่เป็นข่าวกับนักข่าวกระจอกอย่างผมไม่ดังหรอก"

เหมยเลยหยุดหัวเราะบอกว่าตนไม่อยากดังเพราะข่าวหรอก อยางดังเพราะความสามารถ อยากเป็นนักแสดงที่ดี ปยุตรบอกว่าจะเอาใจช่วย แต่ที่สำคัญเธอต้องจำคำพูดของตัวเองวันนี้ไว้ให้ดี ไม่ใช่พอดังขึ้นมาก็...เขาพูดถึงตรงนี้ เหมยก็แทรกขึ้นว่า "ลืมตัว"

ทั้งสองคุยกันถึงพวกดาราดังบางคนที่พอดัง ได้ทุกอย่างแล้วก็ลืมหมดว่าตัวเองเคยพูดไว้ว่ายังไง เหมยรับรองว่าตนไม่เป็นอย่างนั้นท้าให้คอยดูก็แล้วกัน

"เออ...จะคอยดู แล้วก็คอยเอาใจช่วยขอให้คุณดังๆ ไม่หวังอะไรมากหรอก ขอแค่...สัมภาษณ์ง่ายหน่อยก็แล้วกัน ไม่ใช่อะไรๆ ก็ไม่ว่าง...ไม่ว่าง..."

"เหน็บฉันตั้งแต่ยังไม่เป็นดารา สงสัยจะเก็บกดมากเลยนะคุณเนี่ย" เหมยหยอก

"ผมก็แค่เตือนไว้ ไม่มีใครตั้งใจที่จะลืมตัวหรอก แต่พอลืมตัวขึ้นมาจริงๆ มันก็จะทำร้ายคนรอบข้าง ด้วยการ 'ลืม' นึกถึงใจคนเหล่านั้นไง" ปยุตรพูดจริงจังเสียจนเหมยเถียงไม่ออก

ooooooo

ไม่เพียงปยุตรจะคุยกับเหมยเรื่องนี้ แม้แต่ที่ร้านขายของของแม่กุ้ง ป้าผ่องและบรรดาเพื่อนแม่ค้าพ่อขายทั้งหลายก็พูดถึงเรื่องนี้ แม่กุ้งเห็นด้วยกับคำพูดของปยุตรพูดนิ่มๆว่า

"มันก็จริงอย่างที่ปยุตรว่านะเหมย คนรวย คนดัง ชอบทำอะไรไม่นึกถึงใจคนอื่น"

ป้าผ่องผสมโรงว่าบางคนเอาแต่ใจตัวไม่สนใจคนอื่นที่มายืนรอซื้อของก่อน เตือนเหมยว่าดังแล้วอย่าเป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน เหมยก็ยังรับรองจริงจังกับทุกคนว่าไม่เป็นหรอก ส่วนกันต์ถามว่าต่อไปเหมยจะมายืนขายกล้วยทอดอย่างนี้อีกหรือเปล่า

"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ พี่ก็เป็นพี่คนเดิม" เหมยบอกกันต์ แม่กุ้งแซวยิ้มๆว่า แต่อาจจะไม่เหมือนเดิม

สุดท้ายเหมยต้องย้ำแล้วย้ำอีกว่าตนจะเหมือนเดิม ไม่ว่าจะดังแค่ไหนรวยแค่ไหน เหมยคนนี้ก็จะเป็นเหมยคนเดิม

"ผมเชื่อ" ไม้พูดขึ้น เหมยดึงไม้เข้าไปกอดขอบใจน้องชาย

แต้วที่แอบชอบไม้อยู่ถือช่อดอกไม้เข้ามาจะแสดงความยินดีกับเหมย เห็นภาพนั้นถึงกับดอกไม้หลุดจากมือ จากนั้นเลี่ยงไปนั่งเศร้าที่สะพานหน้าบ้านเช่า จนไม้ตามไปเจอถามว่าทำไมไม่เอาดอกไม้ไปให้เหมย แต้วตอบประชดแกมน้อยใจว่า "เข้าไม่ถึงตัว"

แต้วพูดอย่างน้อยใจที่ใครๆก็ชื่นชมเหมยเห็นเหมยดีไปหมดทุกอย่าง ไม้มองหน้าแต้วพูดขำๆว่าอิจฉาเหมยหรือ แต้วยอมรับว่าใช่ เพราะใครๆก็ชื่นชมเหมยแต่ไม่มีใครเห็นหัวตนเลย

ความน้อยใจทำให้แต้ววิ่งหนีจากไม้ไป ไม้เป็นห่วงวิ่งตามไปดึงแต้วไว้ถามว่าเป็นอะไร

"พี่เหมยไม่ใช่พี่ของแต้ว! พวกเราสี่คนไม่มีใครเป็นพี่น้องใครทั้งนั้น เป็นแค่เด็กที่ถูกแม่กุ้งเก็บมาเลี้ยง แต้วเองก็ไม่อยากจะคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะโชคร้ายขนาดนี้ ถูกแม่ ทิ้งมาตั้งแต่แบเบาะ พอโตขึ้นมาก็ไม่มีใครสนใจอีก ทุกคนในบ้านมีแต่รัก ชื่นชมพี่เหมย อะไรๆก็เหมยๆๆ ได้ยินไหมว่าแต้วไม่อยากได้ยินชื่อเหมย"

"หยุดเดี๋ยวนี้นะ!" ไม้ตะคอก กระชากแต้วอย่างแรงเตือนว่า "มีสติหน่อยนะแต้ว พี่เหมยทำทุกอย่างเพราะพวกเราทุกคน"

แต้วเถียงว่าไม่ใช่ เหมยอยากดังอยากเป็นดารา เหมย ทำทุกอย่างเพื่อตัวเองทั้งนั้น ไม้เสียงดังไปด้วยความโกรธจัดว่า "มีแต่แต้วเท่านั้นล่ะที่คิดแบบนี้"

"เห็นไหม...แม้แต่ไม้ก็ยังรัก ยังเข้าใจแต่พี่เหมย ไม่เคยเข้าใจแต้วเลย" พูดแล้วสะบัดหลุดวิ่งออกไป ไม้เป็นห่วง รีบวิ่งตามไป

ทั้งคู่วิ่งไล่กันมาเต็มแรง ไม่ทันดูรถของนักท่องเที่ยวที่ขับมา ไม้ตะโกนสุดเสียง "แต้วระวัง!" แล้วกระโจนเข้าคว้าตัวแต้วเหวี่ยงออกไปเต็มแรง แต่ตัวไม้เองกลับบาดเจ็บสาหัส!

เมื่อตำรวจมาสอบปากคำ แต้วยืนหน้าซีดไม่กล้าพูดความผิดของตัวเอง...

ooooooo

อ่านละครย่อเรื่อง ระบำดวงดาว ตอนที่ 7
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง สวรรค์สร้าง ตอนที่ 2

อ่านละครย่อเรื่อง สวรรค์สร้าง ตอนที่ 2

หลังรู้จากทองทิวว่าเอื้อเป็นอัมพาตไปครึ่งตัว นายิกากังวลใจกลัวสาวเรื่องมาถึงปัญหาประกันภัยแล้วจะทำให้ไทเกอร์คิงเสีย ชื่อ บ่นอย่างหงุดหงิดว่ารนหาที่เองแท้ๆ ถามว่านักรบอยู่ไหน พอรู้ว่าอยู่ที่ห้องประชุม นายิกาก็รีบไปทันที

ที่ห้องประชุม นักรบกำลังพูดกับทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า

"ผมเข้าใจว่าทุกคนคงจะรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับบริษัทเมื่อคืนนี้แล้ว ขอให้รู้ว่าผมไม่ได้นิ่งนอนใจ" เขาพูดทิ้งช่วงกวาดตามองทุกคนเหมือนจะพูดเรื่องช่วยเหลือเอื้อ แต่เปล่า กลายเป็นว่า "ผมจะพยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์นี้ โดยไม่ให้ส่งผลกระทบ กับไทเกอร์คิงอย่างเด็ดขาด!"

ระหว่างนั้นที่หน้าบริษัท รถยนต์คันหรูแล่นมาจอดที่หน้าตึก รปภ.เขม้นมองแล้วรีบเข้าไปเปิดประตูรถอย่างนอบน้อม ผู้ที่ก้าวลงจากรถ คือนิมมานและนักคิด สองแม่ลูกที่พอลงจากรถก็ยืนเชิดอยู่หน้าตึกก่อนจะเดินเข้าไป

นิมมานคือน้องสาวแท้ๆของนายิกา ที่วันๆอยู่แต่กับการเริงร่าปาร์ตี้ ทำงานไม่เป็น ซ้ำยังมีจิตใจอิจฉาริษยาอย่างร้ายกาจ ซึ่งก็พอๆกับนักคิดที่เป็นลูกชายเพลย์บอยไม่เอาถ่าน จึงมักถูกนักรบว่าเอาอย่างไม่ไว้หน้าต่อหน้าธารกำนัลเสมอ จนนักคิดเก็บความแค้นไว้คอยวันเอาคืนตลอดเวลา

การประชุมบอร์ด เพื่อหาทางปกปิดเรื่องพนักงานบาดเจ็บจนพิการ ไม่ให้เรื่องกระทบถึงบริษัท ขณะที่ทุกคนกำลังคิดกันอยู่นั้น ที่ประชุมก็ปั่นป่วนทันทีเมื่อสองแม่ลูกเข้าไปปรากฏตัว

"เข้ามาได้ยังไง! ฉันกำลังประชุมอยู่ ออกไป!" นายิกา ลุกขึ้นตวาดไล่อย่างไม่ไว้หน้า

นิมมานแค่นยิ้มอ้างว่าตนกับนักคิดก็เป็นบอร์ดบริหารของไทเกอร์คิงเหมือนกัน ย่อมมีสิทธิ์ที่จะฟัง เยาะเย้ยว่า "อยากรู้ เหมือนกันว่าคุณพี่กับลูกชายมีวิธีไหนที่จะไม่ทำให้โล่ "บริษัทจัดการดีเด่น" อันนี้มัวหมองเพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้"

เมื่อนิมมานเปิดฉาก นักคิดช่วยอีกคน เลยกลายเป็น แม่กับแม่ทะเลาะกันและลูกกับลูกเถียงกัน ความขัดแย้งที่คุกรุ่น มานานเกือบระเบิดออกมาเป็นการใช้กำลัง ทองทิวซึ่งดูสถานการณ์ อยู่แล้วหาทางแก้ด้วยการเชิญทุกคนไปที่ห้องรับรองเพราะคอฟฟี่ เบรกมาแล้ว

ทองทิวกับเลขาฯช่วยกันเชิญบอร์ดคนอื่นๆออกไปจากห้องอย่างลุกลี้ลุกลน พอออกมากันแล้วเขามองเข้าไปในห้องประชุม พึมพำอย่างระอาใจ

"สงครามกลางเมืองอีกแล้ว..." พลางก็เอาหูแนบแอบฟังเสียงข้างใน

ooooooo

ในห้องประชุมจึงเหลือแต่นายิกา นิมมาน นักรบ และนักคิด ทั้งหมดโต้เถียงกันเรื่องผลประโยชน์ และความรับผิดชอบต่อการงาน ฝ่ายนายิกาด่านิมมาน กับนักคิดว่าทำอะไรไม่เป็นคอยแต่จะกินแรงคนอื่น ส่วนนักคิดก็โต้ว่าคุณป้านั่นแหละที่กีดกันไม่ให้ตนเข้ามาทำงานที่นี่

"ก็เพราะนายไม่มีความสามารถพอไง บริษัทนี้ต้องการคนเก่งระดับหัวแถว ไม่ใช่นักเรียนหลังห้องที่ปริญญาสักใบก็ยังต้องใช้เงินซื้อมา" นักรบปรามาสตราหน้านักคิดอย่างเจ็บแสบ

"ไอ้นักรบ!" นักคิดพุ่งเข้ากระชากคอเสื้อนักรบเงื้อหมัดจะต่อย แต่นักรบหลบทันและจับแขนบิดจนนักคิดร้องลั่น พอเห็นลูกตัวเองเสียท่า นิมมานจึงเข้าไปช่วยประคองนักคิดลุกขึ้นถอยออกมา

"กลับไปได้แล้วทั้งสองคน แล้วก็ไม่ต้องเสนอหน้ามาที่นี่อีก ที่นี่ไม่เหมาะกับพวกเธอ!" นายิกาตวาดไล่ นิมมาน จ้องหน้าพี่สาวกัดฟันกรอด พูดอย่างอาฆาตว่า

"อย่าคิดว่าจะกีดกันพวกฉันได้ตลอดนะ! ยังไงบริษัทนี้ก็เป็นของฉันครึ่งหนึ่ง ฉันจะกลับมาทวงสิทธิ์ของพวกฉันคืนแน่ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม!" ว่าแล้วสะบัดหน้าพานักคิดกลับไป

ooooooo

อุ่นใจกับโอ๋เสียใจและสงสารเอื้อมากที่ต้องมาเป็นอัมพาตเดินไม่ได้ แต่เอื้อกลับเข้มแข็งเป็นฝ่ายให้กำลังใจน้องและลูก ปลอบใจว่า

"ไม่ต้องกังวลนะอุ่น พี่เชื่อว่าเราทำดีความดีก็จะเกื้อกูลเรา ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น"

"หมอบอกว่าพี่เอื้อกำลังใจดีมากผิดจากคนไข้ทั่วไปที่มักจะเสียขวัญพอรู้ว่า ตัวเองจะไม่เหมือนเดิม" อุ่นใจเล่าให้ ดอกจันฟังขณะยืนดูเอื้อใช้ไม้เท้าประคองตัวเองพยายามหัดเดิน ดอกจันฟังแล้วถามว่าแล้วอุ่นใจจะกังวลใจทำไม

อุ่นใจจึงบอกเพื่อนรักว่าเอื้อมีความหวังมากว่าบริษัท จะช่วยเขาให้กลับมามีชีวิตปกติเร็วๆ แต่ตนได้สัมผัสนักรบแล้วหวั่นใจว่า "พี่เอื้อต้องฝันสลายแน่"

และความจริงที่ไทเกอร์คิงก็คือ นักรบเรียกทองทิวไปถามว่าเอื้อพิการแค่ไหน พอรู้ว่าตั้งแต่สะโพกลงไปเดินได้ แบบลำบากเต็มที แล้วทองทิวก็เสนอว่า

"เท่าที่ผมไปดูประวัติ หมอนี่เป็นคนดีนะครับ เป็นพนักงานดีเด่น เราน่าจะโยกให้ไปทำด้านอื่นได้"

"ยังไงก็ไม่มีประสิทธิภาพเท่าคนปกติ" นักรบพูดแล้วมองหน้าทองทิวนิ่งก่อนสั่งเลือดเย็นว่า "ให้ออกไปซะ!"

ทองทิวสะดุ้งพยายามบอกว่าเอื้อไม่ได้ทำผิดอะไร เจ็บตัวแล้วยังถูกไล่ออกอีกจะดีหรือ แต่นักรบไม่ฟังสั่งทองทิว ให้รับผิดชอบไปตามความเหมาะสม ย้ำว่า "แต่ไทเกอร์คิงจะไม่เลี้ยงนายเอื้อเด็ดขาด!"

ความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมที่นักรบพูดคือ ทองทิว ไปจัดการชำระค่ารักษาพยาบาลให้ทั้งหมด ทำให้เอื้อยิ่งมั่นใจว่าไทเกอร์คิงไม่ทิ้งตน ชมว่านักรบเป็นคนมีเมตตา

"มีเมตตาหรือว่าสร้างภาพ" อุ่นใจยังไม่เชื่อ กลับถูกพี่ชายหาว่ามีอคติ

ออกจากโรงพยาบาลกลับมาที่ชุมชนคนใจดี เอื้อได้รับการต้อนรับจากเพื่อนบ้านในชุมชนอย่างอบอุ่น บ้างอวยพรให้หายเร็วๆ บ้างเอายาสมุนไพรมาให้ เอื้อซาบซึ้งใจในน้ำใจของเพื่อนๆในชุมชนมาก

"ดูไว้นะโอ๋ เมื่อเราเป็นคนดี คุณค่าในตัวเราก็จะสูงขึ้นจนทำให้เป็นที่รักของใครๆแบบนี้แหละ" อุ่นใจสอนหลาน โอ๋รับคำแล้วมองพ่อที่อยู่ในกลุ่มชาวบ้านด้วยความชื่นชม

ooooooo

นอกจากการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากเพื่อนบ้านในชุมชนแล้ว เอื้อยังได้รับกำลังใจอย่างมากจากคนในครอบครัว โดยเฉพาะแม่นวล แม้จะเจ็บปวดและสงสารลูกแทบขาดใจ แต่ก็พยายามเข้มแข็งให้กำลังใจและความหวังกับลูก

เอื้อเองยังเชื่อมั่นว่าเมื่ออาการดีขึ้นทางบริษัทจะรับกลับเข้าไปทำงานแต่ อาจจะไม่ได้ทำตำแหน่งเดิม พูดกับอุ่นใจอย่างเชื่อมั่นมากว่า "คุณนักรบคงจะเตรียมงานใหม่ไว้ให้แล้วล่ะ"

เช้าวันหนึ่ง เอื้อสะเทือนใจมากเมื่อไปดูโอ๋ซ้อมบอลกับเพื่อนๆ แล้วถูกเพื่อนล้อประสาเด็กว่าพ่อโอ๋ขาเป๋ทำให้โอ๋โกรธมากเอาบอลขว้างใส่ เพื่อนๆ จนพวกนั้นแตกฮือ เอื้อฟังแล้วสงสารลูกมาก

ดังนั้น วันต่อมาแม้ว่าจะยังไม่สามารถเดินได้เป็นปกติ เอื้อก็ถือไม้เท้าให้อุ่นใจพาไปส่งที่หน้าบริษัทไทเกอร์คิงเพื่อไปรายงานตัว หวังว่าจะได้งานใหม่ทำ

พอเพื่อนๆเห็นเอื้อมาก็พากันดีใจ หลายคนที่เอื้อช่วยชีวิตไว้ในครั้งนั้นพากันมาขอบคุณ ขณะนั้นเอง ผู้จัดการแผนกเดินมาเห็น เรียกเอื้อให้ไปคุยกันหน่อย เอื้อดีใจนึกว่าเรียกตนไปรับงานใหม่

พอเข้าไปนั่งตรงหน้าผู้จัดการ เอื้อรีบพูดอย่างกระตือรือร้นว่า

"เรื่องงานใหม่ของผมใช่ไหมครับ ไม่ต้องห่วงนะครับผู้จัดการ ผมไม่เกี่ยงงานจะย้ายผมไปแผนกไหนก็ยินดีทั้งนั้น"

ผู้จัดการอึ้งไปนานเพราะลึกๆแล้วก็ไม่เห็นด้วยกับคำสั่งปลดของทางบริษัท แต่จำต้องทำ เขาหยิบแฟ้มมาเปิดดึงซองขาวออกมา บอกเอื้อว่า "ทางเราจำเป็นต้องเลิกจ้างนาย"

เหมือนสายฟ้าฟาดลงมากลางหัว เอื้ออ้าปากค้างหน้าซีดเผือด พูดตะกุกตะกักว่าต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่ ยืนยันว่าตนทำงานเต็มที่ไม่เคยขาดงานไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ทำไมต้องถูกไล่ ออก พลันก็นึกได้บอกผู้จัดการอย่างมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งว่า

"คุณนักรบ! คุณนักรบจะต้องเข้าใจผม ขอให้ผมพบกับคุณนักรบได้ไหมครับ"

"คุณนักรบนั่นแหละคือคนที่เซ็นคำสั่งปลดนาย" ผู้จัดการจำต้องบอกความจริง

เอื้ออึ้งเหมือนโลกถล่มทลายลงมาตรงหน้า!

ooooooo

อุ่นใจกับดอกจันมารับเอื้อกลับบ้าน เขาไม่กล้าบอกน้องจนเมื่ออุ่นใจถามว่าเป็นอะไร เรื่องงานเป็นอย่างไรบ้าง เอื้อจำต้องปดน้องเพื่อให้สบายใจว่าโดนย้ายไปทำงานฝ่ายเอกสารแทน

ฟังแล้วดอกจันพูดขึ้นว่านักรบก็ไม่ได้เลวร้ายนัก แต่หารู้ไม่ว่าในใจของเอื้อเวลานี้เจ็บปวดนัก เขานิ่งเงียบตลอดทางที่กลับบ้าน จนฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เขายิ้มอย่างมีทางออกแล้ว

นั่นคือเขาไปขอทองทิวทำงานที่ป้อมยามคอยกดสัญญาณปิดเปิดรั้วกั้น แต่ทำได้อาทิตย์เดียวนักรบมาเห็นเข้า เรียกทองทิวไปถาม ทองทิวยอมรับว่าเอื้อขอกลับมาทำงานแบบไม่เอาเงินเดือนเพื่อให้ทางเราเห็นว่า เขายังทำงานได้ ถึงกระนั้นนักรบก็ไม่เอา สั่งทองทิวให้ตามเอื้อไปพบที่ห้องทำงาน

เอื้อมีความหวังขึ้นมาแอบดีใจว่านายคงอนุญาตให้ทำงานแล้ว แต่ที่ไหนได้ พอเข้าไปพบนักรบในห้อง กลับถูกนักรบบอกว่าไทเกอร์คิงไม่ต้องการเขาแล้ว บริษัทจะไม่จ้างพนักงานที่ทำงานได้แค่หกสิบเปอร์เซ็นต์ ซ้ำบอกว่าสภาพอย่างเขานี้ดูแล้วน่าสมเพช แล้วย้ำว่าไทเกอร์คิงต้องมีแต่พนักงานที่มีคุณภาพ

เอื้อถามว่าตนผิดตรงไหนหรือ นักรบสวนไปทันทีว่าเขาไม่ได้ทำผิดอะไร แต่เขาไม่เป็นที่ต้องการสำหรับที่นี่ แล้วตัดบทเรียก รปภ.เข้ามาพาเอื้อออกไป แล้วอย่าให้เข้ามาอีก

เอื้อมองเพื่อนๆที่เข้ามาคุมตัวเขาออกไปด้วยแววตาชอกช้ำ เพื่อนๆไม่กล้าทำอะไรจนนักรบสั่งให้เอาไป เพื่อนๆจึงประคองเอื้อออกไป เอื้อพยายามที่จะพูดอะไรกับนักรบอีกแต่ก็ถูกหิ้วปีกออกไปแล้ว โดยมีนักรบยืนกอดอกมองเอื้อด้วยสายตาเย็นชา

แม้จะเจ็บปวดแทบหัวใจสลาย แต่เมื่อออกมาเจออุ่นใจกับดอกจันถามว่าเกิดอะไรขึ้นเขากลับข่มความเจ็บร้าว สะเทือนใจบอกว่าเปล่า แล้วชวนกันกลับ

ooooooo

กลับถึงบ้าน เอื้อปิดประตูเก็บตัวเงียบอยู่ในห้อง โอ๋ไปเคาะประตูเรียกกินข้าวก็ไม่ตอบ

เอื้อขังตัวเองครุ่นคิดถึงคำพูดต่างๆของนักรบอย่างเจ็บช้ำ ทุกคำพูดของเขาเสียดแทงใจเอื้ออย่างสาหัส จนระงับอารมณ์ ไม่ได้ใช้โล่รางวัลที่ได้รับทุบขาซ้ายที่เป็นอัมพาตอย่างรุนแรงหมายจะให้มัน มีความรู้สึกขึ้นมา แต่ก็ไร้ผล เขาทุบไปร้องไห้ไปอยู่อย่างนั้น...นานเท่าไรไม่มีใครรู้...

เป็นเวลาเดียวกับที่นักรบกำลังเตรียมความพร้อมในการแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากใน วันพรุ่งนี้ แต่ถูกนายิกาเข้ามาขัดบอกนักรบว่าพรุ่งนี้ช่วงบ่ายมีคอลัมน์ครอบครัวจะมา สัมภาษณ์ ให้อยู่ด้วย นักรบถามอย่างไม่อยากอยู่ว่าตนต้องอยู่ด้วยหรือ

"ถ้าไม่อยู่แล้วฉันจะเอาลูกที่ไหนไปอวดเขาล่ะ" นายิกาทำตาดุล้อๆแล้วเดินออกไป

ooooooo

เช้าวันแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก เมื่ออุ่นใจไป เร่งเอื้อให้รีบไปกันได้แล้วเดี๋ยวตนสาย แต่พอเปิดประตู ห้องเข้าไปปรากฏว่าภายในห้องทุกอย่างเก็บเรียบร้อย แต่ไม่มีเอื้ออยู่ในห้อง อุ่นใจสงสัยว่าเอื้อไปตั้งแต่เมื่อไร
เอื้อเดินกะเผลกมุ่งไปที่สนามแข่งมอเตอร์ไซค์วิบาก ซึ่งนักรบลงแข่งด้วย ทองทิวท้วงติงว่าที่จริงเขาไม่ต้องลงแข่งก็ได้เพราะดูผลงานวันนี้ยังไงทีม เราก็ชนะ

"คนประมาทไม่มีทางชนะ" นักรบเสียงเข้มใส่ตามเคย ทองทิวเลยต้องรีบจัดส่งชุดอุปกรณ์ให้ เป็นเวลาที่เอื้อลัดเลาะมาถึงแถวหน้าอัฒจันทร์ หาจนเห็นนักรบถือชุดเดินเข้าห้องแต่งตัว

เอื้อคิดถึงเมื่อคืนที่เขาพูดคนเดียวหน้าเครียดเหมือนพูดกับใครตรงหน้า...

"ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองนะครับคุณนักรบ ว่าเราใช้เครื่องมือวัดความเป็นคนคนละแบบ"

และเช้านี้เขาเห็นนักรบกำลังสวมชุดแข่ง เอื้อมองนิ่ง พูดอย่างเจ็บช้ำ...

"เพราะผมวัดค่าของคนด้วยหัวใจของเขา แต่คุณกลับตีค่ามันจากความสำเร็จ จากตัวเลขผลงาน หึๆ! แต่จะโทษใครได้ ในเมื่อคุณไม่มีหัวใจ...ข้างในตัวของคุณมันเป็นแค่ เครื่องจักรสร้างความสำเร็จเท่านั้น"

เมื่อนักรบแต่งชุดแข่งเสร็จเดินตัวแข็งเหมือนหุ่นยนต์ ออกมา เอื้อพึมพำต่ออีกว่า

"เมื่อก่อน ผมมองคุณเป็นฮีโร่ เป็นเป้าหมายที่ผมอยากจะไปถึง แต่ผมยอมแพ้แล้ว เพราะเป้าหมายอย่างคุณอยู่สูงเกินไป ไม่มีอะไรเป็นรางวัลรออยู่บนนั้นเลย นอกจาก...ความเดียวดาย"

ที่สนาม...การแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว เบื้องหน้านักแข่งเป็นเนินสำหรับกระโจนขึ้นไปบนฟ้าผ่านรถหลายคันที่จอดเรียง ขวางอยู่ มีบ่วงไฟใหญ่ๆแขวนอยู่ที่ด้านบน

เอื้อดูสภาพเหล่านั้นแล้วระบายความคิดต่อ "คุณรักที่จะเป็นนักล่าที่โดดเดี่ยว เพราะคุณมั่นใจว่าชัยชนะจะทำให้คุณ อยู่รอด แต่ไม่มีใครชนะตลอดไปหรอกคุณนักรบ บางทีคุณอาจจะต้องแพ้ให้คนกระจอกอย่างผมก็ได้...แต่ความพ่ายแพ้ก็เป็นสิ่งดี เพราะมันสอนบทเรียนให้เรามากกว่าชัยชนะเสียอีก"

พริบตานั้นเอง รถที่นักรบขี่เกิดพุ่งถลันเข้ามากลางทางวิ่ง ทุกคนตกใจ นักรบผงะตกใจสุดขีด ขณะที่รถของนักรบกำลังจะลงสู่พื้น ร่างของเอื้อก็พุ่งเข้ามาขวางตรงนั้น

ผลคือ ทั้งนักรบและเอื้อต่างบาดเจ็บสาหัส ต้องรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

ooooooo

ระหว่างอยู่ในห้องไอซียูนั้น หมอแจ้งว่าอาการของทั้งสองคนสาหัสพอกัน นายิกาขอร้องแกมขู่ๆหมอว่าให้รักษาลูกชายตนเต็มที่แพงเท่าไรไม่ว่าชีวิต ลูกชายตนต้องมาก่อน

ระหว่างนั้นนิมมานกับนักคิดได้ข่าวรีบพากันมาที่โรงพยาบาล นิมมานถามนายิกาว่าบริษัทจะอยู่รอดได้ยังไงถ้านักรบตาย ถูกนายิกาด่าและสั่งหุบปาก สองแม่ลูกสะอึกขึ้นมา นักคิดโอบแม่ไว้พูดให้นายิกาเจ็บใจว่า

"ไปเถอะครับคุณแม่ ดูใจแค่นี้ก็พอ เราต้องกลับไปเตรียมตัวตัดชุดดำ ถ้าพรุ่งนี้ไทเกอร์คิงเรียกประชุมผู้ถือหุ้นเราจะได้แสดงฝีมือกันเสียที" แล้วสองแม่ลูกก็โอบกันเดินไป นายิกาโกรธจนตัวสั่น

ส่วนอุ่นใจกับโอ๋และดอกจันที่มาเฝ้าติดตามอาการของเอื้ออย่างเป็นห่วงอยู่ ที่โรงพยาบาลได้แต่ภาวนาให้เอื้อ ปลอดภัย จนเย็นเมื่อดอกจันจะกลับ อุ่นใจฝากให้ช่วยดูแลแม่ ด้วยแต่ห้ามบอกแม่เรื่องเอื้อ

ooooooo

จอมภพมีลูกชายชื่อจอมทัพหนุ่มไฮโซการศึกษาดีจิตใจดีสุภาพเรียบร้อย เพิ่งกลับจากเมืองนอก หลังเรียนจบบอกพ่อว่าตนพร้อมจะลุยงานทันทีที่คุณพ่อให้ โอกาส จอมภพพอใจมากย้ำกับลูกชายว่า

"เราจะร่วมมือกันบริหารฟีนิกซ์ให้ยิ่งใหญ่แซงหน้าไทเกอร์คิง...เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อเขี่ยไทเกอร์คิงให้พ้นทางเรา"

"ผมมั่นใจว่ามันสมองของผมไม่ได้ด้อยกว่าอัจฉริยะอย่างนักรบ ฟีนิกซ์จะสู้กับไทเกอร์คิงอย่างขาวสะอาดและสมศักดิ์ศรี"

"สงครามทางธุรกิจมีแต่คำว่าชนะกับแพ้เท่านั้น พ่อมอบหน้าที่ให้พิมเป็นเลขาฯคอยประสานงานให้ลูก" จอมภพแนะนำพิมแก่ลูกชาย พิมยกมือไหว้อย่างฝากตัวกับจอมทัพ

วันนี้ เมื่อรู้ข่าวว่านักรบเข้าโรงพยาบาล จอมทัพไปที่โรงพยาบาล โทร.แจ้งจอมภพว่าตนถึงโรงพยาบาลแล้ว จอมภพฝากบอกนายิกาด้วยว่าตนเสียใจด้วย จอมทัพถามว่าเสร็จแล้วตนกลับได้เลยใช่ไหม

"ไม่ได้! รอฟังข่าวไปก่อน มันตายเมื่อไรก็โทร.มา พ่ออยากฟังเสียงร้องไห้ของนายิกา ฮ่าๆๆๆ"

ooooooo

เพราะสมองของนักรบและเอื้อได้รับความกระทบ กระเทือนมากหมอจึงผ่าตัดด่วน

อุ่นใจอ้อนวอนหมอให้ช่วยพี่ชายตนด้วย นายิกากลับสอดขึ้นมาว่าคนอย่างนี้สมควรตายแต่ลูกชายตนยังอายุน้อยอนาคตกำลัง รุ่งโรจน์แต่ต้องมาชะงักเพราะคนพิการอย่างนี้

อุ่นใจแค้นขึ้นมาเลยโต้เถียงกันอยู่ตรงนั้น ยิ่งนายิกาด่าเอื้อเพียงใด อุ่นใจก็แค้นมากเพียงนั้นแช่งให้พินาศไปทั้งบริษัทยิ่งดี ระหว่างนั้น จอมทัพเดินมาเห็นทั้งสองกำลังทะเลาะกันเสียงลั่น จนนายิกาบันดาลโทสะเข้าตบอุ่นใจจนเซไป จอมทัพรีบเข้าประคองไว้ เตือนทั้งสองคนว่า

"อย่าครับ ที่นี่โรงพยาบาลนะครับ คุณอาอยากเป็นข่าวขึ้นหน้าหนึ่งรึไง"

นายิกาชะงักมองจอมทัพอย่างไม่รู้จัก ส่วนอุ่นใจมองเขาอย่างชิงชังเพราะได้ยินเขาเรียกนายิกาว่าคุณอา เลยตราหน้าว่าเป็นญาติกับนายิกา เธอจ้องจิกเขาแล้วพาโอ๋ออกไป

อุ่นใจกับโอ๋ไปไหว้ศาลพระภูมิพนมมืออธิษฐานขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย คุ้มครองเอื้อด้วย จอมทัพมาเจอเลยเข้าไปขออนุญาตนั่งด้วยคน ถามว่ามาไหว้พระกันทำไมหรือ

"อธิษฐานขอให้พ่อเอื้อหายเร็วๆ" โอ๋ตอบในขณะที่อุ่นใจยังหลับตาภาวนาอยู่

"อธิษฐาน? แล้วมันจะช่วยเหรอทำไมไม่ไปคุยกับหมอล่ะ" จอมทัพถามซื่อๆอย่างหวังดี

อุ่นใจหงุดหงิดหันมาทำตาเขียวปรามว่าอย่ารบกวนสมาธิได้ไหมถ้าไม่ไหว้ก็ไป เสีย จอมทัพเลยขอไหว้ด้วยคน ถามว่าต้องทำยังไง โอ๋เลยแนะนำให้ หลอกให้ไหว้พระแล้วต้องรำด้วย พอจอมทัพหลงเชื่อลุกขึ้นรำเก้งๆก้างๆ โอ๋กับอุ่นใจก็พากัน แอบหนีไป จอมทัพหันมาอีกทีจึงรู้ว่าตัวเองถูกเด็กหลอกเสียแล้ว

ooooooo

เปลวแสงมาทำข่าวที่โรงพยาบาล พอทองทิวเห็นหน้าเธอก็ตกใจ เปลวแสงรายงานข่าวว่าตอนนี้ยังไม่มีผู้เกี่ยวข้องออกมาเปิดเผยรายละเอียดแต่ เรากำลังจะได้รู้ข้อมูลจากพยาน ว่าแล้วรี่เข้ามาหาดอกจันถามว่า "ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นคะคุณ..."

"ดอกจันค่ะ คืองี้ค่ะ นายนักรบเป็นคนที่ใจร้ายใจดำอำมหิตผิดมนุษย์มนามากค่ะ"

ทองทิวแทบลมจับ รีบวิ่งมาตะโกนลั่นว่านักข่าวท่านใดต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาการของ นักรบเชิญทางนี้เลย พวกนักข่าวเลยกรูกันไปทางทองทิว พอถูกถามว่าตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ทองทิวตอบอึกอักว่าทุกอย่างเป็นอุบัติเหตุ ส่วนอีกคนที่นักข่าวถามถึงเขาตอบหน้าตาเฉยว่า

"เป็น...เป็นเจ้าหน้าที่สนามน่ะครับ แต่อาการปลอดภัยแล้ว"

"ไม่จริง!" ดอกจันพรวดเข้ามายืนฟังทองทิวเถียงเสียงดังลั่น "คนที่บาดเจ็บไม่ใช่เจ้าหน้าที่สนามค่ะแต่ชื่อนายเอื้อ อารี เป็นคนงานของบริษัทไทเกอร์คิงที่ถูกคานทับจนเป็นอัมพาตไงคะ"

ทองทิวจ้องดอกจันตาเขียว แต่ทำอะไรไม่ได้เพราะดอกจันพูดฉอดๆต่อหน้ากล้องทีวี

"นายนักรบไม่อยากจ้างคนพิการอย่างพี่เอื้อก็เลยวางแผน ฆ่าเรื่องก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ" พูดแล้วยกมือท่วมหัวแช่ง "เจ้าประคู้ณ...ขอให้กรรมสนองเถอะ!"

ทองทิวแทบช็อกด่าดอกจันแล้วบอกนักข่าวคนนี้เป็นคนบ้า ประกาศหยุดการให้สัมภาษณ์แล้วขอตัวไปเลย ไม่ไปคนเดียวแต่เอามืออุดปากดอกจันลากไปด้วย ไปทะเลาะกันต่อที่อีกมุมหนึ่งของโรงพยาบาล ดอกจันขู่ทองทิวว่า ถ้าเอื้อเป็นอะไรไปพวกเขาต้องตาย!

ooooooo

อาการของนักรบกับเอื้อผลัดกันดีผลัดกันทรุด แต่ในที่สุดเอื้อก็เสียชีวิต ส่วนนักรบอาการดีขึ้นเป็นลำดับ นายิกาดีใจมากสั่งทองทิวให้เตรียมจัดห้องแถลงข่าวเป็นการด่วนเพื่อให้สื่อ รู้ก่อนตลาดหุ้นปิด

อุ่นใจกับโอ๋และดอกจันหัวใจแทบสลายกับการจากไปของเอื้อ

เวลาเดียวกันนี้ จอมทัพก็มาที่โรงพยาบาลเจอนายิกาก็ถามว่าตนมาช้าไปหรือเปล่า พริบตานั้นเอง นิมมานกับนักคิดในชุดดำกระหืดกระหอบมากัน นิมมานถามพี่สาวว่าคืนนี้ตั้งศพที่วัดไหน

นายิกามองคนทั้งสามอย่างรู้ทัน ยิ้มเยาะแล้วบอกอย่างผู้ชนะว่า

"มากันพร้อมหน้าเลยนะ ก็ดีเหมือนกัน จะได้แจ้งข่าวดีให้ฟังทีเดียว นักรบปลอดภัยแล้ว ฉันกำลังจะไปแถลงข่าวที่บริษัท" แล้วหันทางนิมมาน "แต่เธอกับลูกไม่ต้องตามไปหรอกนะ เกะกะ!"

ระหว่างที่นิมมานกับนักคิดเดินออกมา นักคิดบ่นกับแม่ว่าแบบนี้ที่เราฝันกันมาทั้งคืนก็พังทลายหมดใช่ไหม
พลันเสียงจอมภพก็พูดเย้ยขึ้นว่า

"ก็ถ้ามัวแต่ฝันไม่ยอมลงมือทำ ตื่นขึ้นมามันก็ต้องหายหมดเป็นธรรมดานั่นแหละหลานชาย"

"คุณเป็นใคร" นักคิดหันขวับถามอย่างไม่พอใจ

"จอมภพ ประธานบริษัทฟินิกซ์ เสียใจด้วยนะคะนักรบปลอดภัยไทเกอร์คิงก็คงผงาดเหนือฟินิกซ์ต่อไป" นิมมาน ตอบลูกชายและเย้ยจอมภพ

"อย่าเสียใจแทนผมเลยคุณนิมมาน การแข่งขันมันมีแพ้มีชนะ แต่คุณกับลูกนี่สิ โอกาสจะลงแข่งขันก็ยังไม่มี ไม่รู้ชัยชนะจะมาถึงเมื่อไหร่นะครับ" จอมภพเยาะเย้ยแล้วเดินออกไปเลย

ในการแถลงข่าววันนี้ดารารายแย่งพูดหมดราวกับรู้เรื่องดีทั้งที่เพิ่งจะรู้ทำให้นายิกาไม่พอใจมาก

ในที่สุดตำรวจก็สรุปคดีที่เกิดขึ้นว่า มีพยานยืนยันว่านายเอื้อปีนเข้าไปในสนามเพราะต้องการฆ่าตัวตาย นักรบไม่ผิดอะไร นายิกาเบาใจดีใจที่จะได้หมดเรื่องไป

ooooooo

เพื่อจะสืบให้รู้ว่านายเอื้อคนนี้มีความเป็นมาอย่างไรทำไมจึงเกิดเรื่อง อย่างนี้ขึ้น จอมภพสั่งให้จอมทัพไปงานศพของเอื้อ สืบข่าวนี้ให้ได้เพื่อเอาไว้เล่นงานไทเกอร์คิงต่อไป

พออุ่นใจเห็นพวงหรีดจาก "ฟินิกซ์กรุ๊ป" ก็เดาได้ว่าเป็นบริษัทใหญ่ เธอจำใจรับพวงหรีดไว้ แต่พอไหว้ศพเสร็จ เธอก็บอกจอมทัพว่ากลับไปได้แล้ว แต่ไม่ทันที่จอมทัพจะไป นายิกาก็มาถึงพร้อมกับทองทิว

อุ่นใจออกไปเผชิญหน้าทันทีบอกว่างานนี้ไม่ต้อนรับคุณ จอมทัพตามไปด้วยเขาฟังงงๆ และยิ่งงงเมื่อทองทิวยื่นพวงหรีดให้ อุ่นใจบอกว่า "เก็บเอาไว้แขวนในงานคุณก็แล้วกัน"

"นังเด็กบ้า!" นายิกาผรุสวาท พวกการ์ดก็ขยับจะเข้ามาเอาเรื่อง ทองทิวเข้ามาขวางขอร้องให้ค่อยๆพูดกัน เขาบอกอุ่นใจว่าพวกตนมาดีแล้วควักเช็คช่วยงานจากไทเกอร์คิง นายิการีบพูดว่า

"ไทเกอร์คิงมีมนุษยธรรมพอ ถึงแม้ว่าอุบัติเหตุครั้งนี้ จะเป็นความผิดของพี่เธอที่พยายามจะฆ่าตัวตายจนนักรบต้องเจ็บตัวไปด้วยก็ตาม"

โอ๋แค้นใจกระชากเช็คไปฉีกทิ้งบอกว่าไม่อยากได้เงินสกปรก นายิกาปรี่เข้าไปจะตบ จอมทัพรีบกันไว้ขอร้องว่า "คุณอากลับไปก่อนดีกว่าครับ"

พอนายิกาหันมาเห็นจอมทัพเท่านั้น ฉอดๆใส่ทันทีว่าจอมภพใช้ให้มาสังเกตการณ์ใช่ไหม คิดจะยืมมือพวกนี้เล่นงานไทเกอร์คิงหรือ ไม่สำเร็จหรอกเพราะนักรบไม่ผิด คนผิดคือ

"พี่ขาเป๋ของมันต่างหาก"

ดอกจันไม่ได้ที่มาเรียกเอื้อแบบนั้น ตะโกนให้พวกซอยคนใจดีช่วยกันรักษาเกียรติพี่เอื้ออย่าปล่อยให้มันหยามอีก ตะโกน "ไล่มันไป!"

เท่านั้นเอง ด้วยการนำของโอ๋ พวกเด็กๆคว้าแก้วพลาสติกขว้างปาใส่นายิกากับทองทิวจนหนีไปขึ้นรถแทบไม่ทัน

อุ่นใจมีความรู้สึกดีขึ้นกับจอมทัพที่เขาช่วยกันโอ๋ไว้ ไม่ให้นายิกาทำร้าย อุ่นใจถามว่าเขามางานด้วยเจตนาอย่างที่

นายิกาว่าหรือเปล่า จอมทัพยอมรับว่า

"ผมยอมรับว่าพ่อส่งผมมา แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้ผมมาที่นี่ ผมอยากมาให้กำลังใจคุณด้วย" เขามองหน้าอุ่นใจด้วยแววตาจริงใจจนเธอรู้สึกดีๆกับเขาขึ้นบ้าง

จากนั้นคุยกันถึงเรื่องเอื้อ จอมทัพตั้งขอสังเกตว่าปกติคนที่คิดจะฆ่าตัวตายต้องส่งสัญญาณบางอย่าง บอกอุ่นใจว่า "ถ้าคุณรู้ว่ามันคืออะไร ก็อาจจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น"

"ฉันจะลองคิดดู" อุ่นใจรับฟัง จอมทัพพยักหน้าแล้วเดินคุยกันไปที่รถ โอ๋กับดอกจันเดินตามไปชมว่ารถสวยจัง จอมทัพเลยถามว่าอยากดูไหมจะเปิดให้ดูข้างใน แล้วเปิดประทุนรถให้ดูอย่างเอาใจ

แทนที่จะดูเฉยๆ โอ๋ยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วหันไปตะโกนบอกเพื่อนๆให้เอาขยะมาฝากรถคันนี้ไปทิ้งด้วย เพราะขยะล้นวัดแล้ว ทั้งโอ๋และดอกจันแกล้งจอมทัพอย่างสนุกสนาน จนอุ่นใจหน้าเสียเกรงใจเขา

ooooooo

หลังงานศพเอื้อแล้ว อุ่นใจ ดอกจัน และโอ๋ช่วยกันเก็บกวาดห้องพักของเอื้อ เมื่อแม่นวลถามถึงเอื้อ ทุกคนช่วยกันปิดว่าเอื้อไปทำงานต่างจังหวัดเป็นงานด่วนเลยไม่ทันบอกแม่

ระหว่างจัดเก็บห้องนั้น ไม่มีใครสนใจกล้องวีดิโอที่วางสุมกองกับของอื่นอยู่ จนอุ่นใจหลับฝันไปว่าเอื้อมาบอกว่า

"ไม่ต้องห่วงพี่นะอุ่น พี่หลุดพ้นจากความทุกข์ทุกอย่างแล้ว เหลือก็แต่บางคนที่ยังต้องชดใช้...บาปในใจของเขาจะหลอกหลอนเขาตลอดไปจนกว่า จะถึงวันที่เขาได้เรียนรู้บทเรียนที่พี่ฝากไว้"

พอสะดุ้งตื่น อุ่นใจตีความไม่ออกว่าเอื้อต้องการมาบอกอะไรตน คนที่เอื้อพูดถึงหมายถึงใคร?

ooooooo

นักรบนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จนวันนี้เขาเริ่มรู้สึกตัวกระดิกนิ้วและลืมตาขึ้น พยาบาลดีใจมากรีบไปบอกหมอว่าคนไข้รู้สึกตัวแล้ว หมอรีบมาดูถามว่ามองเห็นพวกเราหรือเปล่า นักรบยังคงมองทุกคนนิ่ง ไม่พูดอะไร หมอสั่งพยาบาลว่า ให้ข้างล่างเตรียมห้องสแกนสมองเดี๋ยวนี้เลย

นายิกาดีใจสุดชีวิตกับข่าวดีนี้รีบไปที่โรงพยาบาลทันที แต่พอไปถึงปรากฏว่านักรบไม่อยู่ในห้อง เลยเป็นเรื่องโกลาหลที่ต้องช่วยกันตามหานักรบจ้าละหวั่น

ปรากฏว่า นักรบออกจากห้องเอกซเรย์ผ่านห้องเด็ก เขาขอให้พยาบาลหยุดตรงห้องนั้น จากนั้นเขาก็เล่นกีตาร์ ร้องเพลงให้เด็กที่ป่วยฟัง แต่ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่มากกว่า พวกผู้ใหญ่พากันมาฟังเพลงและปรบมือชมเชยน้ำเสียงอันไพเราะและการดีดกีตาร์ ที่เพราะพลิ้วของเขา

แล้วความสนใจของนักรบก็ถูกดึงไปที่ทีวีเมื่อผู้สื่อข่าวประกาศอย่างตื่นเต้นว่า

"ท่านผู้ชมคะ ตอนนี้ดิฉันกำลังอยู่หน้าโรงพยาบาล เพื่อเตรียมเข้าฟังการแถลงข่าวของนายนักรบ พยัคฆ์ราชา นักธุรกิจชื่อดังที่ได้รับอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์คว่ำเมื่ออาทิตย์ก่อน ตอนนี้เขารู้สึกตัวแล้วและกำลังจะให้สัมภาษณ์ในไม่กี่นาทีข้างหน้าค่ะ"

ทันใดก็มีพยาบาลเข้ามาบอกเขาว่าครอบครัวเขามาแล้ว พร้อมกับนายิกาโผเข้ามากอดเขาด้วยความดีใจ จากนั้นชวนไปเตรียมแถลงข่าว

อ่านละครย่อเรื่อง สวรรค์สร้าง ตอนที่ 2
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ตอนที่ 2

อ่านละครย่อเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ตอนที่ 2

เวลาไล่เลี่ยกัน เคนขับรถแท็กซี่มาส่งแสงระวีหน้าเรือนจำ หญิงสาวแอบย่องเข้าไปใกล้ๆได้ยินพวกตำรวจคุยกันจึงได้รู้ว่านักโทษกำลังจะเผาเรือนจำ เรื่องนี้ ต้องเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งแน่ๆ แสงระวีคิดได้อย่างนั้น รีบกลับมายังรถแท็กซี่ขอร้องเคนให้ช่วย ทีแรกเคนไม่ยอมช่วย แต่ทนเสียงรบเร้าของแสงระวีไม่ไหว

เคนเข้าไปหลอกล่อจ่าเพิ่มตามแผนของแสงระวี พอพวกตำรวจตามเคนไปอีกด้านหนึ่งของเรือนจำ แสงระวีจึงลัดเลาะหลบหลีกเข้าไปในเรือนจำจนได้...

ด้านในเรือนจำ โรสตั้งสติได้รีบวิ่งตามลิงลม แต่ถูกลิงลมซึ่งดักรออยู่ ชกท้องน้อยอย่างแรงจนสลบคามือ แล้วจับเธอกดลงกับโต๊ะหมายจะลวนลาม สิงห์ถือปืนวิ่งเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน

"ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้...ถอยออกมา ไม่อย่างนั้นฉันยิงแกจริงๆ"

ลิงลมหัวเสีย รอยสักรูปหนุมานเรืองแสงออกมา เขาหันมาทางสิงห์แล้วโบกมือ ท่อนเหล็กที่วางอยู่ใกล้ๆพุ่งเข้าใส่สิงห์ทันที ตำรวจหนุ่มโดดหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมกับยิงปืนสวนกลับ ลิงลมกระโจนหลบกระสุนออกทางหน้าต่าง วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว สิงห์รีบเข้ามาประคองโรสซึ่งหมดสติไปส่งโรงพยาบาล...

ฝ่ายแสงระวีแอบถ่ายภาพเหตุจลาจลภายในเรือนจำไว้ทุกแง่มุม เดินสำรวจไปจนถึงลานว่างข้างเรือนจำ เห็นนักโทษคนหนึ่งท่าท่างมีพิรุธ ด้วยสัญชาตญาณของนักข่าว เธอลอบตามนักโทษคนนั้นไปห่างๆจนมาถึงกำแพงเรือนจำที่สูงตระหง่าน หญิงสาวสงสัยว่าเขาจะหนีออกไปอย่างไร

ทันใดนั้น รอยสักหนุมานที่อกของนักโทษคนนั้นเรืองแสงขึ้น พร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นักโทษคนนั้น ก็คือลิงลมนั่นเอง กระโดดทีเดียวข้ามกำแพงสูงเกือบสิบเมตรได้อย่างชิลด์ๆ แสงระวีตกตะลึงหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพแต่ไม่ทัน รีบวิ่งลัดเลาะไปอีกทางเพื่อตามไปถ่ายภาพเขา...

นอกกำแพงเรือนจำ รถของผู้พันอำนาจ เจ้าพ่อใหญ่ จอดรอลิงลมอยู่ พอลิงลมเปิดประตูรถเข้ามานั่งอำนาจต่อว่าว่าทำไมชักช้า ลิงลมอ้างว่ามีตำรวจเข้ามาเกะกะเลยเสียเวลาไปหน่อย อำนาจไม่พอใจเกรงว่าแผนจะเสีย ลิงลมคุยโม้ว่าไม่มีทางเพราะเขาจัดการคนของอำนาจที่ส่งเข้าไปช่วยเขาเรียบร้อยแล้ว

"แต่ที่จริงผู้พันไม่ต้องส่งคนมาก็ได้ ยังไงผมคนเดียวก็ออกมาได้สบาย"

"มันถูกส่งเข้าไปเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าแกตายในเรือนจำ เพราะงานที่ฉันจะให้แกทำต่อจากนี้เป็นงานสำคัญ ฉันไม่อยากเสียมือดีๆไปอีก"อำนาจสั่งคนขับรถให้ออกรถได้

ขณะคนขับรถของอำนาจจะขับรถออกไป เห็นแสงระวี วิ่งเข้ามาหา ทางกระจกส่องหลัง รีบรายงานเจ้านายว่ามีคนตามมา อำนาจหันไปมอง เห็นหญิงสาวกำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป เขารู้ทันทีว่าเธอเป็นนักข่าว ลิงลมอาสาจะจัดการเอง ลงจากรถตรงเข้าหาเป้าหมาย แสงระวีรู้ว่ามีภัยมา แต่ด้วยวิญญาณนักข่าวหัวเห็ด เธอกดรัวชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปไม่หยุด จนพอใจแล้วจึงหันหลังวิ่งหนี

ลิงลมกระโจนทีเดียวมายืนขวางทางแสงระวีไว้ มองกล้องในมือหญิงสาวอย่างเจ้าเล่ห์ แสงระวีเห็นท่าไม่ดีกอดกล้องไว้แน่น ลิงลมยกมือขึ้นโบก แสงระวีลอยกระแทกกำแพง ก่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ลิงลมหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาทุบทิ้ง แล้วย่างสามขุมเข้าหาหญิงสาว รถของอำนาจถอยมาจอดข้างๆ

"พอได้แล้ว...ทิ้งมันไว้นี่แหละ"

ลิงลมกลับขึ้นรถตามคำสั่งของอำนาจ แสงระวีได้รับบาดเจ็บที่หัว สายตาพร่ามัวมองไปที่ภายในรถ อำนาจหยิบแว่นดำขึ้นมาสวม มองจ้องมาที่หญิงสาวก่อนจะกดกระจกรถปิด แสงระวีหมดสติไปตรงนั้น...

ด้านโรสหรือหมวดรสรินนอนหมดสติอยู่ในห้องพักฟื้น สิงห์เข้ามาเยี่ยมอาการเหลือบเห็นเชือกผูกเสื้อคนไข้หลุด เผยให้เห็นเนินอกขาว ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เขาหันหน้าไปทางอื่นแล้วช่วยผูกเชือกให้ โรสรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็น ร้องเอะอะหาว่าเขาจะลวนลาม จับข้อมือสิงห์บิดอย่างแรง ถึงกับร้องลั่น

"เดี๋ยวๆๆ ผมไม่ได้ลวนลามคุณ เชือกเสื้อคุณหลุด ผมจะช่วยผูกให้เฉยๆ...ผมเป็นตำรวจ...ผมช่วยชีวิตคุณไว้"

โรสไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆบิดแขนสิงห์แรงขึ้นอีก

สิงห์เจ็บมาก ทนไม่ไหวพลิกข้อมือกลับ ล็อกตัวหญิงสาวกดลงบนเตียงแล้วคร่อมตัวกันไม่ให้ดิ้น จังหวะนั้น จ่าเพิ่มเข้ามาเห็นพอดีรีบขอโทษขอโพยเจ้านายที่พรวดพราดเข้ามา สิงห์ปล่อยมือจากโรสรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนถามจ่าเพิ่มเสียงเข้มว่ามีเรื่องอะไร

"เราพบคุณแสงระวีได้รับบาดเจ็บอยู่ข้างเรือนจำ ตอนนี้ ถูกพามารักษาตัวที่นี่ครับ"

สิงห์เป็นห่วงแสงระวีมาก ฝากจ่าเพิ่มช่วยสอบปากคำโรสเพิ่มเติมแล้วผลุนผลันตรงไปยังห้องพักฟื้นของแสงระวีทันที พอเขารู้ว่าเธอไม่เป็นอะไรก็สบายใจ แต่ไม่วายตำหนิหญิงสาวที่ดื้อรั้นแอบตามเขามาจนได้รับบาดเจ็บ แสงระวีโต้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอ เขาน่าจะไปตามจับนักโทษหลบหนีมากกว่ามาอยู่กับเธอที่นี่ และเธอยังเห็นอีกว่ามีรถมารับนักโทษคนนั้น เธอพยายามจะถ่ายรูปพวกนั้น แต่ถูกมันเล่นงานเสียก่อน

สิงห์สีหน้าครุ่นคิด สงสัย โรสซึ่งยืนฟังอยู่หน้าห้องนานแล้ว เข้ามาถามสิงห์ว่านักโทษที่ว่าใช่คนคนเดียวกับที่ทำร้ายเธอหรือเปล่า สิงห์ยังไม่ทันตอบอะไร โรสหันไปถามแสงระวีว่าจำหน้านักโทษคนนั้นได้ไหม แสงระวีเห็นหน้าเขาไม่ค่อยชัด จำได้แค่รอยสักรูปหนุมานที่อกของเขา

"ใช่แน่แล้วค่ะผู้กอง ต้องเป็นนักโทษคนนั้นแน่"

โรสฟันธง

สิงห์กลับหาว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะทางตำรวจพบศพนักโทษคนนั้นถูกไฟคลอกตายอยู่ในเรือนจำ และทางเราก็นับจำนวนนักโทษแล้ว ไม่เห็นมีใครหายไป แสงระวีกับโรสต่างพากันแปลกใจ สักพัก สิงห์กับโรสออกมาคุยกันต่อที่โถงทางเดิน โรสขอบคุณสิงห์ที่ช่วยชีวิตเธอไว้และขอโทษเรื่องที่เข้าใจผิด สิงห์ยิ้มรับคำขอโทษอย่างอบอุ่นจริงใจ โรสใจเต้นไม่เป็นส่ำกับรอยยิ้มนั้น ก่อนขอตัวกลับไปทำรายงาน

ooooooo

ขณะที่เสือขับรถอีแต๋นบรรทุกข้าวสารหลายสิบกระสอบไปขายในโรงสีข้าว มะลิซึ่งนั่งมาข้างๆอยากอวดว่าขับรถอีแต๋นได้ เลยยื้อแย่งพวงมาลัยรถจะมาขับเอง ทำให้รถเสียหลักไถลตกข้างทาง เสือจะจัดการกับรถด้วยตัวเอง แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าทำอย่างนั้น มะลิจะรู้ ความลับเลยออกอุบายให้เธอไปตามคนมาช่วย

เสือรอจนมะลิเดินไปพ้นสายตา ลากรถอีแต๋นขึ้นมาไว้บนถนนอย่างเดิมด้วยตัวเองคนเดียว แล้วขับตามจนทันมะลิ จอดรับเธอขึ้นรถ มะลิแปลกใจว่าเอารถขึ้นจากข้างทางได้อย่างไร

"มีคนผ่านมาพอดี พี่เลยขอให้เขาช่วย"

เสือเกรงมะลิจะถามมากความ รีบตัดบทเร่งให้ขึ้นรถ ไม่นานนักสองพี่น้องมาถึงโรงสีข้าว แต่ถูกผู้จัดการโรงสีกดราคารับซื้อต่ำกว่าเจ้าอื่นที่เอาข้าวมาขาย มะลิโกรธต่อว่าต่อขานเขาเป็นการใหญ่

"ก็ข้าวของพวกแกไม่เหมือนข้าวของคนอื่นเขานี่หว่า ข้าวของพวกแกไม่ได้มาจากกำนันฉ่ำ...ถ้าอยากขายได้ราคาดีๆล่ะก็...โน่น...เข้าไปจังหวัดแล้วกัน เผื่อจะมีคนรับซื้อ" ผู้จัดการผละไปอย่างไม่สนใจ

เสือไม่พอใจมาก แต่ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ รู้แล้วว่าทำไมพวกชาวบ้านถึงต้องขายที่นาให้กำนันฉ่ำ...

ภายในสำนักพิมพ์ฟ้าใหม่ แสงระวีเอารูปถ่ายมาส่งให้พนักงานเรียงพิมพ์ เหลือบเห็นบทความของคอลัมนิสต์ที่ชื่อ ลมใต้ปีก ในหัวข้อ "สมคบคิดกันโกงชาติ ถึงเวลาต้องล้างบาง นักการเมือง" เธอสนใจขึ้นมาทันที ถามพนักงานว่าหนังสือพิมพ์ ฉบับนี้ ตีพิมพ์บทความของลมใต้ปีกด้วยหรือ

"ค่ะ...เพิ่งส่งมาเมื่อเช้านี้เอง...บก.ยังไม่ได้อ่านเลย"

แสงระวีขอยืมไปอ่าน แล้วหยิบต้นฉบับนั้นออกไปนั่งอ่านที่บริเวณมุมสงบ เธอชอบใจกับบทวิจารณ์ที่ดุดันและเต็มไปด้วยความจริงที่ตีแผ่อย่างเจ็บแสบ แสงระวีเห็นธงไทเดินผ่านถึงกับออกปากชมเจ้าของคอลัมน์ให้เขาฟัง ธงไทสีหน้าแปลกใจ หยิบต้นฉบับนั้นขึ้นมาดู

"พ่อว่าคราวนี้เขาเขียนหนักเกินไป สงสัยต้องถอนบทความของเขาออกจากหนังสือ"

แสงระวีคัดค้านหัวชนฝาไม่ให้ถอน พวกเราต้องช่วยกันสนับสนุนลมใต้ปีกถึงจะถูก ธงไทเกรงว่าถ้าลงบทความนี้ อาจจะนำความเดือดร้อนมาให้เราได้ แสงระวียืนยันไม่ว่าอย่างไรต้องลงบทความนี้ให้ได้

"ถ้าพ่อจะตามใจลูก ยอมตีพิมพ์บทความของลม–ใต้ปีก แล้วลูกจะยอมทำตามที่พ่อต้องการได้ไหม"

แสงระวีตอบตกลงโดยไม่ทันคิด กว่าเธอจะรู้ตัวก็สายเกินไป เพราะธงไทยื่นเงื่อนไขให้เธอไปทำข่าวชิ้นอื่นที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเป็น ข้อแลกเปลี่ยน เขาส่งเธอไปทำข่าวเกษตรกรรมที่หมู่บ้านดอนควาย...

ครู่ต่อมา แสงระวีกลับมาเก็บเสื้อผ้ากับสัมภาระจำเป็นใส่กระเป๋าเดินทาง บ่นกับสิงห์ซึ่งตามมาเป็นกำลังใจว่าพ่อของเธอขี้โกง รู้ว่าห้ามเธอตรงๆไม่ได้เลยใช้วิธีนี้แทน สิงห์ไม่ดูทิศทางลมดันมาสารภาพความในใจที่มีต่อเธอตอนที่เธอกำลังอารมณ์บูด แสงระวีไม่ได้คิดอะไรด้วยจึงไม่ได้สนใจ สิงห์ถึงกับหน้าสลด

"พี่สิงห์อย่าลืมเรื่องที่แสงระวีขอร้องให้ช่วยนะ แสงระวีอยากรู้จริงๆว่าลมใต้ปีกเป็นใคร"

"แล้วทำไมแสงระวีไม่ถามคุณอาล่ะ"

"ที่สำนักพิมพ์ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของลมใต้ปีกหรอกค่ะ เขาส่งบทความมาให้เราตีพิมพ์ แต่ไม่เคยให้เรารู้เลยว่าเขาเป็นใคร...นะคะ ช่วยแสงระวีด้วย แล้วกลับมาแสงระวีจะมีรางวัลให้"

"พี่จะลองดู แต่ไม่รับปากนะ" สิงห์ยิ้มให้ แสงระวีพยักหน้ารับรู้ ขึ้นรถสตาร์ตขับออกไป สิงห์มองตามรถของแสงระวี ยิ้มชอบใจ สบายใจที่เธอทำข่าวที่ไม่ต้องทำอะไรเสี่ยงๆอีก

ooooooo

เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่สิงห์คิด แสงระวีเดินทางมาทำข่าวเกษตรที่บ้านดอนควายกลับพบกับเรื่องไม่ชอบมาพากล ชาวนาเกือบทั้งหมู่บ้านเป็นแค่ชาวนารับจ้าง พวกเขาขายที่นาให้นายทุนไปหมดแล้ว แสงระวีถึงกับอึ้ง รีบออกไปหาข่าวที่โรงสีข้าวประจำหมู่บ้าน ด้อมๆมองๆอยู่แถวนั้น จนเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ

เจ้าของรถบรรทุกที่มาขนข้าวสารออกไปจากโรงสีไม่ใช่คนไทย แต่เป็นพวกฝรั่งตาน้ำข้าว แสงระวีหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป แต่ยามโรงสีเข้ามาขวาง สั่งห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด แสงระวีอ้อนวอนขอร้อง
"ไม่ได้ก็บอกไม่ได้...ถ้าไม่ฟัง โดนดีแน่" ยามขู่สีหน้าเอาเรื่อง

แสงระวีรีบเดินเลี่ยงไป แต่พอยามเผลอ เธอแอบถ่ายภาพพวกฝรั่งเอาไว้ได้...

คืนวันเดี่ยวกัน ขณะแสงระวีนั่งพิมพ์ข่าวอยู่หน้าโน้ตบุ๊กภายในบังกะโลที่พัก เธอมองภาพถ่ายพวกฝรั่งที่อยู่ในกล้องดิจิตอลด้วยสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้น สิงห์โทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบ แสงระวีไม่ปริปากบอกเขาถึงเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายอาชีพนักข่าวของเธอให้ฟัง เกรงว่าถ้ารู้ถึงหูพ่อ เธอจะอดทำข่าวชิ้นนี้...

แสงระวีตื่นแต่เช้ารีบแต่งตัวออกไปหาข้อมูลกับชาวบ้านในพื้นที่ ซักถามว่านายทุนที่มากว้านซื้อที่นาไปจากชาวบ้านเป็นใคร ป้าชาวบ้านหน้าเสีย รีบบอกปัดไม่อยากพูดถึง

"ป้าไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ฉันสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยแหล่งข่าว"

ป้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดชื่อกำนันฉ่ำกับศรลูกชายของกำนันฉ่ำ แสงระวีซักอีกว่ายังมีที่นาของใครอีกบ้างที่ยังไม่ถูกกว้านซื้อ ได้ความว่าเหลือบ้านของเสือคนเดียวเท่านั้นที่กล้าต่อสู้กับอิทธิพลมืดของ กำนันฉ่ำ จากนั้นแสงระวีรีบบ่ายหน้า ไปหาเสือ ถามชาวบ้านไปตลอดทางว่าบ้านของเสืออยู่ไหน

"บ้านบักเสืออยู่โน่น...เดินลัดทุ่งออกไปก็เจอแล้ว"

แสงระวีเดินไปตามทิศทางที่ชาวบ้านชี้ พวกชาวบ้านพากันตั้งข้อสังเกตว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นเมียของเสือที่มาตามหา ผัว ดอกสร้อยเดินมาได้ยินชาวบ้านคุยกันพอดี รีบเข้ามาถามด้วยความสนใจ...

ด้านแสงระวีเดินมาตามคันนาแต่ไม่เห็นบ้านใครสักหลัง กวาดตามองไปรอบบริเวณมีแต่ความว่างเปล่า แดดเริ่มร้อนขึ้นทุกที ทันใดนั้น เธอเห็นควายตัวหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาหา ตกใจร้องลั่น

"ช่วยด้วย...ควายไล่ขวิด...ช่วยด้วย"

แสงระวีไม่รอช้า หันหลังกลับวิ่งหนี ควายบุญลือไล่ตามไม่ลดละ แสงระวีเสียหลักตกจากคันนาลงไปในปลักโคลน บุญลือหยุดมองหญิงสาวที่ลุกขึ้นมาในสภาพตัวเปรอะโคลนมอมแมม เสือตามบุญลือมาเจอคนแปลกหน้าล้มลุกคลุกคลานอยู่ในปลักโคลน ร้องถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

"ฉันขึ้นไม่ได้...ช่วยฉันขึ้นไปหน่อย"

เสือหยิบไม้ท่อนยาวๆยื่นลงไปให้ บอกหญิงสาวจับไม้แน่น เดี๋ยวเขาจะดึงเธอขึ้นมาเอง มือของหญิงสาวเปื้อนโคลนเลยจับไม้ไม่แน่น พลาดลื่นตกลงไปในปลักโคลนอีก เสือยื่นไม้ให้อีก แต่ยังไม่ทันตั้งหลักหญิงสาวออกแรงดึงไม้ เสือถึงกับหัวทิ่มล้มทับเธอเต็มๆ เลอะโคลนไปด้วยกันทั้งคู่...

ระหว่างที่เสือพาแสงระวีซึ่งขาเจ็บนั่งซ้อนบนหลังบุญลือ มาตามทางลูกรัง บุญลือเดินๆหยุดๆทำให้หน้าอกของแสงระวีกระแทกหลังชายหนุ่มเป็นระยะๆ แสงระวีโมโหมากคิดว่าเสือแกล้ง ยิ่งได้รู้ว่าเขาจะพาเธอไปบ้านของเขา เธอเลยลงจากหลังควายจะเดินเอง แต่พอทิ้งน้ำหนักลงเท้า เธอเจ็บแปล๊บแทบยืนไม่ได้

เสือมองอย่างรู้ทัน "พอบอกว่าจะพาไปบ้าน คุณก็เลยกลัวผมจะพาคุณไปทำอะไรใช่ไหม"

"เปล่าเสียหน่อย ฉันมีธุระกับเพื่อนฉัน...ฉันนัดเขาไว้เดี๋ยวเขาจะรอ"

เสือแปลกใจ ถามว่ารู้จักคนในหมู่บ้านนี้ด้วยหรือ เป็นใครกัน เผื่อเขารู้จักจะได้พาไปส่ง พอแสงระวีบอกว่ามาหาเพื่อนชื่อเสือ ลูกแม่พุ่ม เสือถึงกับชะงัก แสงระวีสงสัยว่าทำไมเขานิ่งไปมีอะไรหรือเปล่า

"เปล่าไม่มีอะไรหรอกครับ บ้านบักเสืออยู่ข้างหน้านี่เอง ผมพาไปส่งได้"

แสงระวีไม่ไว้ใจเขา เลยเดินกะเผลกๆไปเอง เสือมองตามหญิงสาว สงสัยว่าเธอจะมาไม้ไหน...พักใหญ่กว่าแสงระวีจะมาถึงบ้านเสือ ตะโกนเรียกเสืออยู่หน้าบ้าน ไม่เห็นมีใครขานรับ เธอตัดสินใจเดินเข้าบ้านกวาดตามองหา ไปทั่ว เห็นผู้ชายคนเมื่อกี้ยืนอาบน้ำนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวอยู่ข้างตุ่มน้ำ

แสงระวีโวยวายลั่นว่าเขามาทำอะไรที่นี่ เสือตอบกวนๆว่าอาบน้ำอยู่ไม่เห็นหรือ แถมชวนเธอมาอาบน้ำล้างโคลนด้วยกัน แสงระวีโกรธ โทษว่าที่เธอต้องสกปรกมอมแมมแบบนี้เป็นเพราะควายของเขา

"ควายมันเห็นคนแปลกหน้าดูท่าทางไม่น่าไว้ใจมันก็ไล่ขวิดเอา สัญชาตญาณสัตว์ไปว่าไม่ได้หรอก"

"ฉันเนี่ยนะไม่น่าไว้ใจ นายต่างหากล่ะที่ไม่น่าไว้วางใจ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เห็นฉันไม่ใช่คนแถวนี้เลยโกหกว่านี่เป็นบ้านเพื่อนฉัน คิดจะหลอกฉันมาปล้ำใช่ไหม"

เสือหัวเราะขำกลิ้ง "อย่างคุณเนี่ย ผมว่าดูเขาผสมเทียมควายสนุกกว่าตั้งเยอะ"

แสงระวีด่าสวนทันทีว่าไอ้บ้า แล้วปรี่จะเข้าไปชกหน้าเสือ ไม่ดูตาม้าตาเรือเหยียบก้อนสบู่ที่พื้นเสียหลักจะล้ม เสือรีบเข้าไปประคอง พลอยเสียหลักลื่นล้มไปด้วยกัน ในสภาพเสือนอนทับบนตัวหญิงสาว จังหวะนั้นดอกสร้อยเข้ามาเห็น กรี๊ดสนั่น หาว่าเสือนอกใจ เสือปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไร

"เห็นอยู่ตำตาแบบนี้ยังบอกว่าไม่ทำอะไรอีก ทำไมพี่เสือไม่บอกฉันว่าพี่เสือมีเมียแล้ว"

แสงระวีเพิ่งรู้ตัวว่าโดนเสือหลอก โกรธจัด ตรงเข้าถีบยอดอกเขากระเด็นลงไปกองกับพื้น ผ้าขาวม้ากับคนอยู่กันคนละทิศละทาง แสงระวีกรีดร้องลั่นที่เห็นเสือโป๊รีบเอามือปิดหน้าปิดตา ขณะที่ดอกสร้อยจ้องมองเขาไม่วางตา เสืออับอายมาก คว้าผ้าขาวม้ามาปิด แล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน

ooooooo

หลังจากแสงระวีอาบน้ำล้างคราบโคลนออกหมด ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่มะลิเอามาให้ มะลิขอโทษแสงระวีแทนพี่ชายตัวเอง อ้างว่าที่เสือต้องโกหกเพราะอยากรู้ เหตุผลว่าทำไมเธอถึงแต่งเรื่องว่าเป็นเพื่อนกับเขาดอกสร้อยพูดแทรกขึ้นทันที ว่าแสงระวีมีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือเปล่าถึงต้องถ่อมาหาเสือถึงที่นี่

"ฉันมีธุระกับนายเสือ ไม่ได้มีธุระกับคุณ"

"แต่ฉันเป็นแฟนพี่เสือ ถ้าเธออยากคุยอะไรกับเขา บอกผ่านฉันก็ได้" ดอกสร้อยโต้ไม่ยอมแพ้

มะลิต้องปรามเพื่อนให้ใจเย็นๆแสงระวีคงมีธุระสำคัญกับพี่เสือจริงๆ แสงระวีพยักหน้า ก่อนแสดงตัวว่าเธอเป็นนักข่าวมะลิกับดอกสร้อยหันมองหน้ากันงงๆ...

ทันทีที่เสือเห็นหน้าแสงระวีชัดๆโดยไม่มีคราบโคลนมาปิดบัง เขาจำได้ว่าเธอคือนักข่าวซึ่งเขาช่วยออกมาจากค่ายของนายพลเล่าสือ เผลอหลุดปากทัก

"อ๋อ...คุณนั่นเอง...นักข่าวหัวเห็ดคนนั้น"

แสงระวีแปลกใจที่เสือทำท่าเหมือนรู้จักเธอ เสือรีบกลบเกลื่อนว่ารู้จักเธอจากคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์แล้วเปลี่ยนเรื่อง พูด ถามว่ามาตามหาเขาทำไม แสงระวีต้องการสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับกรณีต่างชาติจ้องยึดที่นาคนไทยโดยมี กำนันฉ่ำกับลูกชายเข้ามาเกี่ยวข้อง และเธอยังได้ยินมาอีกว่า เขากำลังต่อสู้เรื่องนี้อยู่

เสือมองหญิงสาวอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เดินเลี่ยงจะเข้าบ้าน แสงระวีตามติด มะลิกับดอกสร้อยยืนฟังอยู่ไม่ห่าง แสงระวีพยายามตื๊อเสือให้ยอมให้ข้อมูลกับเธอ แต่เสือบอกปัดว่าไม่อยากยุ่งกับพวกนักข่าว ไม่อยากทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องเดือดร้อน

"ฉันสัญญา...ฉันจะปกปิดแหล่งข่าว จะไม่ให้ใครรู้ว่าฉันได้ข้อมูลมาจากนาย"

"ทั้งดอนควายมีครอบครัวผมครอบครัวเดียวที่กำลังมีปัญหากับพวกนั้น ถ้าข่าวของคุณถูกตีพิมพ์ไอ้พวกนั้นมันไม่โง่หรอกคุณนักข่าว...คุณกลับไปได้ แล้ว แล้วก็อย่าไปยุ่งกับพวกกำนันฉ่ำ เพราะที่นี่กล้องถ่ายรูปกับปากกาของคุณมันช่วยปกป้องคุณไม่ได้" เสือเตือนด้วยความหวังดี

มะลิเข้ามาช่วยขอร้องเสืออีกแรง แต่ไร้ผลเสือไม่ยอมช่วย เดินหนีไปหน้าตาเฉย แสงระวีจะตามดอกสร้อยเข้ามาขวาง บอกแสงระวีให้กลับไปได้แล้ว อย่ามาเซ้าซี้อะไรเสืออีก แสงระวีไม่รู้จะทำอย่างไรจำใจเดินออกไป มะลิรีบตามมาขอโทษ ที่ช่วยอะไรแสงระวีไม่ได้

"ไม่เป็นไร ถ้าเขาอยากดื้อให้เขาดื้อไป พี่จะหาทางของพี่เอง"

"มะลิพอจะช่วยอะไรพี่สาวได้บ้าง"

แสงระวีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ถ้ามะลิช่วยพี่ บางทีพี่อาจจะได้ข้อมูลจากทางพวกกำนันฉ่ำ"

มะลิชะงัก เท่าที่ฟังแผนการของแสงระวีแล้ว น่าจะมีอันตรายไม่น้อย

ooooooo

ระหว่างที่มะลิเอาสำรับกับข้าวมื้อกลางวันมาให้เสือกินที่เพิงท้ายนา เธอยังพยายามเกลี้ยกล่อมเสือให้เปลี่ยนใจยอมช่วยแสงระวี เสือขอร้องให้เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ยอมตกเป็น เครื่องมือของแสงรวีเด็ดขาด ทันใดนั้นมีเสียงพูดดังขึ้น

"ไอ้เสือ...ขอข้าวเหนียวสักปั้นสิวะ กำลังหิวเลย"

เสือหันไปมองตามเสียง เห็นคนแบกเป้ยืนยิ้มหน้าบาน เสือร้องทักด้วยความแปลกใจว่าลมอะไรหอบเคนมาถึงที่นี่ หรือว่าที่กรุงเทพฯไม่มีงานให้ทำ เคนคุยฟุ้งว่าได้งานขับแท็กซี่ แต่ดันซวยไปมีเรื่องกับตำรวจ เถ้าแก่เจ้าของอู่เลยให้พักงานชั่วคราว เสือสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกับตำรวจ

"เรื่องมันยาวไว้เล่าให้ฟังทีหลัง แต่ที่ข้ามาหาเอ็งเพราะได้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับจ่าผาดจะมาบอก...จ่าผาดเป็น มะเร็ง ตอนนี้ลาออกจากทหารแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน พรรคพวกที่ค่ายบอกว่าจ่าเขาฝากจดหมายไว้ให้เอ็ง" เคนหยิบจดหมายของจ่าผาดมายื่นให้ เสือมองจดหมายในมือเคนอย่างใจหาย...

จ่าผาดตกใจแทบช็อกเมื่อได้ยินหมอบอกว่าเขาเป็นโรคร้ายแรงจะอยู่ได้ไม่เกิน สามเดือน จ่าผาดต่อรองกับหมอว่าพอจะมีเส้นทางให้เขาอยู่ได้นานกว่านี้ไหมเพราะเขายัง มีเรื่องสำคัญต้องทำ หมอได้แต่ส่ายหน้า จ่าผาดถอนใจ หนักใจ เดินหน้าเครียดออกมาจากห้องตรวจ รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่

จ่าผาดกวาดตามองไปรอบๆห้องโถงของโรงพยาบาล เห็นไอ้ลิงลมยืนจ้องอยู่ ทำท่าเอามือปาดคอยิ้มแสยะให้ จ่าผาดถึงกับชะงัก แต่พอมองไปอีกทีลิงลมหายตัวไปแล้ว จ่าผาดเดินตามหาก็ไม่เจอ เขารู้ทันทีว่าภัยกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้... ในเวลาต่อมาจ่าผาดกลับถึงบ้านรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว

"เอ็งต้องการอะไรจากข้า...ไอ้ลิงลม"

ลิงลมเดินออกมาจากห้องข้างๆยิ้มกวนโอ๊ย แดกดันว่าขนาดใกล้ตาย หูตาของจ่าผาดยังว่องไวเหมือนเดิม จ่าผาดต่อปากต่อคำว่าไม่เพียงหูตาเท่านั้นที่ไวมือตีนของเขาก็ไวเช่นกัน ว่าแล้วจ่าผาดหันไปคว้าเก้าอี้ไม้ใกล้ตัวเหวี่ยงใส่ลิงลม ลิงลมยืนนิ่ง ยกเท้าเตะสะกัด เก้าอี้พังกระจุยก่อนถึงตัว

"สงสัยไอ้มะเร็งที่มันอยู่ในตัวจ่า คงทำให้ฝีมือจ่าถดถอย ถ้างั้นวันนี้เชิงมวยโคราชโบราณที่จ่าภูมิใจนักหนา มันคงต้องสิ้นชื่อแน่" ลิงลมพูดเสร็จ กระโจนใส่

จ่าผาดเบี่ยงตัวหลบ แล้วอัดศอกใส่ลิ้นปี่ลิงลม ก่อนจะพุ่งตัวหนีออกทางหน้าต่าง ลิงลมไม่รอช้าไล่ตามไปติดๆจ่าผาดเจ็บแน่นหน้าอกจนต้องหยุดพัก ลิงลมโดดมาขวางหน้า จ่าผาดฮึดสู้ ตั้งการ์ดด้วยเชิงมวยโคราช ทั้งสองเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลิงลมประมาทคิดว่าอาการป่วยจะทำให้จ่าผาดกำลังถดถอย

แต่ที่ไหนได้ ประสบการณ์เชิงมวยของจ่าผาดกลับทำให้เขาได้เปรียบ ใช้หมัดเขวี้ยงควายอัดเข้ากลางอกลิงลมกระเด็นไปหลายสิบเมตร กระแทกต้นไม้ลงมานอนแน่นิ่ง จ่าผาดออกแรงไปมากถึงกับเหนื่อยหอบ ค่อยๆเดินมาดูสภาพไม่ไหวติงของลิงลม ก่อนผละจากไป ไม่นานนัก ลิงลมรู้สึกตัว กระอักออกมาเป็นเลือด

"หมัดเขวี้ยงควาย...กูจะตามจองล้างจองผลาญมึง" ลิงลมเข่นเขี้ยวด้วยความแค้น...

ด้านเคนรอจนเสืออ่านจดหมายของจ่าผาดจบ จึงถามว่าจ่าผาดว่าอย่างไรบ้าง เสือเล่าว่าจ่าผาดต้องการเขาไปเป็นลูกศิษย์เพื่อถ่ายทอดเชิงมวยโคราช เนื่องจากแกไม่มีใคร

สืบทอดเกรงเชิงมวยที่ว่าจะสาบสูญ แต่เสือไม่ต้องการเรียนเชิงมวย เขาอยากเป็นชาวนาธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น

"แต่มันก็น่าสนใจนะเว้ย ฝึกไว้เป็นรายได้เสริม ชกมวยหาเงินก็ได้ แล้วอย่างมึงเนี่ย ดีไม่ดีมีสิทธิ์เป็นถึงแชมป์แบบจ่าเขาเลย"

"บอกแล้วไง พลังข้าวเหนียวของข้า ไม่ได้มีไว้ทำให้คนอื่นเจ็บ"

"เออๆๆๆ...ตามใจ จะปล่อยให้จ่าแกตายไปพร้อมกับวิชาความรู้ของแกก็เรื่องของเอ็ง...เป็นข้า หน่อยไม่ได้ สมรักษ์ คำสิงห์ โดนซัดหมอบแน่" เคนบ่นอุบ ขณะที่เสือสีหน้าครุ่นคิด นึกเป็นห่วงจ่าผาด

ooooooo

แสงระวีนอนหลับอยู่ในห้องพัก ฝันเห็นภาพในอดีตเมื่อครั้งที่เธออายุเพียง 12 ขวบ ปริมแม่ของเธอกำลังทำแผลให้เธออย่างห่วงใย แสงระวีกลัวแสบแผล ถอยหนีไม่ยอมให้แม่ใส่ยา ปริมเคยสอนไว้แล้วใช่ไหมว่าถึงลูกจะเป็นแค่เด็กผู้หญิง แต่ต้องหัดเข้มแข็งอดทน เพราะคนที่ทำตัวอ่อนแอมักจะถูกกลั่นแกล้ง

"หนูจำได้ค่ะแม่ แต่หนูกลัว"

"แต่ถ้าหนูเอาชนะความกลัวได้ครั้งหนึ่ง...ครั้งต่อไปหนูก็จะไม่กลัวอีกนะ"

แสงระวีทำตามที่แม่สอน ยอมให้ใส่ยาโดยดีทั้งๆที่แสบแผลจนน้ำตาร่วง ปริมมองลูกสาวอย่างภูมิใจ จังหวะนั้น มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ปริมดีใจ คิดว่าธงไทกลับจากทำงาน กระวีกระวาดไปเปิดประตูรั้ว แต่ต้องช็อกแทบสิ้นสติ เมื่อสมุนของอำนาจสองคนเข้ามาล็อกตัวเธอไว้ อำนาจเดินออกจากเงามืดเข้ามาหา

"ไง...ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหม ต่อให้หนีไปสุดหล้า ฟ้าเขียว ฉันก็ตามแกเจอ หลักฐานของฉันอยู่ไหน"

"ฉันทำลายหลักฐานของแกทิ้งไปหมดแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน"

อำนาจไม่เชื่อ จิกหัวปริมขึ้นมา "ฉันรู้ทันแกหรอก แกหอบเอาหลักฐานที่จะส่งฉันเข้าคุกหนีมา เพราะคิดว่าจะใช้มันช่วยผัวตัวเองให้ได้ดีในวงการตำรวจใช่ไหม"

อ่านละครย่อเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ตอนที่ 2
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง เพลงรักริมขอบฟ้า ตอนที่ 11

อ่านละครย่อเรื่อง เพลงรักริมขอบฟ้า ตอนที่ 11
แล้วสายวันรุ่งขึ้น เบนก็หอบกระเป๋าใบใหญ่ลงมาจากชั้นบน น้ำตาลแปลกใจ ถามพี่เบนจะไปไหน เบนตอบเสียงแข็งว่าไปนอนออฟฟิศ...ความแปลกใจของน้ำตาลเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ ทันที เธอพุ่งเข้ามาคว้ากระเป๋าในมือเขา

"ไปไม่ได้นะคะ"

"คุณไม่มีสิทธิ์มาห้ามผม"

"ใช่สิ น้ำตาลไม่ใช่พี่ดานี่คะ"

"คุณดาไม่เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้"

"เกี่ยวสิคะ พี่เบนไปเพราะไม่พอใจที่น้ำตาลทำให้พี่ดา เข้าใจผิด แล้วยังเรื่องเมื่อคืนอีก"

"คุณเป็นคนทำให้คุณดาไป ไม่ใช่ผม"

อ่านละครย่อเรื่อง เพลงรักริมขอบฟ้า ตอนที่ 11
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง สาวใช้ไฮเทค ตอนที่ 17

อ่านละครย่อเรื่อง สาวใช้ไฮเทค ตอนที่ 17
ทานอาหารเสร็จ เรืองรินหิ้วถุงอาหารเดินตาม นลมาที่ห้องทำงานของนิยา เพราะว่านิยาไม่ไปตามนัด นลยังเอ็ดตะโรใส่เรืองรินให้บอกความจริงมาทุกเรื่องที่โกหกเขา

เรืองรินโอดโอย "รินทำไปเพราะความจำเป็นนะคะคุณนล"

"ยอมรับแล้วสิว่าเธอโกหกฉันมาตลอด"

"ก็บอกแล้วไงคะว่ารินจำเป็น"

"แล้วเรื่องนายศักดิ์ชัย เธอจำเป็นอะไรที่ต้องไปคบมัน"

เรืองรินตกใจที่นลเห็นว่าศักดิ์ชัยมาส่งเธอเมื่อคืน แต่ก็ถือว่าดี "ดีแล้วล่ะค่ะ รินกำลังอยากถามคุณนลอยู่เลยว่าคุณคบเค้ามานานแล้วเหรอคะ"

"เพื่อนสมัยเรียน ถามทำไม?"

เรืองรินทำหน้าไม่อยากเชื่อ นลเข้าใจไปว่าเรืองรินสนใจศักดิ์ชัยถึงขั้นมาถามประวัติกับเขา เรืองรินไม่ทันคิดพูดออกไปว่า "ค่ะ สนใจมากๆเลยล่ะ"

"ทีงี้ล่ะพูดความจริงเชียวนะ เพลย์บอยอย่างไอ้ศักดิ์ชัยน่ะ อย่างมากมันก็เห็นเธอเป็นของเล่น รู้ไว้ซะด้วยยัยสาวใช้" นลหึงตบโต๊ะเปรี้ยงแล้วเดินงอนออกไป

"โห...ด่าเป็นชุดแล้วเดินหนี ไม่เจ๋งนี่หว่า" เรืองรินไม่เข้าใจ ยังครุ่นคิดเรื่องของศักดิ์ชัย...

เมื่อเห็นดนุเดินหน้าเครียดออกมาจากร้านอาหาร

นิยาจึงเดินตามไปตลอดทางจนเห็นว่าเขาอารมณ์ดีขึ้น จึงถาม "คุณดนุสบายใจขึ้นรึยัง"

"ชาแล้วมังครับ" ดนุยิ้มเนือยๆก่อนจะถามว่าวันนี้นิยา มาแปลก

นิยางงว่าแปลกตรงไหน ดนุจึงตอบว่า วันนี้นิยาไม่ เกลี้ยกล่อมให้เขาคืนดีกับเรืองรินเหมือนทุกครั้ง นิยาทำหน้าเหยเกยอมรับ "หมดหนุกน่ะค่ะ...มันก็จริงนี่คะ คนอื่นเค้าชักแม่น้ำทั้งห้า แต่นิเนี่ยชักมาจะพันแล้ว...หมดแรงค่ะ"

ดนุหัวเราะท่าทางนิยา "ถ้าผมไม่มีคุณนิยา ผมจะเป็นยังไงเนี่ย..."

"ขอบคุณนะครับ" นิยาชิงพูดขึ้นก่อน "นิรู้ค่ะว่าคุณจะพูดคำนี้ แต่วันนี้นิขอไม่รับคำขอบคุณนะคะ เปลี่ยนเป็นพานิไปช็อปปิ้ง"

"ช็อปปิ้งเนี่ยนะ!"

"ไม่เคยได้ยินเหรอคะว่าผู้หญิงเนี่ยเวลาเครียดๆแล้วได้ช็อปปิ้ง อาการเครียดก็จะหายวับไปเลย"

"แล้วตกลง ผมหรือว่าคุณนิยาที่เครียด?" ดนุชักไม่แน่ใจ

"คุณดนุเครียด แต่นิอยากช็อป ไปค่ะ...ถ้าไม่หายเครียด นิให้เตะก้นพี่นล"

ดนุหัวเราะอย่างอารมณ์ดีขึ้น นิยาควงแขนเขาไป เธอพาเขาเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ ลองเสื้อผ้าหลากหลาย ดูทั้งสองสนิทสนมรู้ใจกันมากขึ้น

ooooooo

อดทนจนวันใหม่ รมณีหวังว่าเกสรคงไปพ้นจากบ้านเธอแล้ว แต่ที่ไหนได้ ทั้งสองกลับนอนใกล้ชิดกันมากขึ้น จนเธอต้องเอาน้ำมาสาดไล่ให้ทั้งสองคนตื่นขึ้นมา เกสรตาลีตาเหลือกกลับไป...ขณะที่รมณีนั่งรถศักดิ์ชัยมาด้วยกัน เธอยังต่อว่าเขาเรื่องเกสรไม่หยุด ศักดิ์ชัยอธิบายแล้วว่าเจอกันโดยบังเอิญ และเกสรเมาหลับ เขาไม่รู้จักบ้านจึงพามานอนที่นี่

"โฮ้ย รำคาญจริงๆเลย เลิกพูดเรื่องนี้ซะทีได้มั้ย มาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าวันนี้จะหาเงินส่งดอกไอ้เฮียแมนมันยังไง"

รมณีให้ขอเลื่อนไปสองสามวัน แต่ศักดิ์ชัยเห็นแหวนที่นิ้วรมณี จำได้ว่าเป็นแหวนที่นลซื้อให้สมัยยังเรียนกันอยู่ จึงบอกให้เธอเอาไปขายเอาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยก่อน รมณีลังเลเพราะที่เธอใส่เพื่อให้นลเห็น แต่ศักดิ์ชัยต้องการเงิน จึงแกล้งทำเป็นหึงที่เห็นเธอยังใส่แหวนของนล...ศักดิ์ชัยมาจอดรถที่หน้าร้านทองให้รมณีลงไปขายแหวน รมณีอิดออด ศักดิ์ชัยจึงยื้อถอดแหวนจากนิ้ว แหวนหล่นกลิ้งไปกลางถนน รมณีวิ่งตามไปเก็บ พอดีมีมอเตอร์ไซค์วิ่งมาด้วยความเร็ว จึงเฉี่ยวเธอล้มกลิ้งขณะที่เธอก้มเก็บแหวน...

พอช็อปปิ้งกันจนเหนื่อย ดนุกับนิยาก็มานั่งทานไอศกรีมด้วยกัน ดนุยอมรับว่าใครอยู่ใกล้นิยาแล้วหายเครียด นิยาทำหน้าฉงน "อ้าว ตกลงที่นิหอบแฮกๆพาคุณเข้าร้านนี้ออกร้านโน้นเนี่ยไม่เกี่ยวเลยงั้นสิ หึม...เสียเวลานะเนี่ย"

ดนุถอนใจ "ตราบใดที่รินยังเป็นสาวใช้ของคุณนล ผมก็ต้องเห็นภาพที่ผมไม่ชอบอยู่วันยังค่ำ ทางเดียวที่จะแก้ปัญหา ผมว่า...ผมควรจะอยู่ห่างเรื่องวุ่นๆทั้งหมด"

"นิได้ยินว่าคุณจะยกเลิกสัญญากับดราก้อนมอลล์...หนีปัญหาไปแล้วได้อะไรล่ะคะ"

"อย่าเรียกว่าหนีเลยครับ ผมละอายใจมากกว่า ที่เคย

ทำไม่ดีไว้กับคุณนล เพราะความหึงหวงแท้ๆ"

"แต่แปลกนะคะ นิกลับไม่เคยเห็นพี่นลพูดถึงคุณดนุไม่ดีเลย แสดงว่าพี่นลไม่ได้ติดใจอะไรหรอกค่ะ"

ดนุฟังอย่างประหลาดใจ นิยาบอกอีกว่าถึงนลจะดูขวางๆแต่จริงๆแล้ว นลเป็นคนเข้าใจคนอย่างสุดยอด ดุขนาดไหนลูกน้องก็รักทุกคน ดนุเองก็รู้สึกเช่นกัน จึงรู้สึกผิดมากขึ้น นิยาแนะนำให้ไปปรับความเข้าใจกับนล...

กลับมานั่งทำงานที่โต๊ะ ดนุตรวจงานในโน้ตบุ๊ก พบว่าเอกสารรับประกันถูกส่งไปให้ลูกค้าแล้ว ทั้งที่เขายังเขียนสเปกงานไม่ครบ ลูกน้องรายงานว่า

"ลูกค้าช่วยเขียนให้ แล้วก็เซ็นรับเองเรียบร้อยครับ"

"ลูกค้า!" ดนุงงว่าใคร

"คุณนล...ท่านประธานน่ะครับพี่ เห็นหน้าแกดุๆแต่กลายเป็นใจดี ช่วยแก้งานให้เราเฉยเลย" ลูกน้องชมนลเปาะ

ดนุฟังแล้วนิ่งอึ้ง พอดีเห็นนลเดินดูงานอยู่ จึงตัดสินใจตรงไปหานล พอนลเห็นดนุกลับชวนคุยเรื่องงาน "ผมว่าตรงนี้ถ้าเป็นงานไม้น่าจะดูวอร์มกว่านะ หรือคุณดนุว่าไงครับ"

"อ๋อครับ...ทีแรกผมก็เสนอไปอย่างนั้น แต่คุณนิยาเธอขอมาน่ะครับ ว่าอยากได้สีสันของอะคริลิก"

"อืม...งั้นเหรอ รสนิยมผมคงแก่ไป หึ...หึ..."

ดนุอึดอัดใจจนทนไม่ไหว ต้องขอบคุณนลที่ช่วยเขียนข้อมูลในเอกสารแทนเขา นลนึกอยู่สักพักจึงนึกได้แล้วบอกดนุว่ามันก็เป็นงานของเขาเหมือนกัน ดนุเห็นแววตาที่จริงใจของนล

ทั้งสองหันมานั่งดื่มกาแฟคุยกันอย่างเคย นลถามดนุว่าผ่อนคลายขึ้นบ้างไหม

"ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคุณนิยาถึงบอกว่าคุณนล

เป็นคนเข้าใจคน"

"แอบนินทาผมให้คุณฟังซะด้วย หึๆ ยัยน้องตัวดี"

"ผมเองซะอีกที่เคยมองคุณนลผิดไป"

"เรื่องยัยรินตัวแสบ ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องมันแล้ว ไปแล้ว บางทีผมนึกอิจฉายัยรินนะ ที่มีคนดีๆอย่างคุณดนุมาสนใจ ไหนจะแฟนเก่าคุณเธออีกเป็นขบวนนะ คุณเชื่อมั้ย"

"อ้าว...เม้าท์ผู้หญิงซะแล้วท่านประธานของเรา"

"ที่พูดนี่หวังดีกับคุณนะ ยัยรินน่ะ ไม่ธรรมดา ยัยนิยาของผมน่ะน่ารักกว่าตั้งเยอะ"

"อ้าว...ไหงวกไปหาคุณนิยาได้ล่ะครับ คิดจะกำจัดคู่แข่งอย่างผมน่ะ ไม่ง่ายหรอกนะครับ"

นลหัวเราะที่ดนุรู้ทัน สองหนุ่มหัวเราะเฮฮาอย่างคนเข้าใจกัน...

ooooooo

เย็นวันนี้ เรืองรินซื้อคุกกี้เจ้าอร่อยมาเป็นอาหารว่างให้ยายชื่นและทุกคน ต่างชมว่าอร่อยยกเว้นกนกวรรณที่ไม่ยอมกิน เรืองรินลืมตัวพูดไปว่าขนมเจ้าอร่อยนี้เธอซื้อเป็นประจำตั้งแต่สมัยเรียน นิยากับยายชื่นรีบกระแอมให้เรืองรินรู้ตัว นลสะดุดหูรีบถามว่าเรียนที่ไหน เรืองรินหน้าเหยรู้ตัวว่าหลุดปาก นิยารีบช่วยพูดขึ้นว่าเธอชอบขนมนี่ วันหลังให้ซื้อมาอีกไม่ต้องเสียเวลาทำยายชื่น เห็นด้วย

นลมองเรืองรินอย่างจับผิด จึงแอบกดข้อความส่งเข้ามือถือเธอ...เรืองรินเห็นกนกวรรณเอาแต่จิบชาจึงแกล้งถามว่าจะรับอย่างอื่นไหม กนกวรรณสะดุ้งเผลอพูดไปว่าไม่กล้ากิน นลจึงถามว่ากลัวอะไร อ่อนแกล้งพูดว่ารับรองขนมไม่มียาพิษ เธอชิมแล้ว

"รู้ได้ไงยะว่าฉันกลัวนังรินมันใส่ยาพิษ อุ๊บ!" กนกวรรณรับเอามือปิดปาก

"เฮ้อ...หาเรื่องเอาชนักมาติดหลังแท้ๆ" ยายชื่นแกล้งเปรย

กนกวรรณมองยายชื่นงอนๆ เรืองรินเอาใจจะไปให้

ป้าบัวทำอย่างอื่นมาให้ กนกวรรณทำเชิดหน้าแต่ไม่ปฏิเสธ พอเรืองรินจะเดินออกไป มือถือเธอสั่น เรืองรินกดดูเห็นข้อความจากนลว่าให้ไปเจอที่โรงรถ จึงหันมาถามนล "คุณนลจะให้รินไปเจอที่โรงรถเหรอคะ"

นลสำลักน้ำชา เรืองรินทำหน้าเด๋อด๋าชี้นิ้วไปทางโรงรถ นลโบกมือไล่...

บนถนนกลางกรุง นลขับรถไม่พูดไม่จาพาเรืองรินออกมา เรืองรินมองหน้าเขามาตลอดทางแล้วบ่นที่ไม่พูดอะไรสักคำ นลหันมาถามว่าว่าอะไรเขา เรืองรินสะดุ้งส่ายหน้าไม่มีอะไร

จู่ๆนลก็หันมาพูดกับเธอว่า "โก๊ะ เบ๊อะอย่างเธอนี่มีผู้ชายมาชอบได้ไงนะ"

"จะหาเรื่องอะไรรินอีกล่ะคะ"

"ไม่แล้วล่ะ...ต่อให้ฉันอยากรู้ให้ตายว่าเธอเป็นใคร เธอก็โกหกฉันอยู่ดี"

"มาไม้ไหนคะเนี่ย"

"คุณดนุ ไอ้ศักดิ์ชัยเพื่อนฉัน แล้วก็เจ้านายร้านซักแห้งของเธอ ถ้าต้องเลือกซักคน เธอจะเลือกใคร" นลหันมาถามยิ้มๆ

"โห...พูดยังกับรินสวยเลือกได้งั้นเหอะค่ะ"

"เธอก็ไม่ขี้เหร่นี่

"คุณนลชมรินสวยเหรอคะ!" เรืองรินตื่นเต้นดีใจ แต่นลสวนมาว่าฝันไปเถอะ เขาต้องการรู้แค่ว่าเธอจะเลือกใคร เรืองรินทำท่าคิด

นลหวังว่าเธอจะตอบว่าเลือกเขา แต่เรืองรินกลับบอกว่า เธอเลือกทั้งหมด นลเคืองแกล้งเหยียบเร่งเครื่องเร็วปรี๊ดจนเรืองรินตกใจต้องเกาะเบาะแน่น...

ขณะเดียวกัน รมณีฟื้นขึ้นมาในโรงพยาบาลพบว่ามีบาดแผลถลอกที่ใบหน้าและแขนขาจึงร้องไห้โฮ ศักดิ์ชัยยืนมอง อย่างหงุดหงิด ต่อว่ารมณีที่บ้าวิ่งไปเก็บแหวนจนเกิดเรื่อง เขายื่นแหวนคืนให้ รมณีโวยว่าเอามาคืนทำไม ให้เอาไปขายมาจ่ายค่าโรงพยาบาล พลันศักดิ์ชัยนึกอะไรเลวๆขึ้นมาได้ "...ฮึๆแหวนนี้จะทำให้ไอ้นลมันเชื่อว่าคุณยังรักมันอยู่..."

นลขับรถมาจอดบนถนนที่มีไฟประดับสวยงาม เรืองริน มองอย่างตื่นตาตื่นใจ ต้องหันมามองนลอย่างสงสัยเมื่อนลพูดขึ้นมาว่า "จริงๆวันนี้ฉันมีเรื่องดีๆจะบอกเธอ...ถามจริงเหอะ เธอจะเป็นคนใช้ไปตลอดชาติเลยเหรอ"

เรืองรินเป่าปากเรียกสติ "คิดตั้งนาน ถามเรื่องแค่เนี้ยเหรอคะ"

นลชวนเรืองรินไปช่วยงานเขาที่ดราก้อนมอลล์ เรืองริน อ้างว่าเธอจบแค่ประถมจะทำอะไรได้ นลไม่เชื่อ แต่ไม่สนใจคำตอบ เขาสั่งให้เธอไปเริ่มงานวันพรุ่งนี้ เขาไม่อยากเห็นเธอ เป็นแค่คนใช้ เรืองรินฟังแล้วขัดหูจึงถามว่าเขาดูถูกงานของเธอหรือ นลย้อนว่าเขายังไม่ได้พูดสักคำ นลดึงเรืองรินลงจากรถมายืนดูไฟที่รายล้อมรอบตัว นลดูยิ้มอย่างมีความสุข

"วันนี้ฉันจะเลิกสงสัยเธอ...หนึ่งวัน"

เรืองรินเห็นว่าก็ยังดี นลจูงมือเรืองรินเดินดูไฟ พลันมือถือนลดังขึ้น เรืองรินดึงมือกลับอย่างรู้งาน นลดึงมือถือมาดูแล้วกดพูด "โอ้โห...โทร.มาเหมือนรู้เวลาเลยว่ะไอ้ชัย"

พลันสีหน้านลหุบยิ้ม ฟังศักดิ์ชัยพูดจนจบ เก็บมือถือ แล้วบอกเรืองรินให้กลับขึ้นรถท่าทางเครียดอย่างเห็นได้ชัด...

ในห้องคนไข้ นลยืนมองรมณีอย่างสงสาร ฟังศักดิ์ชัย พูดเรื่องที่เกิดขึ้น "คนที่เห็นเหตุการณ์เล่าว่า ณีวิ่งออกไปกลางถนน ใครๆก็คิดว่าจะฆ่าตัวตาย แต่ที่ไหนได้..."

ศักดิ์ชัยพยักพเยิดให้นลดูแหวนในถาดของโรงพยาบาล "แหวนนั่น ใช่ที่แกให้เป็นของขวัญวันเกิดณีตอนเราอยู่ปีสามรึเปล่า ฉันคุ้นๆ..."

"ก็แค่แหวน...ณี...ทำไมคุณต้องทำขนาดนี้..." นลยังอึ้ง กับสิ่งที่รับฟัง เขากุมมือรมณีไว้

"แลกแหวนกับชีวิต ไม่เห็นเองก็ไม่เชื่อเหมือนกันว่ะ... ฉันไม่กวนละกันนะ" ศักดิ์ชัยตบไหล่นลเบาๆเดินไปพยักหน้า เรียกเรืองรินให้ออกไปด้วยกัน

เรืองรินยืนนิ่งไม่มองศักดิ์ชัยจนเขาต้องกระชากเธอออกไป...จนกระทั่งนลขับรถกลับบ้าน เรืองรินเห็นเขาเหม่อลอย จนขับรถไม่ดูไฟเขียวไฟแดง เธอต้องคอยบอก

วันรุ่งขึ้น นลออกไปหารมณีแต่เช้า เรืองรินรู้จากป้าบัว รู้สึกน้อยใจนิดๆ...นลถือช่อดอกไม้เล็กเข้ามาในโรงพยาบาล ศักดิ์ชัยแอบมองรีบโทร.บอกเกสรให้ทำตามแผน เกสรบอกรมณีว่านลมาแล้ว พอได้ยินเสียงคนเปิดประตู เกสรกับรมณี ก็เริ่มถกเถียงกัน รมณีร้องไห้ฟูมฟาย เกสรตำหนิรมณีที่เอา ชีวิตไปแลกกับแหวนวงเดียวหมอบอกว่ารมณีจงใจฆ่าตัวตาย รมณีร้องไห้โฮบอกเกสรอย่าพูดให้นลได้ยิน เพราะเธอรักเค้ามาก...พอดีคนที่เข้ามาไม่ใช่นล เพราะเผอิญนลหยุดยืนพูด โทรศัพท์เรื่องงาน คนที่เข้ามาคือพนักงานทำความสะอาด พอเกสรหันมาเห็นก็โวยวายไล่ให้ออกไป

นลเดินมาถึงหน้าห้อง พนักงานที่โดนไล่เดินออกมาบ่นกับนลว่า "อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะคะ อาการแบบนี้น่าจะพบจิตแพทย์นะคะ...เห็นเค้าว่าวิ่งไปเก็บแหวนแล้วถูกรถชน..."

"เอ่อ...ครับ"

พนักงานพูดอีกว่าไม่ใช่ เพราะเมื่อกี้เธอได้ยินว่าเขาฆ่าตัวตาย เพราะผู้ชายเจ้าของแหวน นลได้ฟังถึงกับตะลึงงัน... เกสรกับรมณีกำลังกระวนกระวายที่แผนผิดพลาดไปจึงให้เกสรออกไปก่อน พอดีสวนกับนลจึงทักกันประปราย รมณีพูดกับนลว่า

"คุณไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมณีแล้วก็ได้ ณีรู้ว่าเมื่อคืนคุณก็มา..."

"คุณคิดสั้นจริงๆเหรอณี?" นลถามสวนออกไป...

นลพารมณีมานั่งคุยในสวนของโรงพยาบาล นลสับสนว้าวุ่น แต่ก็ตั้งใจมาบอกรมณีว่าเขาขอเริ่มต้นใหม่กับเธอ เพราะถ้าเธอเป็นอะไรไป เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต รมณีตะลึง แต่ก็ดีใจที่ไม่ต้องวางแผนอะไรอีก

ooooooo

วันต่อมา ยายชื่นต้องเดินทางไปประเทศจีนเพราะขัดเพื่อนๆไม่ได้ แต่ก็เป็นห่วงเรืองรินจึงกำชับให้ระวังตัว กนกวรรณหมั่นไส้ประชดว่าทำไมไม่พาไปด้วยกันเสียเลย ทิ้งไว้ไม่กลัวเธอหักคอเหรอ...พอยายชื่นนั่งรถออกไปแล้ว เรืองรินหันมาแกล้งจ้องกนกวรรณ กระซิบถามว่าจะหักคอเธอเหรอ กนกวรรณขยาดคิดไปใหญ่โตว่าเรืองรินบีบคอเธอ แต่ที่แท้คิดไปเอง จนนลมาเรียกจึงรู้สึกตัว นลพารมณีมาบ้าน

กนกวรรณสงสารรมณีเห็นบาดเจ็บจึงชวนให้พักที่บ้าน ช่วงที่ยายชื่นไม่อยู่ อ่อนรีบวิ่งมาบอกข่าวเรืองรินกับป้าบัว แถมโดนกำชับให้เรืองรินจัดห้องให้ด้วย อ่อนสงสารเรืองรินพยายามพูดปลอบใจ "พี่รินทำใจน้า เรามันคนใช้เค้าก็อย่างนี้ แหละ ที่คุณนลยอมก็เพราะคุณวรรณ"

ระหว่างเปลี่ยนผ้าปูที่นอน อ่อนนินทารมณีโดยไม่ทันเห็นว่าเธอมายืนฟังพิงขอบประตูอยู่นาน พอเรืองรินเห็นก็สะกิดเตือนอ่อน รมณีก้าวเข้ามาจะเอาเรื่อง เรืองรินรีบขวางแล้วไล่อ่อนไปทำอาหารว่างให้ รมณีหัวเราะเหยียดๆเรืองริน "พวกคนใช้เค้ารักกันดีอย่างนี้เองเนอะ"

"อ่อนชอบพูดเล่นคุณรมณีอย่าไปถือสาเลยค่ะ"

"ไม่ถือหรอก อีกหน่อยนังคนใช้นั่นจะรู้จักฉันดีพอ มันก็จะหุบปากบอนๆของมันเอง"

เรืองรินฟังแล้วฉุนๆ รมณีมองเรืองรินใส่ปลอกหมอนใบสุดท้ายจนเสร็จ แล้วบอกว่าเธอไม่ชอบชุดผ้าปูที่นอนสีขาวให้เปลี่ยนใหม่หมด เรืองรินมองรมณีอย่างสะกดอารมณ์แล้วจัดการเปลี่ยนให้ใหม่เป็นสีชมพู พอเสร็จ รมณีก็บอกว่าไม่ชอบอีก เรืองรินโมโหหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อนก่อนจะกระชากผ้าปูที่นอนออกแล้วพลาดหงายหลังล้มข้อศอกกระแทกพื้นแตกเลือดซึม แต่ฝืนปูที่นอนให้ใหม่จนเสร็จ...

พอเดินออกจากห้อง เห็นนลเดินตรงมาจึงเลี้ยวไปอีกทาง นลรีบตามมาฉุดเธอไว้แล้วถามว่าแขนไปโดนอะไรมา เรืองรินหันมามองด้วยแววตาห่างเหิน

"คุณนลจะใช้อะไรรินเหรอคะ"

นลชะงักเมื่อเห็นสายตาเรืองริน จึงบอกว่าเปล่า เรืองรินขอตัวเดินไปแต่ไม่วายบ่นหมุบหมิบ

"ไม่ต้องมาทำดีด้วยเลย"

"ว่าไงนะ?" นลได้ยินตะโกนถาม เรืองรินทำหน้าเหลอหลารีบจ้ำเท้าหนีไป...

ooooooo

หน้าห้องเรืองริน อ่อนอาบน้ำเพิ่งเสร็จ เดินร้องเพลงกลับมา เห็นนลยืนด้อมๆมองๆทำท่าจะเคาะประตูจึงเรียกนลเบาๆ นลตอบโดยไม่หันไปมอง

"จะเรียกทำไม ก็เห็นอยู่ว่าเป็นฉัน"

อ่อนเกาหัวงงๆบอกนลว่านี่ห้องเธอ นลสะดุ้งนึกได้หันมามองจึงไล่อ่อนไปที่อื่นก่อน นลเข้ามาในห้อง เรืองรินกำลังพยายามดูแผลที่ข้อศอก ปากก็บ่น "ให้ฉันไม่เป็นคนใช้บ้านนี้เมื่อไหร่นะ ยัยรมณี แกน่าดู"

พอได้ยินเสียงคนเข้ามาคิดว่าเป็นอ่อนจึงใส่เป็นชุด

"เห็นรึยังอ่อน เพราะแกแท้ๆเลยไม่ยอมอยู่ช่วยพี่ ไม่รู้แขนหักรึเปล่า มาช่วยดูหน่อยสิ โอย...เจ็บๆๆๆ"

แต่พอเห็นมือที่ยื่นมาจับแขนเธอดูใหญ่กว่ามืออ่อนก็ตกใจเงยหน้ามอง

"เมื่อกี้ทำไมไม่บอก...ให้ฉันดูซิ" นลดึงเรืองรินมาล็อกไว้ในอ้อมแขนเพื่อดูแผลที่ข้อศอก เรืองรินหัวใจเต้นโครมคราม นลบ่น "เธอข้อศอกแตกเลือดไหล นี่ไม่กลัวมั่งเหรอว่ากระดูกจะร้าวจะแตกน่ะ นั่งลง"

นลกดเรืองรินนั่งลงบนเตียง แล้วไปเอากล่องยามาทำแผลให้ เรืองรินมองหน้านลเคลิ้มๆตลอดเวลาที่เขาทำแผลให้ จนนลถามว่าจะมองเขาอีกนานไหม เธอจึงรู้สึกตัว...หน้าห้อง อ่อนกับเป็ดพยายามแอบดูตามช่องต่างๆ

คืนนั้น พอรมณีเห็นนิยากลับมาจึงเข้าไปเย้ยให้เห็นว่าเธอเข้ามาอยู่บ้านนี้ นิยาแปลกใจเล็กน้อย

"เธออย่าฝันว่าฉันจะยอมให้พี่นลกลับมาคืนดีกับผู้หญิงอย่างเธอนะรมณี ที่เธอเคยทำกับพี่ชายฉันน่ะ มันยังไม่สะใจเธออีกเหรอ"

"ยังจ้ะ ฮ่ะๆๆๆ"

นิยาโกรธเงื้อมือปราดเข้าไปตบ รมณีมองไปเห็นกนกวรรณเดินมาจึงปล่อยให้นิยาตบ กนกวรรณเห็นถลาเข้ามาเอ็ดนิยาแล้วประคองรมณีไป นิยาพูดไม่ออกไม่คิดว่ารมณีจะมาไม้นี้ จากนั้นจึงพยายามหาโอกาสจะพูดเรื่องนี้กับกนกวรรณแต่ไม่สบโอกาสสักที

ooooooo

เรืองรินต้องมาใช้สถานที่ร้านน้ำปั่นของพวกแพรวเป็นที่ติดต่อพูดคุยกับยายชื่นทางโน้ตบุ๊ก ในขณะที่รมณีวางตัวเป็นเจ้าของบ้าน ต้อนรับเกสรนั่งจิบน้ำชา จิกป้าบัวกับอ่อนให้คอยรับใช้ พอดีกิ่งกานต์ แวะมา ป้าบัวรีบเก็บของบนโต๊ะอย่างรู้งานกลัวเสียหาย

กิ่งกานต์กับรมณีประคารมกันจนถึงขั้นตบตี แต่เกสรบอกรมณีว่าอย่างกิ่งกานต์ต้องเจอกับเธอ เกสรจึงตบกับกิ่งกานต์ แทน รมณีถอยกรูดมาดันป้าบัวกับอ่อนให้ไปห้าม สะบักสะบอมกันไปทั้งคู่...

วันนี้ มีป้ายปิดหน้าร้านซักรีดของเรืองยศว่าปิด เรืองรินเอาหน้าแนบกระจกส่องดูในร้านแปลกใจว่าเรืองยศไปไหน โทร.หาก็ไม่รับ พลันเห็นศักดิ์ชัยเดินมาที่ร้านเกสร และเกสรเปิดประตูรับสีหน้าดีใจ ก็งง

"เอ๊ะ...นายศักดิ์ชัยกับรมณี แล้วนี่...ยัยเกสร! ดูสนิทสนมกันจังเลย งงแฮะ หรือว่าเราตาฝาด อีตานั่นแค่หน้าเหมือนศักดิ์ชัย"

ด้วยความแปลกใจจึงลองโทร.เข้าเครื่องศักดิ์ชัยแล้วแอบมอง เห็นศักดิ์ชัยแยกตัวจากเกสรมารับสายเธอและพูดแบบกรุ้มกริ่มกับเธอ เรืองรินจึงเห็นหน้าศักดิ์ชัยชัดเจน เธอจึงแกล้งโกหกไปว่าหาเอกสารที่เขาต้องการเจอแล้ว แล้วเธอจะติดต่อมาอีกที เรืองรินรีบตัดสาย เกสรสะพายกระเป๋าเดินมาเกาะแขนศักดิ์ชัยแล้วบอกให้รีบไป วันนี้ดวงกำลังดี ทั้งสองคุยกันทำให้เรืองรินรู้ว่ากำลังจะไปเข้าบ่อน

"ผีเน่ากับโลงผุขนานแท้...ยัยรมณีเอ๊ย...คนที่น่าสงสารน่ะคือเธอ..." เรืองรินสังเวชใจ

เรืองยศออกจากร้านมาหากิ่งกานต์ที่บ้าน เพราะเธอร้องห่มร้องไห้โทร.ไปเรียกเขา เรืองยศมาถึงพยายามเรียกกิ่งกานต์ให้ออกมา แต่เธอกลับให้เขาขึ้นไปหาบนห้อง เรืองยศ เกรงกิ่งกานต์จะคิดสั้นจึงเสี่ยงเข้าไป

กิ่งกานต์ร้องไห้คร่ำครวญว่านลเอารมณีเข้าไปอยู่ในบ้าน เรืองยศตกใจนึกเป็นห่วงเรืองรินทันที พลันอาจารย์คงได้ยินเสียงลูกสาวคุยกับใครในห้องจึงมาเคาะเรียก กิ่งกานต์ให้เรืองยศ ทำเสียงเหมือนเปิดทีวีไว้ แล้วตะโกนบอกพ่อว่าเธอดูทีวีอยู่ อาจารย์คงจึงเดินกลับไป แต่แล้วฉุกคิดได้ว่าห้องกิ่งกานต์ไม่มีทีวี เกิดเรื่องจ้าละหวั่นกว่าเรืองยศจะเอาตัวรอดออกมาจากบ้านนั้นได้...

ooooooo

หงุดหงิดจนต้องหาคนมานั่งฟังเธอบ่น ดนุมองนิยาอย่างห่วงใย ไม่เคยเห็นเธอมีอารมณ์แบบนี้มาก่อน
"ไม่คิดว่าจะเจอเรื่องแบบนี้เข้ากับตัวจริงๆนะคะ รมณี เล่นละครตบตาคุณแม่จนนิเข้าหน้าคุณแม่ไม่ติด อธิบายยังไง คุณแม่ก็หาว่านิแก้ตัว"

"อันที่จริงรินเค้าก็ดูๆพฤติกรรมคุณรมณีมาสักพักแล้วนะครับ"

"ดูๆงั้นเหรอคะ อย่างยัยรมณีมันต้องตบสถานเดียวเท่านั้น" นิยาใช้ส้อมจิ้มจึกในอาหาร ดนุเห็นแล้วสยอง นิยาเห็นรีบเปลี่ยนท่าที "นิโกรธนี่คะ อืม...คืนนี้คุณแม่มีประชุมกับสมาคมถึงดึก คุณดนุช่วยไปทานข้าวที่บ้านนิหน่อยสิคะ"

"ได้สิครับ ผมก็อยากเจอรินด้วย"

"ดีค่ะ รุมมันเลย"

"คุณนิยา!..." ดนุตกใจว่านิยาคิดจะทำอะไร

นิยารีบบอกว่าเธอล้อเล่น แต่แววตามีแผนร้าย คิดเอาคืนรมณีเต็มที่...

ooooooo

กลับมาถึง เรืองรินเห็นสภาพห้องโถงบ้านเละระเนระนาดจากฝีมือการตบตีกันของเกสรกับกิ่งกานต์ อ่อนบ่นไปเก็บไป

"ทั้งโดนลูกหลงแล้วยังต้องมาตามเก็บซากอีก"

"เละอย่างนี้เลยเหรอเนี่ย" เรืองรินไม่อยากเชื่อ

รมณีเดินมาเห็นเรืองรินก็ดีใจ "รินมาก็ดี ช่วยยัยอ่อนหน่อยสิ คุณนลกำลังจะมาถึงแล้ว"

"แล้วถ้าคุณนลเห็นสภาพบ้าน..." เรืองรินเป็นกังวล เช่นกัน

"ก็นี่ไง ถึงได้บอกว่าให้รีบๆช่วยกันเก็บ" รมณีเร่งเรืองริน

เรืองรินหมั่นไส้รมณีจึงแกล้งทำเป็นเร่งรีบหยิบโน่นส่งนี่ให้รมณีเอาไปไว้ ตามที่ของมันจนห้องสะอาดเรียบร้อยเหมือนเดิม ทั้งสามยืนมองอย่างพอใจ

"แล้วอย่าให้เรื่องวุ่นวายวันนี้รู้ไปถึงหูเจ้านายพวกเธอแม้สักคนนะ" รมณีสั่ง

พอดีนลกลับมา ทั้งสามพร้อมใจกันฉีกยิ้ม นลเห็นแล้วแปลกใจต้องถามว่ามีอะไรกันหรือเปล่า อ่อนอ้าปากจะรายงาน เรืองรินรีบปิดปากอ่อนดึงออกห่าง รมณีเข้าคล้องแขนนลถามว่าเหนื่อยไหม นิยาตามเข้ามาเห็นจึงแขวะ

"ไม่เหมือนสามีภรรยาไปหน่อยเหรอคะ...ถามเหนื่อยมั้ยคะ แล้วรับเสื้อสูทไป ถ้าไม่ใช่หน้าที่ภรรยาก็คนใช้ดีๆนี่เองนะคะ"

"นิเข้าใจล้อณีเล่นนะ" รมณีหัวเราะ

ดนุเข้ามาอีกคน ทักทายนล แล้วหันไปยิ้มให้เรืองริน นิยาเข้าไปดึงนลออกจากรมณีดื้อๆ แล้วพูดยิ้มๆกับรมณี

"วันนี้นิให้ตั้งโต๊ะที่ริมสระ ไปกันเถอะค่ะ ณีต้องชอบ"

ริมสระน้ำ นลเดินคุยกับดนุเรื่องสัพเพเหระ อ่อนกับป้าบัวช่วยกันจัดโต๊ะอาหารตามที่นิยาสั่ง เรืองรินยกถาดแก้วน้ำเข้ามา สายตามองนิยาอย่างสงสัย นิยายักคิ้วให้จนเรืองรินต้องเข้ามากระซิบถาม

"อะไรของแกหือ ยัยนิ ฉันงงไปหมดแล้ว"

"แกก็คอยดูเอาสิจ๊ะ ยัยริน" สายตานิยาจิกไปที่รมณีซึ่งเดินเข้ามา

รมณียิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร "โรแมนติกจัง อาหารก็น่าทานทั้งนั้นเลย"

นิยายิ้มรับ...เวลาผ่านไป นิยานั่งคู่กับดนุหันหน้าเข้าสระน้ำ รมณีนั่งคู่นลหันหลังให้สระ นิยาลุกขึ้นนำทุกคนยกแก้วชน "เอ้าชนค่ะ..."

พอทุกคนลุกขึ้น นิยาก็ส่งสัญญาณให้อ่อนทำตามแผนที่สั่งไว้ อ่อนพยักหน้า แล้วเดินมาด้านหลังนิยา ดึงเก้าอี้เธอออกขณะที่กำลังจะนั่งลง ป้าบัวเห็นร้องลั่น

"ว้าย! นังอ่อน แกทำอะไร"

นิยาได้ยินรู้ว่ามีอะไรผิดพลาดแต่ยั้งตัวเองไม่ทันนั่งโครมลงไปกับพื้นก้น จ้ำเบ้า ดนุตกใจรีบเข้าประคอง นลแซวว่าอยากจับกบหรือ นิยาค้อนขวับเจ็บใจ

อ่อนหัวเราะคิกคัก เรืองรินกระซิบถาม "ทำไมแกทำอย่างนั้นล่ะ"

"คุณนิยาสั่ง"

"ยัยนิ เอ๊ย! คุณนิน่ะนะสั่งให้แกเอาเก้าอี้ออก"

"เรียกคะแนนคุณดนุไง โด้...แค่นี้ดูไม่ออกเหรอพี่ริ้น" อ่อนเข้าใจไปแบบนั้น

เรืองรินมองสภาพนิยาแล้วไม่อยากเชื่อ "เจ็บตัวขนาดนั้น ไม่น่าใช่นะ"

รมณียังไม่เอะใจ จึงถามนิยาว่าเจ็บไหมไปตามมารยาท นิยากัดฟันกรอดเจ็บใจ...

ooooooo

เห็นนิยาผสมเครื่องดื่มที่โต๊ะเครื่องดื่ม เรืองรินก้าวเข้ามาเตือนนิยา "พอเหอะแก หาเรื่องเจ็บตัวแท้ๆเลย"

"ไม่ ถ้าคืนนี้ยัยรมณีไม่เจ็บตัว อย่ามาเรียกฉันว่านิยา"

ว่าแล้วนิยาก็ถือแก้วเครื่องดื่มสองแก้วเดินไปหารมณี "ช่วยชิมหน่อยสิ นิเพิ่งหัดผสม"

นลแกล้งแซวว่าไม่เผื่อเขากับดนุบ้าง นิยาตอบว่า ผู้ชายให้กินน้ำเปล่า ดนุจึงยกแก้วน้ำชนกับแก้วนล

"เอ้า งั้นชนครับคุณนล"

รมณีรับแก้วจากนิยาแบบไม่ค่อยไว้ใจ "คิดว่าฉันจะหลงกลกินน้ำบ้าๆใส่อะไรก็ไม่รู้ของเธองั้นสิ"

พลันรมณีสาดน้ำในแก้วใส่นิยาแล้วร้องขึ้น "ว้าย ขอโทษนะนิ โธ่...ณีนี่แย่จริงๆเลย"

นิยาเม้มปากแน่น รู้ว่ารมณีแกล้ง จึงทำเป็นเมากุมขมับ

"โอ๊ะ...โอย ทำไมจู่ๆมึนก็ไม่รู้ สงสัยนิจะเมา"

นิยาก้าวเท้าเข้าหารมณี รมณีถอยจนติดขอบสระ เตรียมตั้งรับเต็มที่ พอนิยาเข้ามาใกล้จึงเบี่ยงตัวหลบไปทางนล ทำให้นิยาพลาดตกน้ำในสระตูม ดนุตกใจกระโจนลงไปช่วยนิยาทันที เรืองรินตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น...

พอขึ้นจากน้ำ เรืองรินพานิยากับดนุซึ่งตัวเปียกปอนมาที่ห้องโถง นิยารู้ตัวว่าผิด ยกมือไหว้ขอโทษดนุหลายต่อหลายครั้ง

"ขอโทษค่ะ ขอโทษๆๆ นิขอโทษจริงๆนะคะคุณดนุ"

"บอกแล้วไงครับว่าไม่เป็นไร...คุณขึ้นไปช่วยคุณนิยาเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ" ดนุบอกเรืองริน

นิยาบอกเรืองรินให้ไปเอาเสื้อผ้านลมาให้ดนุเปลี่ยน ดนุบอกว่าเขามีเสื้อสำรองในรถ เรืองรินจึงบอกนิยาให้รีบไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวจะป่วย

"เออๆ ฝากดูคุณดนุด้วยนะ"

"ย่ะ แม่จอมวางแผน ฮ่ะๆๆๆ"

"ซ้ำเติมเพื่อนเหรอ" นิยาค้อนขวับเดินขึ้นบันได

เรืองรินหันมาหาดนุ "เอากุญแจรถมา รินไปเอาเสื้อผ้าให้ ในกระเป๋ากีฬาใช่มั้ยคะ"

ดนุยื่นกุญแจให้ รมณีเดินเข้ามาทำสีหน้าเป็นห่วง

"เป็นไงกันบ้างคะ อ้าวนี่คุณดนุยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า อีกเหรอ...คุณนลสั่งให้เธอพาคุณดนุขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนลไง ทำไมยังอยู่ตรงนี้กันอีกล่ะ"

"บอกตอนไหนคะ" เรืองรินแปลกใจที่เธอไม่เห็นได้ยิน

"ยังจะมาถามให้เสียเวลา รีบไปเถอะ เดี๋ยวก็ถูกคุณนลดุเอาอีกหรอก"

เรืองรินพาดนุขึ้นบันไดไปแบบงงๆ รมณีมองตามยิ้มๆสะใจ...กลับมาหานลที่ยืนหงุดหงิดกับเรื่องวุ่นวายที่เกิด ขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน รมณีมองนลอย่างตั้งหลักที่จะพูด "นลคะ..."

"ผมคิดว่าคุณขึ้นห้องนอนไปแล้ว...ไม่รู้ว่าที่คุณแม่ ชวนคุณมาอยู่ที่นี่ มันช่วยให้คุณหายเร็วขึ้นหรือทำให้อาการคุณแย่ลงกันแน่นะณี"

"ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ก็แค่เรื่องวุ่นวายเล็กๆน้อยๆ อืม...แล้วนี่นิกับคุณดนุเป็นไงบ้างคะ"

"ผมกำลังจะเข้าไปดู"

"ณีขอรออยู่ตรงนี้ดีกว่านะคะ เข้าไปก็มีแต่จะทำให้เรื่องบานปลาย ยังไงก็คุยกับยัยนิดีๆนะคะ"

นลพยักหน้าให้รมณีก่อนจะเดินเข้าบ้าน

ooooooo

ในห้องนอนนล เรืองรินหยิบเสื้อผ้านลส่งให้ดนุ เขารับไว้และรวบมือเธอไว้ด้วย เรืองรินยิ้มๆค่อยๆดึงมือออกและให้เขารีบเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเป็นหวัด ดนุอ้อนว่าเขายังไม่มีโอกาสได้คุยกับเธอสองต่อสองเลย เรืองรินแกล้งถามว่าเราโกรธกันด้วยหรือ ดนุยิ้ม

"นี่ละเรืองรินตัวจริง เฉไฉละเป็นที่หนึ่งเลย" ดนุกอดเรืองรินอย่างรักใคร่

เรืองรินยิ้มมีความสุขแต่สักพักเปลี่ยนเป็นกลุ้มใจเพราะรู้ใจตัวเองแล้วว่าไม่ได้รักดนุเหมือนเดิม...

นิยาแต่งตัวเสร็จเดินออกมาจากห้อง เจอเข้ากับนล นลจับหัว นิยาโยกแรงๆ

"ทำเรื่องวุ่นวายนักนะเรา...แล้วคุณดนุล่ะ"

นิยาตอบไปว่าคงเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องนล "นิคิดว่าพี่นลจะโกรธนิมากซะอีก พอยัยรินบอกว่าพี่นลให้คุณดนุ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้องพี่นล นิค่อยโล่งใจหน่อย"

นลก้าวฉับๆไปที่ห้องทันที นิยารีบวิ่งมาดักหน้าให้รอเดี๋ยว...นิยาโผล่เข้ามาในห้องก่อน เห็นดนุกอดเรืองรินอยู่จึงตัดสินใจปราดเข้าไปแทรกกลาง ทั้งดนุและเรืองรินตกใจ แต่ พอดีนลเข้ามา นิยารีบจับไหล่ดนุหันไปมา

"เอ้อ...นิยาดูความเรียบร้อยให้นะคะ"

"ขอบคุณมากเลยนะครับคุณนล จะเสียก็แต่ผมใส่แล้วหล่อสู้คุณนลไม่ได้ฮ่ะๆๆ" ดนุหันมาค้อมหัวนิดๆให้นล

นลยิ้มฝืดๆ นิยารีบพาดนุกับเรืองรินเดินออกจากห้อง สวนกับรมณี นิยาเชิดใส่แล้วพูดเปรยๆว่า

"ว้าย...แผนล่ม ฮิๆ"

นิยาเดินออกไปส่งดนุที่รถ รมณีมองตามด้วยความเคียดแค้น...

ooooooo

อ่านละครย่อเรื่อง สาวใช้ไฮเทค ตอนที่ 17
ที่มา ไทยรัฐ

อ่านละครย่อเรื่อง ด้วยแรงอธิษฐาน ตอนที่ 17 (ตอนอวสาน)

อ่านละครย่อเรื่อง ด้วยแรงอธิษฐาน ตอนที่ 17 (ตอนอวสาน)
หลังจากโรงพยาบาลโทร.มาแจ้งเกตุมณีว่ากฤตย์ ฟื้นแล้ว ครู่ต่อมา ปิติ เกตุมณี และถุงแป้งมานั่งล้อมเตียงมองกฤตย์ด้วยความดีใจ ปิติถึงกับถอนใจโล่งอก เพราะกฤตย์หมดสติไปเกือบสองอาทิตย์ พวกเราต่างเป็นห่วงเกรงจะไม่ฟื้น กฤตย์มองไล่ไปทีละคน ถุงแป้งรีบทัก

"อย่าบอกนะว่าจำหลานสาวคนนี้ไม่ได้"

"ถุงแป้ง เกตุมณี ปิติ"

หมอเข้ามาตรวจอาการของกฤตย์แล้วพอใจมาก แต่ยังไม่อนุญาตให้ตำรวจมาสอบปากคำคนไข้ อยากให้รอไปอีกสักสองสามวันให้อาการคงที่ก่อน เกตุมณีพยักหน้าเห็นด้วย...

ทันทีที่นัทธมนรู้ว่ากฤตย์ฟื้นแล้ว เธอรีบตรงไปยังเจดีย์เก็บอัฐิของวรดา เอาดอกไม้มาวางหน้าเจดีย์

"ฉันขอโทษที่ทำตามเธอต้องการไม่สำเร็จ...ฉันเคยสงสัยนะ ว่าอะไรทำให้เธอหลงรักผู้ชายคนนี้จนพาตัวเองไปสู่จุดจบได้...ตอนนี้ฉันเลิกสงสัยแล้วล่ะว่าทำไมเธอถึงรักเขา"

จากนั้น นัทธมนมาหากฤตย์ที่ห้องพักฟื้น กฤตย์ถามว่าผิดหวังหรือเปล่าที่เห็นเขายังไม่ตาย นัทธมนอยากรู้ว่าทำไมเขาไปห้องเก็บของกับเธอ ทั้งๆที่รู้ว่าเธอมีพลังพิเศษ กฤตย์ยอมทุกอย่างถ้าจะทำให้นัทธมนหายแค้น นัทธมนท้วงว่าถึงแม้เขาจะยอมตาย ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาฆ่าวรดาไปได้

"ถ้าฉันบอกเธอว่าไม่ได้ทำ เธอจะเชื่อไหม...ไม่มีใครพิสูจน์ได้จริงๆแหละนะ"

"คุณรักวรดามากไหม"

"ฉันเชื่อว่า สิ่งนั้น ฉันพิสูจน์ให้เธอเห็นแล้ว ด้วยชีวิต ของฉันเอง"

"แล้วทำไม...คุณต้องฆ่าเธอด้วย พูดกันดีๆไม่ได้หรือ"

"ฉันรักเธอนะ...วรดา"

"หนูไม่ใช่วรดา"

"เธอบอกฉันเอง ว่าเธอคือวรดา จำได้ไหม...เธอยอมรับว่าเธอคือผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยรักฉัน"

"หนู...มาเพื่อจะยืนยันว่า หนูเกลียดคุณ...ฝากบอกตำรวจด้วยนะว่าจะตามจับหนูได้ที่ไหน...หนูรออยู่ที่บ้านนั่นแหละ" นัทธมนเดินจากไป กฤตย์อยากจะตามแต่ติดสายน้ำเกลือระโยงระยาง เลยได้แต่มองจนเธอลับสายตา โดยไม่รู้ว่าหญิงสาวเดินร้องไห้ตลอดทาง

ooooooo

อีกสองสามวันถัดมา หมอถึงอนุญาตกฤตย์กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้าน กฤตย์กลับบ้านยังไม่ทันอึดใจ ตำรวจตามมาสอบปากคำ แต่ก็ไม่ได้อะไรมากนัก กฤตย์อ้างว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ เนื่องจากพวกนั้นใส่หน้ากากกันหมด ตำรวจซักอีกว่าคนร้ายมีกันกี่คน กฤตย์ทำเป็นนึก ก่อนบอกว่ามีสามหรือสี่คน

"เป็นคนในออฟฟิศหรือเปล่า ถ้าเป็นคนนอกไม่น่าจะเข้าข้างในได้ตั้งสามสี่คน"

กฤตย์ยืนยันกับตำรวจว่าเป็นคนนอก เพราะจำสำเนียงเหน่อๆของคนร้ายได้ ที่ออฟฟิศของเขาไม่มีใครพูดเหน่อแบบนั้น ปิติกับเกตุมณีแอบสงสัยว่ากฤตย์ต้องมีอะไรปิดบัง

"เอาล่ะครับ ยังไง ถ้าพอนึกอะไรออกอีก ก็โทร.แจ้ง

นะครับ" ตำรวจลากลับไป

ปิติติงว่าที่กฤตย์ให้ปากคำกับตำรวจ ไม่มีผลอะไรต่อรูปคดีเลย กฤตย์ไม่สนใจ อยากปล่อยให้เรื่องนี้จบๆไป เกตุมณีเป็นห่วงว่าถ้าจับคนร้ายไม่ได้ พวกนั้นอาจย้อนกลับมาเล่นงานกฤตย์อีก

"ผมยอมรับสภาพครับ"

ปิติกับเกตุมณีได้แต่หันมองหน้ากันอย่างแปลกใจ สงสัย...

มนทิราวางสายจากติสรณ์แล้ว เดินมาทรุดตัวนั่งข้างๆนัทธมน บอกลูกว่าติสรณ์โทร.มาเล่าให้ฟังว่า กฤตย์ให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าจำหน้าคนร้ายไม่ได้ นัทธมนกอดอกฟังอย่างไม่ยินดียินร้าย

"แกเป็นคนไม่อาฆาตคนจริงๆนะ แม่เชื่อว่าแกจำได้ แต่รู้จักให้อภัย"

"หรือไม่ก็อยากจะไถ่บาป เพื่อให้ตนเองสบายใจมากกว่า"

"หนูน่าจะปล่อยวาง รู้จักให้อภัยนะลูก จิตใจจะได้เบิกบาน"

นัทธมนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หลับตาลง ไม่อยากรับรู้อะไรอีก...

ด้านถุงแป้งหยิบภาพวาดของลินจันทร์ที่เก็บไว้ในกล่องขนมออกมาพิจารณา ตัดสินใจโทร.ตามติสรณ์ให้ขับรถพาเธอไปหานัทธมน ระหว่างทางไปบ้านนัทธมน ติสรณ์พยายามตะล่อมถามว่ามีธุระอะไรด่วนกับนัทธมน ถุงแป้งไม่อยากเล่าตอนนี้เลยอ้างว่าเป็นเรื่องของผู้หญิงจะคุยกัน

"อะไรอยู่ในกล่องขนมน่ะ"

"เดี๋ยวก็ได้รู้ ขับรถไปดีๆ มองทางด้วย"

ติสรณ์บ่นอุบว่าช่วงนี้ดวงแท็กซี่ขึ้นจริง แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถไปตามคำสั่งของถุงแป้ง สักพัก ทั้งคู่มาถึงบ้านนัทธมน ถุงแป้งยื่นกล่องขนมให้นัทธมน วานเพื่อนช่วยตีความภาพวาดของลินจันทร์ให้ที นัทธมนได้ยินชื่อลินจันทร์หูผึ่งขึ้นมาทันที รีบเอาภาพวาดออกมาเรียงบนพื้นบ้าน มองอย่างตื่นตาตื่นใจ

ถุงแป้งถามว่าคุ้นๆบ้างไหม นัทธมนพยักหน้า แล้วลองเปลี่ยนตำแหน่งภาพวาดใหม่ ติสรณ์ซักด้วยความสนใจว่าภาพเหล่านี้บอกว่าอะไรบ้าง นัทธมนชี้นิ้วไปตามภาพวาด พลางอธิบาย

"ผู้หญิงคนนี้ได้รับจดหมาย อ่านแล้วก็ออกไปตามนัด จากนั้นก็ถูกผู้ชายตีที่ด้านหลัง แล้วผู้หญิงอีกคนก็ออกมาช่วยผู้ชายลากผู้หญิงคนนี้ไปขังเอาไว้ ต่อจากนั้น ผู้หญิงคนนี้ก็

โดนขังจนถึงกับพนมมือตั้งจิตอธิษฐานบางอย่าง"

ถุงแป้งคิดตาม จำได้ว่าเรื่องนี้คล้ายกับเรื่องของวรดา

ติสรณ์ตั้งข้อสังเกตว่าลินจันทร์ยังเป็นเด็ก จะมาเขียนเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร นัทธมนคาดว่าลินจันทร์น่าจะเป็นใครบางคนจากอดีตกลับชาติมาเกิด

"...รู้สึกผิด เขียนรูปสารภาพเอาไว้ ก่อนที่จะฆ่าตัวตาย"

นัทธมนได้ยินถุงแป้งพูด ถึงกับร้องเอะอะด้วยความตกใจ ติสรณ์แก้คำพูดของถุงแป้งใหม่ว่าลินจันทร์พยายามผูกคอตาย แต่ไม่สำเร็จเขาช่วยไว้ได้ทัน

"ลินจันทร์ยังจำเรื่องจากอดีตได้...เธอต้องการฆ่าตัวตายหนีความผิด...ลินจันทร์คือกุญแจที่จะรู้เรื่องความลับการตายของวรดา" นัทธมนสรุปเรื่องทั้งหมดแล้วจะไปหาลินจันทร์ ถุงแป้งกับติสรณ์ขอไปด้วย

"เธอช่วยฉันมามากแล้ว เธอสองคนง่วงนอน...นอนพักกันก่อนเถอะ" นัทธมนพูดขาดคำ ติสรณ์กับถุงแป้งเริ่มโงนเงน ก่อนล้มตัวลงนอนหลับบนโซฟา นัทธมนขอโทษเพื่อนทั้งสองคนแล้วผลุนผลันออกไป...

ขณะเดียวกัน ลินจันทร์อยู่เพียงลำพังในห้องนอน หยิบปลั๊กพ่วงเอาแต่สายไฟมาปอกพลาสติกหุ้มออก เหลือลวดทองแดงเป็นทางยาว เธอเอาส่วนที่เป็นลวดทองแดงรัดข้อมือตัวเองทั้งสองข้าง แล้วจับหัวปลั๊กขึ้นมานั่งมองอย่างลังเล...ส่วนอีกมุมหนึ่งของบ้านกฤตย์ แกมแก้วกำลังอาละวาดใส่กฤตย์ซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นว่า เธอไม่ทนอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วจะขอไปอยู่เมืองนอก

"จะไปไหนพี่ก็ไม่ว่า แต่ขอเวลาเคลียร์เรื่องให้มันเรียบร้อยก่อนได้ไหม"

"พี่กฤตย์เกือบตายไปคนแล้ว จะให้แก้วอยู่รอนังวรดามันมาเชือดเหรอ"

"เขาจะมายุ่งอะไรกับเรา"

"ไม่รู้ล่ะ แก้วต้องการเงินก้อนใหญ่"

"ใครจะมีเงินสดติดบ้านได้ตามที่แก้วต้องการ" เกตุมณีทักท้วง ปิติตำหนิแกมแก้วว่าไม่ห่วงลูกบ้างหรือ รู้ทั้งรู้ว่าลินจันทร์ เคยคิดฆ่าตัวตายมาแล้ว กฤตย์ตกใจกับเรื่องราวที่เพิ่งได้ยิน ตัดพ้อว่าทำไมไม่มีใครบอกเขาสักคำ เกตุมณีอ้างว่ากฤตย์เพิ่งออกจากโรงพยาบาล เลยไม่อยากให้ได้ยินเรื่องไม่สบายใจ

"ลินจันทร์คิดฆ่าตัวตายทำไม"

"ไม่รู้ แกพยายามจะผูกคอตายแต่ไม่สำเร็จ"

กฤตย์เป็นห่วงหลานสาวมากรีบเข็นรถเข็นจะไปหา แกมแก้วโวยวายลั่นว่าจะหนีไปไหนเขายังคุยกับเธอไม่จบ แล้วจ้ำตาม...ด้านนัทธมนขับรถติสรณ์มาด้วยความเร่งรีบ ภาวนามาตลอดทางขออย่าให้ลินจันทร์เป็นอะไรไป เพราะความจริงเกี่ยวกับการตายของวรดาขึ้นอยู่กับลินจันทร์แต่เพียงผู้เดียว...

ลินจันทร์หยิบหัวปลั๊กพ่วงเสียบเข้ากับปลั๊กพ่วงอีกอันหนึ่ง แล้วหลับตาปี๋ เงียบไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอมองไปอีกด้านของปลั๊กพ่วง หัวปลั๊กยังไม่ได้เสียบเต้าเสียบไฟข้างผนัง ทันใดนั้น มีเสียงทุบประตูห้องดังปังๆ

"ลินจันทร์ เปิดประตูนะ นี่ลุงกฤตย์เองหลาน"

"นังลูกชั่ว แกคิดจะทำอะไรอีก ทำไปเลย อยากตายก็ตายไปเลย"

เกตุมณีโกรธจัด ตบหน้าแกมแก้วฉาดใหญ่ แกมแก้วจ้องหน้าพี่สาวอย่างเอาเรื่อง เกตุมณีไม่สนใจตะโกนเรียกลินจันทร์ ให้มาเปิดประตู ลินจันทร์หน้าตาเลิ่กลั่ก ทำอะไรไม่ถูก ส่งเสียงอู้อี้ในลำคอ

ooooooo

ในเวลาไล่เลี่ยกัน มนทิรากลับจากซื้อของเข้ามาในบ้าน เห็นติสรณ์กับถุงแป้งนอนหลับอยู่บนโซฟาเขย่าตัวปลุกให้ตื่น สองคนสะลึมสะลือมองมนทิรา ติสรณ์ตั้งสติได้ มองซ้ายมองขวาถามหานัทธมน

"แม่มาก็เห็นเราหลับอยู่สองคนเนี่ย"

ถุงแป้งรีบชวนมนทิรากับติสรณ์ตามนัทธมนไปบ้าน กฤตย์ มนทิรายังงงๆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น...

ฝ่ายเกตุมณีเห็นท่าไม่ดีรีบไปหยิบกุญแจสำรองมาไขห้องลินจันทร์ ด้วยความที่พวงกุญแจสำรองใหญ่มากเลยไม่รู้ว่าดอกไหนเป็นดอกไหน เสียงแกมแก้วไล่ตะเพิดลูกให้รีบตายๆไปเสีย ดังแข่งกับเสียงร้องของลินจันทร์ที่อยู่ในห้อง ลินจันทร์

ทนไม่ไหว คลานไปเอาหัวปลั๊กพ่วงเสียบเข้ากับเต้าเสียบข้างผนัง

ในที่สุด ประตูห้องนอนลินจันทร์เปิดผลัวะ ทุกคนตกใจที่เห็นลินจันทร์มีสายลวดทองแดงรัดข้อมืออยู่ หัวปลั๊กเสียบ

กับเต้าเสียบเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลินจันทร์พยายามขยับหัวปลั๊กอย่างบ้าคลั่ง จังหวะนั้น มีเสียงพูดดังขึ้นด้านหลัง

"ฉันยอมให้คุณตายไม่ได้จริงๆ"

ทุกคนหันไปมองตามเสียง เห็นนัทธมนยกมือขึ้น คล้ายกับบังคับอะไรบางอย่างอยู่ สายไฟใกล้ตัวหญิงสาวลั่นเปรี๊ยะ สะเก็ดไฟแตกกระจาย แกมแก้วชี้หน้าด่านัทธมนลั่นว่านังปิศาจ ลินจันทร์กลัวนัทธมนมาก ถอดสายไฟที่พันมือออก วิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต นัทธมนย่างสามขุมตาม

ทุก คนกรูกันออกจากห้อง ปิติเข็นรถเข็นกฤตย์ตามเป็นสองคนสุดท้าย ลินจันทร์วิ่งเตลิดมาถึงสระว่ายน้ำ หน้าตาตื่นตระหนก จะวิ่งกลับไปทางเดิม แต่ไม่ทัน นัทธมนคว้าตัวเธอได้ลากมายืนขอบสระ

"กลัวใช่ไหมคะ...จำได้ไหมผู้หญิงคนหนึ่งเคยตายตรงนี้"

ลิน จันทร์ดิ้นรนแต่นัทธมนจับตัวไว้แน่น ปิติเข็นรถเข็นที่กฤตย์นั่งตามมา กฤตย์ขอร้องนัทธมนปล่อยลินจันทร์ไป แกไม่เกี่ยวอะไรด้วย ถ้าอยากแก้แค้นให้มาทำกับเขา

"หนูไม่ทำอะไรหรอกค่ะ ขอเพียงได้ยินความจริงจากปากคุณผาณิตเท่านั้น"

"ผาณิตตายไปแล้วนะ" ปิติติง

"เวียน ว่ายตายเกิด เราล้วนแต่อยู่ในวัฏจักรใช่ไหมคะ คุณผาณิต" นัทธมนมองหน้าลินจันทร์ แกมแก้วสั่งนัทธมนให้ปล่อยลูกของเธอเดี๋ยวนี้ นัทธมนเหน็บแกมแก้วว่าตกลงห่วงลูกหรือเกรงความจริงจะปรากฏถ้าเด็กคนนี้คือ ผาณิตจริงๆแกมแก้วไม่เชื่อว่าลินจันทร์คือผาณิตกลับชาติมาเกิดอย่างที่นัทธม นอ้าง

ด้านติสรณ์ขับรถของมนทิราจะเลี้ยวเข้าบ้านกฤตย์ เห็นรถของตัวเองที่นัทธมนขับมาจอดขวางอยู่ ติสรณ์ ถุงแป้งกับมนทิรารีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที...

นัทธมนอุ้มลินจันทร์ โดยเอาเท้าของแกแหย่ลงไปในน้ำ สั่งให้เล่าความจริงทั้งหมดมา เกตุมณีท้วงว่าลินจันทร์เป็นใบ้ จะพูดได้อย่างไร นัทธมนไม่ต้องการให้ลินจันทร์พูด แต่ต้องการให้ผาณิตพูดต่างหาก จังหวะนั้น มนทิรา ถุงแป้งกับติสรณ์วิ่งตามเข้ามา มนทิราขอร้องนัทธมนให้หยุดเดี๋ยวนี้

"คุณ แม่คะ คุณแม่กำลังจะได้ยินความจริงทุกอย่างพร้อมหนูนี่แหละ...คุณผาณิตคะ คุณคงไม่อยากอยู่ในสภาพเดียวกับที่วรดาเคยเจอหรอก" นัทธมนเอาขาลินจันทร์จุ่มน้ำลงไปครึ่งขา ลินจันทร์กลัวลนลาน

"ยอมแล้ว...ฉันยอมแล้ว ฉันขอโทษ...ฉันผิดไปแล้ว...ฉันกลัว"

ทุก คนตกใจ ประหลาดใจ ไม่ใช่เพียงแค่ลินจันทร์พูดได้ แต่เสียงที่พูดออกมาเป็นเสียงผาณิตชัดๆ นัทธมนวางลินจันทร์ ลงข้างสระน้ำ ถามว่าความจริงแล้วคืนนั้น เกิดอะไรขึ้น แกมแก้วหน้าตาตื่น เหลียวซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก ลินจันทร์สะอึกสะอื้นเล่าออกมาเป็นเสียงผาณิต

"คืน นั้น...ฉันเองเป็นคนส่งจดหมายไปนัดเธอออกมา... ไม่ใช่คุณกฤตย์...ฉันรู้ว่าถ้าเป็นคุณกฤตย์ เธอต้องยอมออกมาแน่ๆ แล้วเธอก็ออกมาจริงๆ...แต่สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ มีคนคอยลอบทำร้ายเธออยู่"

"แล้วใครกันเป็นคนลอบทำร้ายฉัน"

ผาณิต ในคราบของลินจันทร์เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังว่า วรดาถูกรุจน์ฟาดด้วยไม้จากด้านหลังจนหมดสติไป แกมแก้วเดินเข้ามาสมทบหลังจากวรดาสลบไปแล้ว

"สวยก็ไม่สวย ยังจะแข่งรัศมี...ออกมาได้แล้ว แม่จอมวางแผน"

ผาณิตออกมาจากพุ่มไม้ใกล้ๆ ท่าทางตื่นกลัว "เอากันอย่างนี้เลยเหรอ...ตายไหม"

"ยัง...คนไม่ตายกันง่ายหรอก" รุจน์โยนไม้ทิ้ง ยืนรอคำสั่งจากแกมแก้วว่าจะให้ทำอย่างไรต่อ

"ใช่...ฉันไม่ยอมให้มันตายง่ายๆหรอก...มันจะสบายเกินไป"

เสียง ผาณิตยังคงออกจากปากของลินจันทร์อย่างต่อเนื่อง ขอร้องวรดายกโทษและขออโหสิกรรมให้เธอด้วย นัทธมนนิ่งอึ้งที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดกฤตย์ไม่เกี่ยวข้องด้วยเลย กฤตย์ถอนใจ มองแกมแก้วอย่างตำหนิ

"อะไร...นี่ทุกคนเชื่อนังปิศาจนั่นหมดเลยเหรอ...มันลวงตาเราอยู่นะ" แกมแก้วโวยลั่น

"เล่าต่อสิคะ คุณผาณิตว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เกิดอะไรขึ้น" นัทธมนเสียงดัง ลินจันทร์สะดุ้งโหยง

"จาก นั้น แกมแก้วกับนายรุจน์ก็ช่วยกันลากเธอไปที่ห้องหลบภัย...มาที่นี่ ที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง" ลินจันทร์หน้าสลด เล่าอีกว่าเธอพยายามทัดทานแล้ว แต่แกมแก้วไม่ฟัง ต้องการขังวรดาให้ตายทั้งเป็นที่นี่ และขู่ว่าถ้าผาณิตปากโป้งก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วย เพราะเป็นคนวางแผนส่งจดหมายให้วรดา

นัทธมนเศร้าใจเมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมด "คุณกฤตย์...หนูขอโทษ"

"ตลอดเวลา เธอทำเหมือนไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยนะ แกมแก้ว" กฤตย์เหลียวมองแกมแก้ว แต่เธอไม่อยู่ตรงนั้นแล้ว

"คุณผาณิต กรรมที่คุณก่อ คุณก็ได้รับมันในชาตินี้แล้ว เรื่องที่ผ่านมา ฉันอโหสิกรรมให้คุณ"

สิ้น เสียงนัทธมน ลินจันทร์เป็นลมล้มพับไปทันที...ด้านแกมแก้วกวาดเครื่องประดับมีค่ากับ เสื้อผ้าข้าวของที่พอจะหยิบฉวยได้ใส่กระเป๋าเดินทาง รีบเผ่นขึ้นรถ ขับออกจากบ้านอย่างรวดเร็ว...

หลังจากแยกย้ายกันตามหาแกมแก้วทั่ว บ้าน ทุกคนไปรวมตัวกันที่ห้องโถง ไม่มีใครเจอตัวแกมแก้ว เกตุมณีประคองลินจันทร์ซึ่งยังนอนหมดสติไว้ในอ้อมกอด

"น่าสงสารลินจันทร์...ที่ความทรงจำจากชาติที่แล้วยังตามมาหลอกหลอนอยู่ตลอด"

"ไม่ใช่ลินจันทร์คนเดียวหรอก...เราทุกคนก็ถูกความหลังตามหลอนอยู่เหมือนกัน" กฤตย์หน้าเศร้า

"เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ...คุณแม่" นัทธมนรู้สึกผิดเต็มหัวใจ ไม่กล้าสบตากฤตย์

"หนูจะไม่พูดอะไรกับคุณกฤตย์เขาหน่อยเหรอลูก"

นัท ธมนมองกฤตย์ แต่เพราะความน้อยใจ กฤตย์เลยบอกว่ายังไม่มีอะไรจะคุยด้วย นัทธมนคิดว่าเขาโกรธเลยขอตัวกลับก่อน ติสรณ์อาสาไปส่ง แล้วเดินประคองนัทธมนที่เหนื่อยล้าออกไปพร้อมกับมนทิรา กฤตย์ลอบถอนใจ เมื่อเห็นติสรณ์ กับนัทธมนสนิทสนมกัน

ooooooo

ติสรณ์อยู่เป็น เพื่อนนัทธมนที่บ้านจนมืดค่ำ นั่งเล่นลูกคิวบิกอยู่นานสองนาน แต่ยังหมุนลูกสี่เหลี่ยมให้สีเหมือนกันทั้งหกด้านไม่ได้ ถามนัทธมนว่ามีพลังพิเศษอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่

"นานแล้ว"

นัท ธมนดึงลูกคิวบิกจากมือติสรณ์ บิดมันไปมาโดยไม่ต้องมอง อึดใจเดียว คืนคิวบิกที่สีเหมือนกันทั้งหกด้านให้ ติสรณ์ เขาถึงกับอึ้ง ถามว่าพลังพิเศษที่ว่าเอาชนะอะไรก็ได้ใช่ไหม มนทิราชิงตอบก่อน

"แต่ชนะใจคนไม่ได้หรอกนะ อำนาจมีไว้แค่บังคับ ถ้าจะชนะใจคนต้องเอาใจเข้าแลก"

"หนูไม่ได้ต้องการจะชนะใจใครนี่คะ"

มนทิรามองหน้าลูก ถามว่าแน่ใจหรือ นัทธมนหลบตา ไม่กล้ายืนยันกับแม่...

ใน เวลาเดียวกัน กฤตย์ ปิติและถุงแป้ง นั่งล้อมวงคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวัน ปิติทึ่งในพลังพิเศษของนัทธ–มนมาก ถึงกับออกปากชมว่าพลังของเธอไม่ธรรมดาจริงๆ กฤตย์รู้เรื่องพลังนี้มานานแล้ว

"หนูก็แอบสงสัยอยู่ตงิดๆเหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าจะเก่งขนาดนี้"

เกตุมณียกถาดใส่แก้วนมเข้ามา "เอ้า...บำรุงกันหน่อยทุกคน...โดยเฉพาะคนขาเจ็บนี่นะ...จะได้มีแคลเซียมไปสร้างกระดูก"

"ขอบคุณครับพี่เกตุ...แล้วลินจันทร์ล่ะครับ"

"หลับไปแล้ว เหมือนแกจำเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นไม่ได้เลยด้วยซ้ำ"

"จำ ไม่ได้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะความทรงจำมันมักจะทำให้เราเจ็บปวดเสมอ" กฤตย์ซึม หวนคิดถึงความทรงจำที่แสนเจ็บปวด เมื่อครั้งที่เขาประคองวรดาไว้ในอ้อมกอด พยายามเรียกหญิงคนรักซึ่งสิ้นใจไปแล้ว เขาจับมือเธอขึ้นมาจูบอย่างอาลัยรัก เห็นแหวนหมั้นที่ตัวเองเคยสวมให้เธอ ยิ่งเสียใจ...

ครู่ต่อมา กฤตย์นั่งอยู่กับพื้นห้องนอนหน้าตู้เสื้อผ้า หยิบแหวนหมั้นที่เขาเคยให้วรดาขึ้นมาจากกล่องที่มีภาพถ่ายของวรดากับสิ่งของ เล็กๆน้อยๆที่เกี่ยวกับเธอ เกตุมณีเดินเข้ามาเห็น เอ็ดว่ายังไม่หายดี ทำไมลงไปนั่งกับพื้นอย่างนั้น แล้วรีบประคองเขามานั่งบนเตียงนอน กฤตย์มองแต่แหวนในมือตัวเอง

"แหวนวงนี้เคยเป็นของวรดา"

"คืนให้เขาอีกทีตอนนี้ก็ยังได้นะ"

กฤตย์ พูดอย่างท้อๆว่า เขากับนัทธมนอายุห่างกันเกือบยี่สิบปี ไม่อยากเป็นภาระให้ใครต้องลำบากมาดูแลเขาตอนแก่ เกตุมณีค้านว่าเขาไม่ได้ดูแก่ขนาดนั้นสักหน่อย กฤตย์รู้ตัวเองดี ตัวเลขยี่สิบปีมันฟ้องอยู่

"เชื่อไหมว่า สุดท้ายคนเราทุกคนจะแก่ทันกัน...ของแบบนี้ถึงที่สุดแล้ว มันอยู่ที่ใจ บางคู่อาจจะมีช่วงชีวิตคู่ที่อยู่ร่วมกันแค่สิบปี แต่ถ้ามันเป็นสิบปีที่มีความสุขก็ยังดีกว่าอยู่ด้วยกันสี่สิบปีโดยมีแต่ความ ทุกข์นะ"

"ทฤษฎีเข้าข้างคนแก่รึเปล่าครับพี่" กฤตย์ยิ้มให้พี่สาว รู้สึกดีขึ้น เกตุมณีพลอยยิ้มไปด้วย...

ด้าน แกมแก้วขับรถหนีมาได้พักใหญ่ แต่แล้วคิดขึ้นมาได้จากสมองอันชั่วร้ายว่า "ถ้าฉันอยู่อย่างมีความสุขไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าใครจะมีความสุขเลย" แกมแก้วกลับรถ มุ่งหน้ากลับทางเก่า

ooooooo

วันรุ่งขึ้น กฤตย์นั่งรอนัทธมนอยู่ในรถซึ่งจอดอยู่หน้าสถานศึกษา มองแหวนหมั้นในมืออย่างมีความหวัง ไม่นานนัก เขาเห็นนัทธมนเดินมาแต่ไกล ขยับจะลงจากรถแต่ต้องเปลี่ยนใจ เมื่อเห็นติสรณ์วิ่งมากอดคอนัทธมนอย่างสนิทสนม กฤตย์ปิดประตูรถ มองหน้าตัวเองในกระจกส่องหลัง

"คิดอะไรอยู่วะ...ไอ้แก่เอ๊ย" กฤตย์รีบขับรถออกไปจากตรงนั้น

สักพัก ติสรณ์กับนัทธมนตามมาสมทบกับถุงแป้งซึ่งนั่งรออยู่ในโรงอาหาร ติสรณ์บอกถุงแป้งว่าหาเพื่อนเจ้าสาวให้เธอได้แล้ว เป็นแบบพิเศษของแท้ ดีไม่ดีพาเหาะได้อีกด้วย นัทธมนงงว่าพูดอะไรกัน

"เรียนจบ...เขาจะขอแป้งแต่งงาน...บ้ารึเปล่าเนี่ย" ถุงแป้งเขินหน้าแดง

นัทธมนทักว่าไม่เร็วไปหน่อยหรือ ถุงแป้งตีแขนเพื่อนหนึ่งที ปรามว่าอย่าพูดไป เดี๋ยวติสรณ์เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาเธอจะไม่ได้แต่งงาน นัทธมนถึงกับร้องอ้าว ตกลงว่าจะเอาอย่างไร กันแน่ แต่พอเห็นทั้งคู่ทำท่ากุ๊กกิ๊กหยอกกันไปมา นัทธมนรู้ทันทีว่าทั้งคู่จะแต่งงานกันจริงๆ พลอยยินดีไปกับเพื่อน...

กฤตย์เดินกะเผลกๆใช้ไม้เท้าค้ำยันเข้ามาในบ้าน ปิติวางโทรศัพท์แล้วหันมาบอกกฤตย์ว่า ไม่ได้ข่าวแกมแก้วเลย ไม่รู้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ถามว่าพวกเราจะทำอย่างไรกันดี กฤตย์เชื่อว่าเมื่อไหร่ที่แกมแก้วขายสมบัติติดตัวไปหมดก็คงจะกลับมาเอง

"ถ้า...แกมแก้วไม่กลับมา ยังไงฉันกับเกตุมณีตกลงกันแล้วว่า จะขอยายลินจันทร์ไปเลี้ยงเป็นลูกที่ต่างจังหวัด จะขัดอะไรไหม"

"ก็แล้วแต่เจ้าตัวเขาก็แล้วกัน"

"แต่นายต้องอยู่ที่นี่คนเดียวน่ะสิ...เหงาแย่เลย"

"สุดท้ายแล้ว คนเราทุกคนก็ต้องอยู่คนเดียวไม่ใช่เหรอ" กฤตย์สีหน้าหม่นหมอง ปิติมองแล้วหดหู่ใจ...

ค่ำแล้ว เกตุมณีอาบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตา หวีผมให้ลินจันทร์ ด้วยความรัก ออกปากชวนเด็กน้อยไปอยู่รีสอร์ตที่ต่างจังหวัดด้วยกัน อวดว่าที่นั่นมีภูเขา มีที่โล่งๆให้วิ่งเล่นด้วย ลินจันทร์ เอียงคอมอง ไม่เข้าใจ

"ไปเป็นลูกแม่เกตุไง เอาไหม...หือ...ลูกสาว" เกตุมณียิ้มอบอุ่น ลินจันทร์เข้าใจความหมายโผกอดเกตุมณีแน่นแทน คำตอบ...

ขณะที่นัทธมนกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง เงาสะท้อนในกระจกเงาของโต๊ะเครื่องแป้งร้องเรียกนัทธมนให้ตื่น นัทธมนลืมตาลุกขึ้นนั่ง ถอนใจเหนื่อยใจ บอกว่าเธอเลิกคิดถึงเงาสะท้อนของตัวเองแล้ว ทุกอย่างก็จบไปแล้ว เงาสะท้อนไม่ยอม จะจบได้อย่างไรในเมื่อคนที่ทำร้ายวรดายังไม่ถูกลงโทษ

"ฉันเหนื่อย เหนื่อยจริงๆนะ มีคนตายคนเจ็บ คนเสียใจมากเกินไปแล้ว ฉันฝันร้ายมานานเกินไปแล้ว"

"แล้วเธอก็จะต้องอยู่กับฝันร้ายแบบนี้ตลอดไป ถ้าเธอยังไม่กำจัดมัน ไม่ลงโทษมันนังแกมแก้ว...เรารอกันมาสิบเก้าปี ข้ามภพข้ามชาติมาเพื่อสิ่งนี้นะ" เงาสะท้อนในกระจกดูไม่ค่อยพอใจ

"เธอต่างหาก ข้ามภพข้ามชาติมาเพื่อสิ่งนี้ ฉันอยู่ที่นี่ ตรงนี้ ฉันจะกลับไปเป็นนัทธมนคนเดิม ลูกที่ดีของแม่อีกครั้ง"

"ตื่นมาพบกับความจริงได้แล้ว นัทธมน"

นัทธมนสะดุ้งเฮือก ตื่นจากฟุบหลับอยู่ที่โต๊ะอาหาร นาฬิกาบอกเวลาห้าทุ่มแล้ว ประตูบ้านยังเปิดอยู่ เธอเดินมาชะเง้อมองไปหน้าบ้าน แล้วกดโทรศัพท์หาแม่ แต่ไม่มีใครรับสาย นัทธมนไม่สบายใจมาก...

ขณะเดียวกัน ที่โกดังก่อสร้างไร้ผู้คน มนทิราถูกมัดงอก่องอขิงอยู่กับพื้น โทรศัพท์มือถือของเธอตกอยู่ไม่ห่างนัก เธอพยายามตะกายจะหยิบ แต่แกมแก้วเดินเข้ามาคว้าไปเสียก่อน

"นึกว่าฉันโง่หรืออย่างไร...เอาน่า เดี๋ยวคงได้เจอลูกหรอกน่า...นะ" แกมแก้วหย่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นลงในขวดโหลน้ำกรด เกิดฟองฟู่จากการกัดกร่อนควันคลุ้ง

ooooooo

ติสรณ์กับถุงแป้งมาหานัทธมนที่บ้านทันทีที่รู้ว่ามนทิราหายตัวไปตั้งแต่เมื่อคืน นัทธมนเกรงว่าเรื่องนี้อาจเกี่ยวพันกับแกมแก้ว ถุงแป้งเห็นด้วย ถามว่าแกมแก้วติดต่อมาหรือยัง นัทธมนส่ายหน้า

"เขาคงคิดหนักแหละ ทำอะไรบุ่มบ่ามก็ไม่ได้ เห็นฤทธิ์ เธอมาแล้วซะขนาดนั้น" ติสรณ์ตั้งข้อสังเกต

"แล้วแม่ฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย"

"ฉันว่าน้าแก้วฉลาดนะ สิ่งเดียวที่จะคานอำนาจเธอได้ตอนนี้ก็คือ ความปลอดภัยของแม่เธอนี่แหละ"

นัทธมนยิ่งหวั่นใจ เกรงแม่จะถูกทำร้าย...

ในเวลาไล่เลี่ยกัน กฤตย์ซึ่งยังเดินขากะเผลกๆ มาทำงานเป็นวันแรกหลังจากได้รับบาดเจ็บ พวกพนักงานพากันยืนตบมือต้อนรับเจ้านาย เลขาฯ กระเซ้ากฤตย์ว่าขยันเกินไปหรือเปล่า

"เดี๋ยวลูกค้าหนีหมดพอดี...เราใช่ไหมเป็นคนบอกให้ไปตามหาที่เรือนเก็บของ"

"ค่ะ...วันนั้นไม่รู้นึกยังไงอยู่ๆคำว่าเรือนเก็บของๆมันกระแทกเข้ามาอยู่นั่นแหละ จนต้องพูดออกมา"

กฤตย์แปลกใจ ถามว่าวันนั้นมีใครอยู่ที่นี่บ้าง พอรู้ว่านัทธมนอยู่ด้วย เขาเดาได้ทันทีว่าต้องเป็นฝีมือเธอแน่ๆ รีบผลุนผลันออกจากสำนักงานตรงไปหานัทธมนที่บ้าน เพื่อขอบใจเธอที่ปลดปล่อยและให้อภัยเขา

"คุณไม่ได้ทำอะไรหนู หนูจะไปมีสิทธิ์อะไรอภัยให้คุณ"

"เธอปล่อยฉันออกมาจากห้องนั้นทั้งๆ ที่ยังคิดว่าฉันเป็นคนทำร้ายเธอ นั่นแหละ อภัย...นั่นแหละคือการยกโทษให้"

"หนูไม่ได้เป็นคนพาพวกนั้นไปพบคุณที่เรือนเก็บของสักหน่อย" นัทธมนปากแข็งไม่ยอมรับ

"คงไม่เป็นการบังเอิญหรอกมั้ง ที่อยู่ดีๆคนของฉันจะคิดถึงสถานที่แห่งนั้นขึ้นมาได้ในวันที่เธออยู่ตรงนั้นพอดี" กฤตย์จ้องหน้านัทธมนเขม็ง นัทธมนอึกอัก ไม่รู้จะพูดอะไร

จังหวะนั้นมีเสียงโทรศัพท์มือถือของนัทธมนดังขึ้น นัทธมนรับสายจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงแกมแก้ว รีบเดินเลี่ยงมาพูดอีกมุมหนึ่งไม่อยากให้กฤตย์ได้ยิน แกมแก้วถามว่าอยากได้แม่คืนไหม นัทธมนรับคำ

"ดี...แกมาคนเดียวนะ ห้ามบอกใคร ไม่งั้นแม่แกไม่ได้ตายดีแน่"

"ค่ะ...ที่ไหนคะ...ได้ค่ะ...ฉันจะไปค่ะ" นัทธมนวางสาย ขณะที่กฤตย์จ้องมองเธออย่างสงสัย นัทธมนแต่งเรื่องว่าเพื่อนโทร.มาตาม ต้องขอตัวก่อน

"ติสรณ์งั้นเหรอ"

นัทธมนรีบเออออตาม แล้วเดินขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า โดยวางโทรศัพท์มือถือเอาไว้ กฤตย์หยิบมันขึ้นมากดดูเบอร์โทร.เข้าล่าสุดแล้วกดโทร.ออก...ทันใดนั้น โทรศัพท์มือถือของแกมแก้วดังขึ้น แกมแก้วดูเบอร์โชว์หน้าจอ ก่อนจะ กดรับสาย "นังปีศาจ...รีบๆมาเร็วเข้า อย่าโอ้เอ้พิรี้พิไร ไม่งั้นแม่ของแกตาย"

แกมแก้ววางสายแล้วขว้างมันทิ้งโดยไม่รอคำโต้ตอบใดๆ กฤตย์ถือสายค้าง ตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน จะโทร.กลับอีกครั้ง แต่นัทธมนเดินลงมาเสียก่อน กฤตย์รีบวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม แกล้งถามหามนทิรา

"คุณแม่...เอ่อ...ไปธุระค่ะ"

กฤตย์พยักหน้ารับรู้ ขอตัวกลับ แล้วรีบเดินออกจากบ้าน นัทธมนเก็บโทรศัพท์มือถือใส่กระเป๋า เดินไปไหว้รูปถ่ายของพ่อบนหิ้ง ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองแม่ด้วย แล้วขึ้นรถขับออกไปทันที อารามรีบร้อนไม่ทันสังเกตเห็นรถของ

กฤตย์ขับตาม...

ขณะเดียวกัน มนทิราดิ้นจนเชือกมัดมือหลุด คลานไปได้นิดเดียวก็ชนผนังทั้งสี่ด้าน เธอไม่รู้ว่าตัวเองถูกขังไว้ที่ไหน รู้แต่ว่าเป็นที่แคบๆมืดทึบ เธอพยายามทุบรอบๆด้านร้องขอความช่วยเหลือ แต่ทุกอย่างเงียบ

ooooooo

กฤตย์รอจนนัทธมนเดินหายเข้าไปในโกดังร้าง โทร.ตามปิติให้มาช่วย แต่ติดต่อไม่ได้ แบตฯโทรศัพท์ ของเขาใกล้หมด ตัดสินใจโทร.หาถุงแป้ง วานหลานช่วยติดต่อปิติให้ที แล้วบอกสถานที่ที่ปิติจะต้องไป

"ค่ะ...ได้ค่ะ...รู้จักค่ะ...ฮัลโหลๆ"

กฤตย์ยังพูดไม่จบแบตฯของเขาหมด ติสรณ์ซึ่งกำลังขับรถอยู่ ถามถุงแป้งว่ากฤตย์โทร.มาทำไม ถุงแป้งไม่รู้ รายละเอียดอะไรมาก รู้แค่กฤตย์ต้องการให้พ่อของเธอไปเจอเขาด้วยท่าทางรีบร้อน ถุงแป้งโทร.หาติดต่อพ่อไม่ได้ เลยชวนติสรณ์ไปหากฤตย์กันเองเพราะรู้ว่าเขาต้องการความช่วยเหลือ...

ด้านแกมแก้วยืนหงุดหงิดรออยู่ในโกดังร้าง อยู่ๆร่างของเธอปลิวไปกระแทกผนัง ก่อนหล่นพื้น แกมแก้วยันตัว

ลุกขึ้น เห็นนัทธมนเดินเข้ามาหา พร้อมกับโบกมือ ลังลอยกระแทกแกมแก้วหงายท้องตึง

"ปล่อยแม่ฉันมาซะ คุณแกมแก้ว"

"เอาสิ...ฆ่าฉันเลยก็ได้ แม่แกจะได้อดตายเหมือนแกไงล่ะ"

นัทธมนใช้พลังยกแผงไม้ลอยเหนือหัวแกมแก้วแต่ไม่กล้าปล่อยลงมา แกมแก้วท้าให้ฆ่าตัวเธอเสีย นัทธมนเกรงจะไม่ได้เจอแม่ เหวี่ยงแผงไม้นั้นทิ้ง แกมแก้วยิ้มได้ใจเดินเข้าหานัทธมน

"ไงล่ะ...ไม่เก่งอีกแล้วเหรอ เก่งสิ...อวดอำนาจสิ ทำไมไม่ทำล่ะ" แกมแก้วตบนัทธมนซ้ายขวาๆจนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แล้วตามขึ้นคร่อม ตบซ้ำอีกจนนัทธมนเลือดกบปาก

"เอาสิ...อุตส่าห์ตามข้ามภพข้ามชาติมาไม่ใช่เหรอ... ทำไมมาสิ้นฤทธิ์เอาตรงนี้ล่ะ"

"ปล่อยแม่ฉันไปก่อนสิ" นัทธมนมองแกมแก้วอย่างแค้นจัด

"ได้...แกกินน้ำกรดนี่ก่อนสิ แล้วฉันจะบอกว่าแม่แกอยู่ที่ไหน" แกมแก้วเดินไปหยิบโหลน้ำกรดมาจับปากนัทธมนบีบจะกรอกน้ำกรดใส่ กฤตย์เข้ามาผลักแกมแก้วกระเด็น โหลน้ำกรดแตกควันคลุ้ง ขังเป็นแอ่ง นัทธมนแปลกใจที่กฤตย์ ตามมาถูก แกมแก้วโวยวายลั่น หาว่านัทธมนบอกกฤตย์

"ฉันไม่ได้บอกใครทั้งนั้น"

"เขาไม่เกี่ยว เขาไม่ได้บอกอะไรเลย"

"พี่กฤตย์จะเข้าข้างมันเหรอ...พี่กฤตย์ไม่สนใจเลยใช่ไหมว่าแก้วจะเป็นไง"

"เราทำผิดมามากพอแล้วนะ" กฤตย์หันหลังให้แกมแก้ว เดินกะเผลกๆไปหานัทธมน แกมแก้วสบโอกาสตอนกฤตย์เผลอ คว้าไม้หน้าสามตีเข้าที่ขาเขาจากด้านหลัง จนล้มลงข้างๆนัทธมน...ฝ่ายติสรณ์กับถุงแป้งขับรถมาจอดเทียบรถของกฤตย์ ทั้งคู่แปลกใจที่เห็นรถของนัทธมนจอดไม่ห่างกันนัก...

แกมแก้วถือไม้เดินเข้าหากฤตย์หมายจะฆ่าให้ตาย นัทธมนทักท้วงว่านั่นพี่ชายของแกมแก้วเอง แต่แกมแก้วไม่สนใจ สั่งนัทธมนให้เลือกเอาระหว่างแม่ตัวเองกับคนรักจะเก็บใครไว้

"แกมแก้ว...บ้าไปแล้วหรือ" กฤตย์พยายามพูดเตือนสติ

แกม แก้วไม่ฟัง เอาไม้ตีเข่าเขาซ้ำอีก กฤตย์ร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด นัทธมนตัดสินใจยากลำบาก จังหวะนั้น นัทธมนมองเลยไปด้านหลังแกมแก้ว เห็นติสรณ์กับถุงแป้งวิ่งตามเข้ามา เธอหลับตาใช้พลังพิเศษ ทำให้แกมแก้วเห็นทั้งคู่เป็นปณิตากับสร้อย ทีแรกแกมแก้วงงๆไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

นัทธมนใช้พลังเพิ่มอีก แกมแก้วได้ยินปณิตาพูดว่า "เราหลอกนังนัทธมนมันสำเร็จ"

"ใช่ค่ะ...เราแกล้งเป็นบ้า ไม่อย่างนั้น มันจะมาถึงวันนี้เหรอ" สร้อยเสริม

ในที่สุดแกมแก้วก็เชื่อ ยิ้มดีใจ "ฉันไม่ได้อยู่คนเดียวๆ...เธอหลอกฉันซะสนิทเลย"

"จะหลอกพวกมันได้ ก็ต้องหลอกพวกเดียวกันให้ได้เสียก่อนสิ"

กฤตย์ มองอย่างงงๆเห็นแกมแก้วพูดอะไรเป็นตุเป็นตะกับติสรณ์และถุงแป้ง ทั้งติสรณ์กับถุงแป้งได้แต่พยักหน้าเออออไปตามเรื่อง แกมแก้วได้ยินปณิตาถามว่าเอาแม่ของนัทธมน ไปไว้ที่ไหน แกมแก้วป้องปากกระซิบปณิตาและสร้อย แล้วยิ้มเยาะว่า นังนั่นไม่มีทางหาแม่ของมันเจอแน่ๆ

"แต่เราสองคนหาเจอ" ถุงแป้งยิ้มอย่างผู้ชนะ

แกม แก้วมองคนที่ตัวเองเพิ่งกระซิบด้วยอีกครั้ง คราวนี้ เห็นเป็นถุงแป้งกับติสรณ์แทน แกมแก้วรู้ทันทีว่าโดนนัทธมนใช้พลังหลอก นัทธมนลุกขึ้นยืน ถามถุงแป้งว่ารู้ที่ซ่อนแม่ของเธอแล้วใช่ไหม ติสรณ์กับถุงแป้งพยักหน้า วิ่งออกไปอีกทาง นัทธมนตะโกนไล่หลังว่าฝากแม่ของเธอด้วยแล้วหันหาแกมแก้ว

"ลาก่อน...คุณแกมแก้ว"

แกม แก้วเห็นท่าไม่ดีถอยกรูด ก่อนหันหลังวิ่งหนี นัทธมนตามติด กฤตย์ตะโกนขอร้องว่าอย่าทำร้ายแกมแก้ว...ทางด้านติสรณ์กับถุงแป้งวิ่งมาตาม ตู้คอนเทนเนอร์เก่าๆแถวนั้นแล้วเปิดตู้หนึ่งออก เห็นมนทิรานอนหมดแรงอยู่ด้านใน ติสรณ์ กับถุงแป้งรีบเข้าไปปฐมพยาบาล...

อีก ด้านหนึ่งของโกดังร้าง นัทธมนยังคงย่างสามขุมเข้าหาแกมแก้ว พร้อมกับใช้พลังยกแผงไม้ใหญ่ลอยตามแกมแก้วซึ่งยังคงวิ่งหนี เสียงกฤตย์ร้องเรียก "วรดา" นัทธมนหยุดกึก หันมามองเขา

"อภัยได้ไหม...วรดา"

แกม แก้วได้ทีเห็นนัทธมนหันไปมองกฤตย์ คว้าเหล็กแหลมพุ่งเข้าใส่ นัทธมนรู้ทันรีบเอี้ยวตัวหลบแต่ไม่พ้น เหล็กแหลมเฉี่ยวสีข้างเลือดสาด แกมแก้วเสียหลักล้มลงหน้าทิ่มน้ำกรดซึ่งขังเป็นแอ่งที่พื้น ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำกรดกัดหน้าเหวอะหวะ นัทธมนเห็นอย่างนั้นแล้วปล่อยแผงไม้ลงพื้น

"...ฉันอโหสิกรรมให้คุณ...คุณแกมแก้ว"

นัทธมนทรุดฮวบหมดแรงหลังจากใช้พลังไปมาก

ติสรณ์กับถุงแป้งพามนทิราเข้ามา ถุงแป้งปราดเข้าไปประคอง กฤตย์ ขณะที่ติสรณ์วิ่งไปดูแลนัทธมน ส่วนมนทิรามองแกมแก้วอย่างปลงๆ

ooooooo

กฤตย์ นอนเข้าเฝือกอยู่ในห้องพักฟื้น ปิติ เกตุ-มณีกับถุงแป้งนั่งล้อมเตียงอย่างเป็นห่วง ปิติเอ็ดถุงแป้งว่าทีหน้าทีหลังปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ถุงแป้งแก้ตัวว่าโทร.หาพ่อไม่ติด จังหวะนั้น ติสรณ์เปิดประตู ห้องเข้ามาพร้อมกับดอกกุหลาบแดงช่อใหญ่ กฤตย์บอกเขาว่านัทธมนไม่ได้อยู่ที่นี่ อยู่ถัดไปอีกสองห้อง

"ใครบอก ว่าผมมาเยี่ยมนัทธมนล่ะครับ" ติสรณ์ยื่นช่อดอกไม้ผ่านหน้ากฤตย์ไปให้ถุงแป้ง ถุงแป้งยิ้มเขินอาย กฤตย์ มองงงๆถามว่านี่มันอะไรกัน เกตุมณีแหย่น้องชายว่าตกข่าว

"ว่าที่หลานเขยครับ" ติสรณ์ยิ้ม หันไปมองถุงแป้งที่อายม้วน แถมตีแขนเขาแก้เขิน

"แล้ว...เธอกับนัทธมน"

"นัทธมนไหน ไม่มี...ในใจนี่มีแต่ถุงแป้ง" ติสรณ์ หัวเราะพร้อมกับคนอื่น กฤตย์เพิ่งจะถึงบางอ้อ...

ถัด ห้องพักฟื้นของกฤตย์มาอีกสองห้อง นัทธมนนั่งเหม่ออยู่บนเตียง ถามมนทิราซึ่งกำลังเตรียมข้าวกลางวันว่า ความแค้น ความอาฆาต แรงอธิษฐานของวรดามันจบแล้วใช่ไหม

"อภัยเท่านั้นแหละลูก ที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงได้...การแก้แค้น ไม่เคยทำให้สงครามสงบได้หรอก"

"พวกนั้น เขาจะตามจองเวรหนูไปอีกกี่ชาติกันคะ...หนูจะต้องเผชิญกับพวกเขาอีกกี่ภพ"

"ตบมือข้างเดียวมันไม่ดังหรอกลูก ใครจะคิดร้ายกับเรา...ถ้าเราไม่คิดร้ายตอบ สุดท้ายมันก็จะเงียบหายไปเอง"

นัท ธมนนึกถึงแกมแก้ว ปณิตากับสร้อยซึ่งถูกแรงอาฆาตของเธอเล่นงานจนต้องเข้าโรงพยาบาลบ้าได้แต่ถอน ใจ มนทิรา เตือนลูกให้กินอะไรหน่อย นัทธมนเห็นมีผักอยู่ในจานอาหาร เลยไม่อยากกิน

"หลับตาเคี้ยวๆไปก็แล้วกันนะลูก...เดี๋ยวแม่ป้อน"

นัทธมนจำใจหลับตาอ้าปาก ช้อนตักข้าวป้อนเข้าปาก แต่พอเธอลืมตามอง คนที่ป้อนกลับเป็นกฤตย์ เหลียวมอง

รอบห้อง เห็นแค่เธอกับเขาสองคน นัทธมนถามว่า นี่เป็นเพียงจินตนาการของเธอเองหรือเปล่า

"ถ้าเป็นจินตนาการก็คงเป็นจินตนาการของคนแก่คนนี้มากกว่า"

"คุณกฤตย์หายโกรธหนูแล้วเหรอ"

"ที่เธอทำฉันขาเดี้ยงน่ะเหรอ ไม่เป็นไรหรอก เพราะเธอจะไถ่โทษโดยทำหน้าที่ดูแลฉันไปตลอดชีวิต"

"เรา ตกลงกันอย่างนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่คะ" นัทธมนยิ้มขำ กฤตย์หยิบช่อดอกไม้ที่ซ่อนไว้ข้างเตียงขึ้นมาออดอ้อนว่า เราสองคนตกลงกันเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม นัทธมนยิ้มรับช่อดอกไม้แทนคำตอบ

ทันใด นั้น ติสรณ์ ถุงแป้ง ปิติกับเกตุมณี และมนทิรา กรูกันเข้ามาในห้อง ต่างยิ้มทำหน้าล้อเลียน นัทธมนอายจะใช้ พลังห้ามพวกนั้นแต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอลองใช้พลังกับสิ่งของ อื่นๆ ประหลาดใจที่พลังหายไป กฤตย์ถามว่า เสียดายหรือเปล่า นัทธมนรู้สึกดีใจมากกว่า ทุกคนส่งเสียงเฮ ยิ้มแย้มให้กัน

ooooooo

ผ่าน ไปไม่นาน กฤตย์พานัทธมนมายังสวนดอกไม้ ในรีสอร์ตที่เพชรบูรณ์ ซึ่งเขาเคยพาวรดามา นัทธมนถาม เขาว่า ยังคิดถึงวรดาอยู่ใช่ไหมถึงพาเธอมาที่นี่ กฤตย์ยังคิดถึงวรดาทุกวันทุกคืน นัทธมนหน้างอ

"คิดถึงจนกว่าคุณจะตายใช่ไหมคะ...บางทีคุณอาจจะอยากอยู่แค่กับคนในอดีตของคุณไม่ใช่หนู"

"สิบ เก้าปีมาแล้วที่ฉันคิดว่าส่วนหนึ่งในชีวิตของฉัน ตายไปแล้วพร้อมกับวรดา หัวใจฉันด้านชาไปหมด ไม่ว่าจะมี ผู้หญิงผ่านมาในชีวิตมากแค่ไหน ฉันก็ไม่เคยรู้สึกกับใครเหมือนวรดา" กฤตย์จับหน้านัทธมนที่เมินหน้าหนีด้วยความน้อยใจให้หันมาทางตนเอง มองเธอด้วยสายตาเต็มเปี่ยมด้วยความรัก

"แต่พอฉันได้เจอเธอ...มัน เหมือนความฝันกับร่างกายที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่แค่เพราะเธอ หน้าตาเหมือนวรดา แต่เป็นเพราะหัวใจของฉันมันเหมือนรู้จักเธอมานานแสนนาน ฉันคิดแต่เรื่องของเธอตลอดเวลา ไม่ว่าเธอจะแสดงท่าว่ารังเกียจฉันมากแค่ไหน หรือเธอจะมีพลังประหลาดอะไร"

กฤตย์จับมือนัทธมนขึ้นมา "ฉันคิดถึงวรดาจริงๆ และในเมื่อวรดาได้ตั้งใจอธิษฐานเพื่อเกิดมาเป็นเธอ...นัทธมน...ฉันก็จะ คิดถึงเธอทุกวัน ทุกคืน คิดถึงจนกว่าฉันตาย" เขาหยิบแหวนหมั้นที่เคยให้วรดามาสวมที่นิ้วของนัทธมน

"แหวนวงนี้เคยเป็นของคนที่ฉันรักที่สุด คงไม่ผิดถ้าฉันจะคืนมันให้กับคนที่ฉันรักที่สุดเหมือนเดิม"

"คงจะสายไปแล้วสำหรับวรดา แต่ก็ไม่ช้าไปสำหรับฉันค่ะ" นัทธมนยิ้มปลื้ม

กฤตย์ดึงหญิงสาวเข้ามาใกล้ๆ "ฉันรักเธอนะ...นัทธมน"

"ฉันก็รักคุณค่ะ...คุณกฤตย์...รักมานาน...นานมากแล้วด้วย" สองหนุ่มสาวกอดกันอย่างมีความสุข

ooooooo

–อวสาน–

อ่านละครย่อเรื่อง ด้วยแรงอธิษฐาน ตอนที่ 17 (ตอนอวสาน)
ที่มา ไทยรัฐ