อ่านละครย่อเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ตอนที่ 2
เวลาไล่เลี่ยกัน เคนขับรถแท็กซี่มาส่งแสงระวีหน้าเรือนจำ หญิงสาวแอบย่องเข้าไปใกล้ๆได้ยินพวกตำรวจคุยกันจึงได้รู้ว่านักโทษกำลังจะเผาเรือนจำ เรื่องนี้ ต้องเป็นข่าวใหญ่หน้าหนึ่งแน่ๆ แสงระวีคิดได้อย่างนั้น รีบกลับมายังรถแท็กซี่ขอร้องเคนให้ช่วย ทีแรกเคนไม่ยอมช่วย แต่ทนเสียงรบเร้าของแสงระวีไม่ไหว
เคนเข้าไปหลอกล่อจ่าเพิ่มตามแผนของแสงระวี พอพวกตำรวจตามเคนไปอีกด้านหนึ่งของเรือนจำ แสงระวีจึงลัดเลาะหลบหลีกเข้าไปในเรือนจำจนได้...
ด้านในเรือนจำ โรสตั้งสติได้รีบวิ่งตามลิงลม แต่ถูกลิงลมซึ่งดักรออยู่ ชกท้องน้อยอย่างแรงจนสลบคามือ แล้วจับเธอกดลงกับโต๊ะหมายจะลวนลาม สิงห์ถือปืนวิ่งเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
"ปล่อยผู้หญิงเดี๋ยวนี้...ถอยออกมา ไม่อย่างนั้นฉันยิงแกจริงๆ"
ลิงลมหัวเสีย รอยสักรูปหนุมานเรืองแสงออกมา เขาหันมาทางสิงห์แล้วโบกมือ ท่อนเหล็กที่วางอยู่ใกล้ๆพุ่งเข้าใส่สิงห์ทันที ตำรวจหนุ่มโดดหลบได้อย่างเฉียดฉิว พร้อมกับยิงปืนสวนกลับ ลิงลมกระโจนหลบกระสุนออกทางหน้าต่าง วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว สิงห์รีบเข้ามาประคองโรสซึ่งหมดสติไปส่งโรงพยาบาล...
ฝ่ายแสงระวีแอบถ่ายภาพเหตุจลาจลภายในเรือนจำไว้ทุกแง่มุม เดินสำรวจไปจนถึงลานว่างข้างเรือนจำ เห็นนักโทษคนหนึ่งท่าท่างมีพิรุธ ด้วยสัญชาตญาณของนักข่าว เธอลอบตามนักโทษคนนั้นไปห่างๆจนมาถึงกำแพงเรือนจำที่สูงตระหง่าน หญิงสาวสงสัยว่าเขาจะหนีออกไปอย่างไร
ทันใดนั้น รอยสักหนุมานที่อกของนักโทษคนนั้นเรืองแสงขึ้น พร้อมกับดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ นักโทษคนนั้น ก็คือลิงลมนั่นเอง กระโดดทีเดียวข้ามกำแพงสูงเกือบสิบเมตรได้อย่างชิลด์ๆ แสงระวีตกตะลึงหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายภาพแต่ไม่ทัน รีบวิ่งลัดเลาะไปอีกทางเพื่อตามไปถ่ายภาพเขา...
นอกกำแพงเรือนจำ รถของผู้พันอำนาจ เจ้าพ่อใหญ่ จอดรอลิงลมอยู่ พอลิงลมเปิดประตูรถเข้ามานั่งอำนาจต่อว่าว่าทำไมชักช้า ลิงลมอ้างว่ามีตำรวจเข้ามาเกะกะเลยเสียเวลาไปหน่อย อำนาจไม่พอใจเกรงว่าแผนจะเสีย ลิงลมคุยโม้ว่าไม่มีทางเพราะเขาจัดการคนของอำนาจที่ส่งเข้าไปช่วยเขาเรียบร้อยแล้ว
"แต่ที่จริงผู้พันไม่ต้องส่งคนมาก็ได้ ยังไงผมคนเดียวก็ออกมาได้สบาย"
"มันถูกส่งเข้าไปเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าแกตายในเรือนจำ เพราะงานที่ฉันจะให้แกทำต่อจากนี้เป็นงานสำคัญ ฉันไม่อยากเสียมือดีๆไปอีก"อำนาจสั่งคนขับรถให้ออกรถได้
ขณะคนขับรถของอำนาจจะขับรถออกไป เห็นแสงระวี วิ่งเข้ามาหา ทางกระจกส่องหลัง รีบรายงานเจ้านายว่ามีคนตามมา อำนาจหันไปมอง เห็นหญิงสาวกำลังยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูป เขารู้ทันทีว่าเธอเป็นนักข่าว ลิงลมอาสาจะจัดการเอง ลงจากรถตรงเข้าหาเป้าหมาย แสงระวีรู้ว่ามีภัยมา แต่ด้วยวิญญาณนักข่าวหัวเห็ด เธอกดรัวชัตเตอร์กล้องถ่ายรูปไม่หยุด จนพอใจแล้วจึงหันหลังวิ่งหนี
ลิงลมกระโจนทีเดียวมายืนขวางทางแสงระวีไว้ มองกล้องในมือหญิงสาวอย่างเจ้าเล่ห์ แสงระวีเห็นท่าไม่ดีกอดกล้องไว้แน่น ลิงลมยกมือขึ้นโบก แสงระวีลอยกระแทกกำแพง ก่อนทรุดฮวบลงไปกองกับพื้น ลิงลมหยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาทุบทิ้ง แล้วย่างสามขุมเข้าหาหญิงสาว รถของอำนาจถอยมาจอดข้างๆ
"พอได้แล้ว...ทิ้งมันไว้นี่แหละ"
ลิงลมกลับขึ้นรถตามคำสั่งของอำนาจ แสงระวีได้รับบาดเจ็บที่หัว สายตาพร่ามัวมองไปที่ภายในรถ อำนาจหยิบแว่นดำขึ้นมาสวม มองจ้องมาที่หญิงสาวก่อนจะกดกระจกรถปิด แสงระวีหมดสติไปตรงนั้น...
ด้านโรสหรือหมวดรสรินนอนหมดสติอยู่ในห้องพักฟื้น สิงห์เข้ามาเยี่ยมอาการเหลือบเห็นเชือกผูกเสื้อคนไข้หลุด เผยให้เห็นเนินอกขาว ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เขาหันหน้าไปทางอื่นแล้วช่วยผูกเชือกให้ โรสรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาเห็น ร้องเอะอะหาว่าเขาจะลวนลาม จับข้อมือสิงห์บิดอย่างแรง ถึงกับร้องลั่น
"เดี๋ยวๆๆ ผมไม่ได้ลวนลามคุณ เชือกเสื้อคุณหลุด ผมจะช่วยผูกให้เฉยๆ...ผมเป็นตำรวจ...ผมช่วยชีวิตคุณไว้"
โรสไม่ฟังคำแก้ตัวใดๆบิดแขนสิงห์แรงขึ้นอีก
สิงห์เจ็บมาก ทนไม่ไหวพลิกข้อมือกลับ ล็อกตัวหญิงสาวกดลงบนเตียงแล้วคร่อมตัวกันไม่ให้ดิ้น จังหวะนั้น จ่าเพิ่มเข้ามาเห็นพอดีรีบขอโทษขอโพยเจ้านายที่พรวดพราดเข้ามา สิงห์ปล่อยมือจากโรสรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน ก่อนถามจ่าเพิ่มเสียงเข้มว่ามีเรื่องอะไร
"เราพบคุณแสงระวีได้รับบาดเจ็บอยู่ข้างเรือนจำ ตอนนี้ ถูกพามารักษาตัวที่นี่ครับ"
สิงห์เป็นห่วงแสงระวีมาก ฝากจ่าเพิ่มช่วยสอบปากคำโรสเพิ่มเติมแล้วผลุนผลันตรงไปยังห้องพักฟื้นของแสงระวีทันที พอเขารู้ว่าเธอไม่เป็นอะไรก็สบายใจ แต่ไม่วายตำหนิหญิงสาวที่ดื้อรั้นแอบตามเขามาจนได้รับบาดเจ็บ แสงระวีโต้ว่าไม่ต้องเป็นห่วงเธอ เขาน่าจะไปตามจับนักโทษหลบหนีมากกว่ามาอยู่กับเธอที่นี่ และเธอยังเห็นอีกว่ามีรถมารับนักโทษคนนั้น เธอพยายามจะถ่ายรูปพวกนั้น แต่ถูกมันเล่นงานเสียก่อน
สิงห์สีหน้าครุ่นคิด สงสัย โรสซึ่งยืนฟังอยู่หน้าห้องนานแล้ว เข้ามาถามสิงห์ว่านักโทษที่ว่าใช่คนคนเดียวกับที่ทำร้ายเธอหรือเปล่า สิงห์ยังไม่ทันตอบอะไร โรสหันไปถามแสงระวีว่าจำหน้านักโทษคนนั้นได้ไหม แสงระวีเห็นหน้าเขาไม่ค่อยชัด จำได้แค่รอยสักรูปหนุมานที่อกของเขา
"ใช่แน่แล้วค่ะผู้กอง ต้องเป็นนักโทษคนนั้นแน่"
โรสฟันธง
สิงห์กลับหาว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดเพราะทางตำรวจพบศพนักโทษคนนั้นถูกไฟคลอกตายอยู่ในเรือนจำ และทางเราก็นับจำนวนนักโทษแล้ว ไม่เห็นมีใครหายไป แสงระวีกับโรสต่างพากันแปลกใจ สักพัก สิงห์กับโรสออกมาคุยกันต่อที่โถงทางเดิน โรสขอบคุณสิงห์ที่ช่วยชีวิตเธอไว้และขอโทษเรื่องที่เข้าใจผิด สิงห์ยิ้มรับคำขอโทษอย่างอบอุ่นจริงใจ โรสใจเต้นไม่เป็นส่ำกับรอยยิ้มนั้น ก่อนขอตัวกลับไปทำรายงาน
ooooooo
ขณะที่เสือขับรถอีแต๋นบรรทุกข้าวสารหลายสิบกระสอบไปขายในโรงสีข้าว มะลิซึ่งนั่งมาข้างๆอยากอวดว่าขับรถอีแต๋นได้ เลยยื้อแย่งพวงมาลัยรถจะมาขับเอง ทำให้รถเสียหลักไถลตกข้างทาง เสือจะจัดการกับรถด้วยตัวเอง แต่นึกขึ้นได้ว่าถ้าทำอย่างนั้น มะลิจะรู้ ความลับเลยออกอุบายให้เธอไปตามคนมาช่วย
เสือรอจนมะลิเดินไปพ้นสายตา ลากรถอีแต๋นขึ้นมาไว้บนถนนอย่างเดิมด้วยตัวเองคนเดียว แล้วขับตามจนทันมะลิ จอดรับเธอขึ้นรถ มะลิแปลกใจว่าเอารถขึ้นจากข้างทางได้อย่างไร
"มีคนผ่านมาพอดี พี่เลยขอให้เขาช่วย"
เสือเกรงมะลิจะถามมากความ รีบตัดบทเร่งให้ขึ้นรถ ไม่นานนักสองพี่น้องมาถึงโรงสีข้าว แต่ถูกผู้จัดการโรงสีกดราคารับซื้อต่ำกว่าเจ้าอื่นที่เอาข้าวมาขาย มะลิโกรธต่อว่าต่อขานเขาเป็นการใหญ่
"ก็ข้าวของพวกแกไม่เหมือนข้าวของคนอื่นเขานี่หว่า ข้าวของพวกแกไม่ได้มาจากกำนันฉ่ำ...ถ้าอยากขายได้ราคาดีๆล่ะก็...โน่น...เข้าไปจังหวัดแล้วกัน เผื่อจะมีคนรับซื้อ" ผู้จัดการผละไปอย่างไม่สนใจ
เสือไม่พอใจมาก แต่ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ รู้แล้วว่าทำไมพวกชาวบ้านถึงต้องขายที่นาให้กำนันฉ่ำ...
ภายในสำนักพิมพ์ฟ้าใหม่ แสงระวีเอารูปถ่ายมาส่งให้พนักงานเรียงพิมพ์ เหลือบเห็นบทความของคอลัมนิสต์ที่ชื่อ ลมใต้ปีก ในหัวข้อ "สมคบคิดกันโกงชาติ ถึงเวลาต้องล้างบาง นักการเมือง" เธอสนใจขึ้นมาทันที ถามพนักงานว่าหนังสือพิมพ์ ฉบับนี้ ตีพิมพ์บทความของลมใต้ปีกด้วยหรือ
"ค่ะ...เพิ่งส่งมาเมื่อเช้านี้เอง...บก.ยังไม่ได้อ่านเลย"
แสงระวีขอยืมไปอ่าน แล้วหยิบต้นฉบับนั้นออกไปนั่งอ่านที่บริเวณมุมสงบ เธอชอบใจกับบทวิจารณ์ที่ดุดันและเต็มไปด้วยความจริงที่ตีแผ่อย่างเจ็บแสบ แสงระวีเห็นธงไทเดินผ่านถึงกับออกปากชมเจ้าของคอลัมน์ให้เขาฟัง ธงไทสีหน้าแปลกใจ หยิบต้นฉบับนั้นขึ้นมาดู
"พ่อว่าคราวนี้เขาเขียนหนักเกินไป สงสัยต้องถอนบทความของเขาออกจากหนังสือ"
แสงระวีคัดค้านหัวชนฝาไม่ให้ถอน พวกเราต้องช่วยกันสนับสนุนลมใต้ปีกถึงจะถูก ธงไทเกรงว่าถ้าลงบทความนี้ อาจจะนำความเดือดร้อนมาให้เราได้ แสงระวียืนยันไม่ว่าอย่างไรต้องลงบทความนี้ให้ได้
"ถ้าพ่อจะตามใจลูก ยอมตีพิมพ์บทความของลม–ใต้ปีก แล้วลูกจะยอมทำตามที่พ่อต้องการได้ไหม"
แสงระวีตอบตกลงโดยไม่ทันคิด กว่าเธอจะรู้ตัวก็สายเกินไป เพราะธงไทยื่นเงื่อนไขให้เธอไปทำข่าวชิ้นอื่นที่ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเป็น ข้อแลกเปลี่ยน เขาส่งเธอไปทำข่าวเกษตรกรรมที่หมู่บ้านดอนควาย...
ครู่ต่อมา แสงระวีกลับมาเก็บเสื้อผ้ากับสัมภาระจำเป็นใส่กระเป๋าเดินทาง บ่นกับสิงห์ซึ่งตามมาเป็นกำลังใจว่าพ่อของเธอขี้โกง รู้ว่าห้ามเธอตรงๆไม่ได้เลยใช้วิธีนี้แทน สิงห์ไม่ดูทิศทางลมดันมาสารภาพความในใจที่มีต่อเธอตอนที่เธอกำลังอารมณ์บูด แสงระวีไม่ได้คิดอะไรด้วยจึงไม่ได้สนใจ สิงห์ถึงกับหน้าสลด
"พี่สิงห์อย่าลืมเรื่องที่แสงระวีขอร้องให้ช่วยนะ แสงระวีอยากรู้จริงๆว่าลมใต้ปีกเป็นใคร"
"แล้วทำไมแสงระวีไม่ถามคุณอาล่ะ"
"ที่สำนักพิมพ์ไม่มีใครรู้จักตัวตนที่แท้จริงของลมใต้ปีกหรอกค่ะ เขาส่งบทความมาให้เราตีพิมพ์ แต่ไม่เคยให้เรารู้เลยว่าเขาเป็นใคร...นะคะ ช่วยแสงระวีด้วย แล้วกลับมาแสงระวีจะมีรางวัลให้"
"พี่จะลองดู แต่ไม่รับปากนะ" สิงห์ยิ้มให้ แสงระวีพยักหน้ารับรู้ ขึ้นรถสตาร์ตขับออกไป สิงห์มองตามรถของแสงระวี ยิ้มชอบใจ สบายใจที่เธอทำข่าวที่ไม่ต้องทำอะไรเสี่ยงๆอีก
ooooooo
เหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่สิงห์คิด แสงระวีเดินทางมาทำข่าวเกษตรที่บ้านดอนควายกลับพบกับเรื่องไม่ชอบมาพากล ชาวนาเกือบทั้งหมู่บ้านเป็นแค่ชาวนารับจ้าง พวกเขาขายที่นาให้นายทุนไปหมดแล้ว แสงระวีถึงกับอึ้ง รีบออกไปหาข่าวที่โรงสีข้าวประจำหมู่บ้าน ด้อมๆมองๆอยู่แถวนั้น จนเริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ
เจ้าของรถบรรทุกที่มาขนข้าวสารออกไปจากโรงสีไม่ใช่คนไทย แต่เป็นพวกฝรั่งตาน้ำข้าว แสงระวีหยิบกล้องขึ้นมาเตรียมถ่ายรูป แต่ยามโรงสีเข้ามาขวาง สั่งห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด แสงระวีอ้อนวอนขอร้อง
"ไม่ได้ก็บอกไม่ได้...ถ้าไม่ฟัง โดนดีแน่" ยามขู่สีหน้าเอาเรื่อง
แสงระวีรีบเดินเลี่ยงไป แต่พอยามเผลอ เธอแอบถ่ายภาพพวกฝรั่งเอาไว้ได้...
คืนวันเดี่ยวกัน ขณะแสงระวีนั่งพิมพ์ข่าวอยู่หน้าโน้ตบุ๊กภายในบังกะโลที่พัก เธอมองภาพถ่ายพวกฝรั่งที่อยู่ในกล้องดิจิตอลด้วยสีหน้าครุ่นคิด ระหว่างนั้น สิงห์โทร.มาถามสารทุกข์สุกดิบ แสงระวีไม่ปริปากบอกเขาถึงเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายอาชีพนักข่าวของเธอให้ฟัง เกรงว่าถ้ารู้ถึงหูพ่อ เธอจะอดทำข่าวชิ้นนี้...
แสงระวีตื่นแต่เช้ารีบแต่งตัวออกไปหาข้อมูลกับชาวบ้านในพื้นที่ ซักถามว่านายทุนที่มากว้านซื้อที่นาไปจากชาวบ้านเป็นใคร ป้าชาวบ้านหน้าเสีย รีบบอกปัดไม่อยากพูดถึง
"ป้าไม่ต้องกลัวหรอกค่ะ ฉันสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยแหล่งข่าว"
ป้านิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนพูดชื่อกำนันฉ่ำกับศรลูกชายของกำนันฉ่ำ แสงระวีซักอีกว่ายังมีที่นาของใครอีกบ้างที่ยังไม่ถูกกว้านซื้อ ได้ความว่าเหลือบ้านของเสือคนเดียวเท่านั้นที่กล้าต่อสู้กับอิทธิพลมืดของ กำนันฉ่ำ จากนั้นแสงระวีรีบบ่ายหน้า ไปหาเสือ ถามชาวบ้านไปตลอดทางว่าบ้านของเสืออยู่ไหน
"บ้านบักเสืออยู่โน่น...เดินลัดทุ่งออกไปก็เจอแล้ว"
แสงระวีเดินไปตามทิศทางที่ชาวบ้านชี้ พวกชาวบ้านพากันตั้งข้อสังเกตว่าผู้หญิงคนนี้อาจเป็นเมียของเสือที่มาตามหา ผัว ดอกสร้อยเดินมาได้ยินชาวบ้านคุยกันพอดี รีบเข้ามาถามด้วยความสนใจ...
ด้านแสงระวีเดินมาตามคันนาแต่ไม่เห็นบ้านใครสักหลัง กวาดตามองไปรอบบริเวณมีแต่ความว่างเปล่า แดดเริ่มร้อนขึ้นทุกที ทันใดนั้น เธอเห็นควายตัวหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาหา ตกใจร้องลั่น
"ช่วยด้วย...ควายไล่ขวิด...ช่วยด้วย"
แสงระวีไม่รอช้า หันหลังกลับวิ่งหนี ควายบุญลือไล่ตามไม่ลดละ แสงระวีเสียหลักตกจากคันนาลงไปในปลักโคลน บุญลือหยุดมองหญิงสาวที่ลุกขึ้นมาในสภาพตัวเปรอะโคลนมอมแมม เสือตามบุญลือมาเจอคนแปลกหน้าล้มลุกคลุกคลานอยู่ในปลักโคลน ร้องถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า
"ฉันขึ้นไม่ได้...ช่วยฉันขึ้นไปหน่อย"
เสือหยิบไม้ท่อนยาวๆยื่นลงไปให้ บอกหญิงสาวจับไม้แน่น เดี๋ยวเขาจะดึงเธอขึ้นมาเอง มือของหญิงสาวเปื้อนโคลนเลยจับไม้ไม่แน่น พลาดลื่นตกลงไปในปลักโคลนอีก เสือยื่นไม้ให้อีก แต่ยังไม่ทันตั้งหลักหญิงสาวออกแรงดึงไม้ เสือถึงกับหัวทิ่มล้มทับเธอเต็มๆ เลอะโคลนไปด้วยกันทั้งคู่...
ระหว่างที่เสือพาแสงระวีซึ่งขาเจ็บนั่งซ้อนบนหลังบุญลือ มาตามทางลูกรัง บุญลือเดินๆหยุดๆทำให้หน้าอกของแสงระวีกระแทกหลังชายหนุ่มเป็นระยะๆ แสงระวีโมโหมากคิดว่าเสือแกล้ง ยิ่งได้รู้ว่าเขาจะพาเธอไปบ้านของเขา เธอเลยลงจากหลังควายจะเดินเอง แต่พอทิ้งน้ำหนักลงเท้า เธอเจ็บแปล๊บแทบยืนไม่ได้
เสือมองอย่างรู้ทัน "พอบอกว่าจะพาไปบ้าน คุณก็เลยกลัวผมจะพาคุณไปทำอะไรใช่ไหม"
"เปล่าเสียหน่อย ฉันมีธุระกับเพื่อนฉัน...ฉันนัดเขาไว้เดี๋ยวเขาจะรอ"
เสือแปลกใจ ถามว่ารู้จักคนในหมู่บ้านนี้ด้วยหรือ เป็นใครกัน เผื่อเขารู้จักจะได้พาไปส่ง พอแสงระวีบอกว่ามาหาเพื่อนชื่อเสือ ลูกแม่พุ่ม เสือถึงกับชะงัก แสงระวีสงสัยว่าทำไมเขานิ่งไปมีอะไรหรือเปล่า
"เปล่าไม่มีอะไรหรอกครับ บ้านบักเสืออยู่ข้างหน้านี่เอง ผมพาไปส่งได้"
แสงระวีไม่ไว้ใจเขา เลยเดินกะเผลกๆไปเอง เสือมองตามหญิงสาว สงสัยว่าเธอจะมาไม้ไหน...พักใหญ่กว่าแสงระวีจะมาถึงบ้านเสือ ตะโกนเรียกเสืออยู่หน้าบ้าน ไม่เห็นมีใครขานรับ เธอตัดสินใจเดินเข้าบ้านกวาดตามองหา ไปทั่ว เห็นผู้ชายคนเมื่อกี้ยืนอาบน้ำนุ่งผ้าขาวม้าผืนเดียวอยู่ข้างตุ่มน้ำ
แสงระวีโวยวายลั่นว่าเขามาทำอะไรที่นี่ เสือตอบกวนๆว่าอาบน้ำอยู่ไม่เห็นหรือ แถมชวนเธอมาอาบน้ำล้างโคลนด้วยกัน แสงระวีโกรธ โทษว่าที่เธอต้องสกปรกมอมแมมแบบนี้เป็นเพราะควายของเขา
"ควายมันเห็นคนแปลกหน้าดูท่าทางไม่น่าไว้ใจมันก็ไล่ขวิดเอา สัญชาตญาณสัตว์ไปว่าไม่ได้หรอก"
"ฉันเนี่ยนะไม่น่าไว้ใจ นายต่างหากล่ะที่ไม่น่าไว้วางใจ อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ เห็นฉันไม่ใช่คนแถวนี้เลยโกหกว่านี่เป็นบ้านเพื่อนฉัน คิดจะหลอกฉันมาปล้ำใช่ไหม"
เสือหัวเราะขำกลิ้ง "อย่างคุณเนี่ย ผมว่าดูเขาผสมเทียมควายสนุกกว่าตั้งเยอะ"
แสงระวีด่าสวนทันทีว่าไอ้บ้า แล้วปรี่จะเข้าไปชกหน้าเสือ ไม่ดูตาม้าตาเรือเหยียบก้อนสบู่ที่พื้นเสียหลักจะล้ม เสือรีบเข้าไปประคอง พลอยเสียหลักลื่นล้มไปด้วยกัน ในสภาพเสือนอนทับบนตัวหญิงสาว จังหวะนั้นดอกสร้อยเข้ามาเห็น กรี๊ดสนั่น หาว่าเสือนอกใจ เสือปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไร
"เห็นอยู่ตำตาแบบนี้ยังบอกว่าไม่ทำอะไรอีก ทำไมพี่เสือไม่บอกฉันว่าพี่เสือมีเมียแล้ว"
แสงระวีเพิ่งรู้ตัวว่าโดนเสือหลอก โกรธจัด ตรงเข้าถีบยอดอกเขากระเด็นลงไปกองกับพื้น ผ้าขาวม้ากับคนอยู่กันคนละทิศละทาง แสงระวีกรีดร้องลั่นที่เห็นเสือโป๊รีบเอามือปิดหน้าปิดตา ขณะที่ดอกสร้อยจ้องมองเขาไม่วางตา เสืออับอายมาก คว้าผ้าขาวม้ามาปิด แล้วรีบวิ่งเข้าบ้าน
ooooooo
หลังจากแสงระวีอาบน้ำล้างคราบโคลนออกหมด ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่มะลิเอามาให้ มะลิขอโทษแสงระวีแทนพี่ชายตัวเอง อ้างว่าที่เสือต้องโกหกเพราะอยากรู้ เหตุผลว่าทำไมเธอถึงแต่งเรื่องว่าเป็นเพื่อนกับเขาดอกสร้อยพูดแทรกขึ้นทันที ว่าแสงระวีมีเจตนาอะไรแอบแฝงหรือเปล่าถึงต้องถ่อมาหาเสือถึงที่นี่
"ฉันมีธุระกับนายเสือ ไม่ได้มีธุระกับคุณ"
"แต่ฉันเป็นแฟนพี่เสือ ถ้าเธออยากคุยอะไรกับเขา บอกผ่านฉันก็ได้" ดอกสร้อยโต้ไม่ยอมแพ้
มะลิต้องปรามเพื่อนให้ใจเย็นๆแสงระวีคงมีธุระสำคัญกับพี่เสือจริงๆ แสงระวีพยักหน้า ก่อนแสดงตัวว่าเธอเป็นนักข่าวมะลิกับดอกสร้อยหันมองหน้ากันงงๆ...
ทันทีที่เสือเห็นหน้าแสงระวีชัดๆโดยไม่มีคราบโคลนมาปิดบัง เขาจำได้ว่าเธอคือนักข่าวซึ่งเขาช่วยออกมาจากค่ายของนายพลเล่าสือ เผลอหลุดปากทัก
"อ๋อ...คุณนั่นเอง...นักข่าวหัวเห็ดคนนั้น"
แสงระวีแปลกใจที่เสือทำท่าเหมือนรู้จักเธอ เสือรีบกลบเกลื่อนว่ารู้จักเธอจากคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์แล้วเปลี่ยนเรื่อง พูด ถามว่ามาตามหาเขาทำไม แสงระวีต้องการสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับกรณีต่างชาติจ้องยึดที่นาคนไทยโดยมี กำนันฉ่ำกับลูกชายเข้ามาเกี่ยวข้อง และเธอยังได้ยินมาอีกว่า เขากำลังต่อสู้เรื่องนี้อยู่
เสือมองหญิงสาวอย่างไม่ค่อยชอบใจนัก เดินเลี่ยงจะเข้าบ้าน แสงระวีตามติด มะลิกับดอกสร้อยยืนฟังอยู่ไม่ห่าง แสงระวีพยายามตื๊อเสือให้ยอมให้ข้อมูลกับเธอ แต่เสือบอกปัดว่าไม่อยากยุ่งกับพวกนักข่าว ไม่อยากทำให้ครอบครัวของตัวเองต้องเดือดร้อน
"ฉันสัญญา...ฉันจะปกปิดแหล่งข่าว จะไม่ให้ใครรู้ว่าฉันได้ข้อมูลมาจากนาย"
"ทั้งดอนควายมีครอบครัวผมครอบครัวเดียวที่กำลังมีปัญหากับพวกนั้น ถ้าข่าวของคุณถูกตีพิมพ์ไอ้พวกนั้นมันไม่โง่หรอกคุณนักข่าว...คุณกลับไปได้ แล้ว แล้วก็อย่าไปยุ่งกับพวกกำนันฉ่ำ เพราะที่นี่กล้องถ่ายรูปกับปากกาของคุณมันช่วยปกป้องคุณไม่ได้" เสือเตือนด้วยความหวังดี
มะลิเข้ามาช่วยขอร้องเสืออีกแรง แต่ไร้ผลเสือไม่ยอมช่วย เดินหนีไปหน้าตาเฉย แสงระวีจะตามดอกสร้อยเข้ามาขวาง บอกแสงระวีให้กลับไปได้แล้ว อย่ามาเซ้าซี้อะไรเสืออีก แสงระวีไม่รู้จะทำอย่างไรจำใจเดินออกไป มะลิรีบตามมาขอโทษ ที่ช่วยอะไรแสงระวีไม่ได้
"ไม่เป็นไร ถ้าเขาอยากดื้อให้เขาดื้อไป พี่จะหาทางของพี่เอง"
"มะลิพอจะช่วยอะไรพี่สาวได้บ้าง"
แสงระวีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ถ้ามะลิช่วยพี่ บางทีพี่อาจจะได้ข้อมูลจากทางพวกกำนันฉ่ำ"
มะลิชะงัก เท่าที่ฟังแผนการของแสงระวีแล้ว น่าจะมีอันตรายไม่น้อย
ooooooo
ระหว่างที่มะลิเอาสำรับกับข้าวมื้อกลางวันมาให้เสือกินที่เพิงท้ายนา เธอยังพยายามเกลี้ยกล่อมเสือให้เปลี่ยนใจยอมช่วยแสงระวี เสือขอร้องให้เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้วไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่ยอมตกเป็น เครื่องมือของแสงรวีเด็ดขาด ทันใดนั้นมีเสียงพูดดังขึ้น
"ไอ้เสือ...ขอข้าวเหนียวสักปั้นสิวะ กำลังหิวเลย"
เสือหันไปมองตามเสียง เห็นคนแบกเป้ยืนยิ้มหน้าบาน เสือร้องทักด้วยความแปลกใจว่าลมอะไรหอบเคนมาถึงที่นี่ หรือว่าที่กรุงเทพฯไม่มีงานให้ทำ เคนคุยฟุ้งว่าได้งานขับแท็กซี่ แต่ดันซวยไปมีเรื่องกับตำรวจ เถ้าแก่เจ้าของอู่เลยให้พักงานชั่วคราว เสือสงสัยว่ามีเรื่องอะไรกับตำรวจ
"เรื่องมันยาวไว้เล่าให้ฟังทีหลัง แต่ที่ข้ามาหาเอ็งเพราะได้ข่าวไม่ดีเกี่ยวกับจ่าผาดจะมาบอก...จ่าผาดเป็น มะเร็ง ตอนนี้ลาออกจากทหารแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน พรรคพวกที่ค่ายบอกว่าจ่าเขาฝากจดหมายไว้ให้เอ็ง" เคนหยิบจดหมายของจ่าผาดมายื่นให้ เสือมองจดหมายในมือเคนอย่างใจหาย...
จ่าผาดตกใจแทบช็อกเมื่อได้ยินหมอบอกว่าเขาเป็นโรคร้ายแรงจะอยู่ได้ไม่เกิน สามเดือน จ่าผาดต่อรองกับหมอว่าพอจะมีเส้นทางให้เขาอยู่ได้นานกว่านี้ไหมเพราะเขายัง มีเรื่องสำคัญต้องทำ หมอได้แต่ส่ายหน้า จ่าผาดถอนใจ หนักใจ เดินหน้าเครียดออกมาจากห้องตรวจ รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่
จ่าผาดกวาดตามองไปรอบๆห้องโถงของโรงพยาบาล เห็นไอ้ลิงลมยืนจ้องอยู่ ทำท่าเอามือปาดคอยิ้มแสยะให้ จ่าผาดถึงกับชะงัก แต่พอมองไปอีกทีลิงลมหายตัวไปแล้ว จ่าผาดเดินตามหาก็ไม่เจอ เขารู้ทันทีว่าภัยกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้... ในเวลาต่อมาจ่าผาดกลับถึงบ้านรู้ตัวว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
"เอ็งต้องการอะไรจากข้า...ไอ้ลิงลม"
ลิงลมเดินออกมาจากห้องข้างๆยิ้มกวนโอ๊ย แดกดันว่าขนาดใกล้ตาย หูตาของจ่าผาดยังว่องไวเหมือนเดิม จ่าผาดต่อปากต่อคำว่าไม่เพียงหูตาเท่านั้นที่ไวมือตีนของเขาก็ไวเช่นกัน ว่าแล้วจ่าผาดหันไปคว้าเก้าอี้ไม้ใกล้ตัวเหวี่ยงใส่ลิงลม ลิงลมยืนนิ่ง ยกเท้าเตะสะกัด เก้าอี้พังกระจุยก่อนถึงตัว
"สงสัยไอ้มะเร็งที่มันอยู่ในตัวจ่า คงทำให้ฝีมือจ่าถดถอย ถ้างั้นวันนี้เชิงมวยโคราชโบราณที่จ่าภูมิใจนักหนา มันคงต้องสิ้นชื่อแน่" ลิงลมพูดเสร็จ กระโจนใส่
จ่าผาดเบี่ยงตัวหลบ แล้วอัดศอกใส่ลิ้นปี่ลิงลม ก่อนจะพุ่งตัวหนีออกทางหน้าต่าง ลิงลมไม่รอช้าไล่ตามไปติดๆจ่าผาดเจ็บแน่นหน้าอกจนต้องหยุดพัก ลิงลมโดดมาขวางหน้า จ่าผาดฮึดสู้ ตั้งการ์ดด้วยเชิงมวยโคราช ทั้งสองเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลิงลมประมาทคิดว่าอาการป่วยจะทำให้จ่าผาดกำลังถดถอย
แต่ที่ไหนได้ ประสบการณ์เชิงมวยของจ่าผาดกลับทำให้เขาได้เปรียบ ใช้หมัดเขวี้ยงควายอัดเข้ากลางอกลิงลมกระเด็นไปหลายสิบเมตร กระแทกต้นไม้ลงมานอนแน่นิ่ง จ่าผาดออกแรงไปมากถึงกับเหนื่อยหอบ ค่อยๆเดินมาดูสภาพไม่ไหวติงของลิงลม ก่อนผละจากไป ไม่นานนัก ลิงลมรู้สึกตัว กระอักออกมาเป็นเลือด
"หมัดเขวี้ยงควาย...กูจะตามจองล้างจองผลาญมึง" ลิงลมเข่นเขี้ยวด้วยความแค้น...
ด้านเคนรอจนเสืออ่านจดหมายของจ่าผาดจบ จึงถามว่าจ่าผาดว่าอย่างไรบ้าง เสือเล่าว่าจ่าผาดต้องการเขาไปเป็นลูกศิษย์เพื่อถ่ายทอดเชิงมวยโคราช เนื่องจากแกไม่มีใคร
สืบทอดเกรงเชิงมวยที่ว่าจะสาบสูญ แต่เสือไม่ต้องการเรียนเชิงมวย เขาอยากเป็นชาวนาธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
"แต่มันก็น่าสนใจนะเว้ย ฝึกไว้เป็นรายได้เสริม ชกมวยหาเงินก็ได้ แล้วอย่างมึงเนี่ย ดีไม่ดีมีสิทธิ์เป็นถึงแชมป์แบบจ่าเขาเลย"
"บอกแล้วไง พลังข้าวเหนียวของข้า ไม่ได้มีไว้ทำให้คนอื่นเจ็บ"
"เออๆๆๆ...ตามใจ จะปล่อยให้จ่าแกตายไปพร้อมกับวิชาความรู้ของแกก็เรื่องของเอ็ง...เป็นข้า หน่อยไม่ได้ สมรักษ์ คำสิงห์ โดนซัดหมอบแน่" เคนบ่นอุบ ขณะที่เสือสีหน้าครุ่นคิด นึกเป็นห่วงจ่าผาด
ooooooo
แสงระวีนอนหลับอยู่ในห้องพัก ฝันเห็นภาพในอดีตเมื่อครั้งที่เธออายุเพียง 12 ขวบ ปริมแม่ของเธอกำลังทำแผลให้เธออย่างห่วงใย แสงระวีกลัวแสบแผล ถอยหนีไม่ยอมให้แม่ใส่ยา ปริมเคยสอนไว้แล้วใช่ไหมว่าถึงลูกจะเป็นแค่เด็กผู้หญิง แต่ต้องหัดเข้มแข็งอดทน เพราะคนที่ทำตัวอ่อนแอมักจะถูกกลั่นแกล้ง
"หนูจำได้ค่ะแม่ แต่หนูกลัว"
"แต่ถ้าหนูเอาชนะความกลัวได้ครั้งหนึ่ง...ครั้งต่อไปหนูก็จะไม่กลัวอีกนะ"
แสงระวีทำตามที่แม่สอน ยอมให้ใส่ยาโดยดีทั้งๆที่แสบแผลจนน้ำตาร่วง ปริมมองลูกสาวอย่างภูมิใจ จังหวะนั้น มีเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ปริมดีใจ คิดว่าธงไทกลับจากทำงาน กระวีกระวาดไปเปิดประตูรั้ว แต่ต้องช็อกแทบสิ้นสติ เมื่อสมุนของอำนาจสองคนเข้ามาล็อกตัวเธอไว้ อำนาจเดินออกจากเงามืดเข้ามาหา
"ไง...ฉันเตือนแกแล้วใช่ไหม ต่อให้หนีไปสุดหล้า ฟ้าเขียว ฉันก็ตามแกเจอ หลักฐานของฉันอยู่ไหน"
"ฉันทำลายหลักฐานของแกทิ้งไปหมดแล้ว อย่ามายุ่งกับฉัน"
อำนาจไม่เชื่อ จิกหัวปริมขึ้นมา "ฉันรู้ทันแกหรอก แกหอบเอาหลักฐานที่จะส่งฉันเข้าคุกหนีมา เพราะคิดว่าจะใช้มันช่วยผัวตัวเองให้ได้ดีในวงการตำรวจใช่ไหม"
อ่านละครย่อเรื่อง นักสู้พันธุ์ข้าวเหนียว ตอนที่ 2
ที่มา ไทยรัฐ