อ่านบทย่อละครทีวี,อ่านละครทีวีเรื่องธรณีนี่นี้ใครครอง,ธรณีนี่นี้ใครครอง,เรื่องทั่วไป,ดวง, ดูดวง, ดูดวงความรัก, เนื้อคู่,ดารา,gossipstar
3 ปี รัฐประหาร 19 กันยาฯวันเปลี่ยนชีวิต แยกครอบครัว ชินวัตร
ครบ รอบ 3 ปี รัฐประหาร 19 กันยายน ” ประชาชาติออนไลน์ ” นำเสนอ นาทีเปลี่ยนชีวิตของคนในครอบครัวชินวัตรไปตลอดกาล ทักษิณ ในคืนยะเยือก ลั่นวาจาอย่างเจ็บปวด ..ผมตกงานแล้ว “คุณหญิงพจมาน” และ “อุ๊งอิ๊ง” บุตรสาวคนเล็ก กบดานอยู่ในเซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง โอ๊ค เกือบยิงตัวตาย !!
… 19 กันยายน ปีนี้ ครบรอบ 3 ปีการรัฐประหาร
19 กันยายน ปีนี้ กลุ่มคนเสื้อแดง จะไปชุมนุมที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศน์ อันเป็นบ้านพักของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ผ่านไป 3 ปี ใครหลายคน ได้ดิบได้ดีจากการรัฐประหาร มียศมีตำแหน่ง ใครหลายคน ออกมาสู้แล้วรวย ขี่รถหรู มีบ้านหลังใหญ่
ใครหลายคน ตกเป็นจำเลยในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ใครบางคน เรียกการรัฐประหาร 19 กันยายนว่า เป็นการรัฐประหารที่เปลืองข้าวสุก เพราะประเทศชาติไม่ได้อะไรเลย
ผ่านไป 3 ปี วันนี้ พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน บิ๊กบัง ผู้นำ คมช. เตรียมกระโจนลงสู่สนามการเมือง
ขณะที่ผู้ถูกยึดอำนาจ หย่ากับเมีย ครอบครัวแตก ผู้นำครอบครัว ระหกระเหิน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โผล่ไปขุดเพชร ขุดทอง เหงาขึ้นมาก็โฟนอินกลับมาเมืองไทย อยากเป็นข่าวก็เล่น ทวิสเตอร์ ให้สื่อไทยตื่นตูมไปวันๆ แก้เซ็ง
“ประชาชาติออนไลน์” นำท่านผู้อ่าน ย้อนกลับไปดู ครอบครัว ชินวัตร ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ในวันที่ 19 กันยายน 2549
… ในวันเกิดเหตุ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ทันได้ปฏิบัติภารกิจในฐานะ “ผู้นำคนที่ 23 ของไทย” ที่ต้องขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ณ กรุงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐฯ
ด้วยเพราะมี “กลิ่น” ของ “อำนาจนอกระบบ” กำลังเคลื่อนเข้ามาประชิดรัฐบาล 377 เสียง
ภารกิจสำคัญของ “พ.ต.ท. ทักษิณ” ในขณะนั้น จึงเป็นการ “เช็คข่าว” ปฏิวัติที่เมืองไทย และเตรียมหาทาง “สู้ข้ามทวีป”
แต่ สุดท้ายความพยายามของ “พ.ต.ท. ทักษิณกับพวก” ก็ล่มลงไม่เป็นท่า เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น ประมุข (คปค.) เข้ายึดอำนาจได้อย่างเรียบ แต่ลึก
จนนำไปสู่สถานภาพที่สุดแสนเจ็บปวด มีเพียงคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดที่ได้ยินคำยอมจำนน จากปาก “ผู้แพ้” ที่ว่า “ผมตกงานแล้ว”
ในช่วงเย็นของวันที่ 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท. ทักษิณมีดินเนอร์มื้อสุดท้ายร่วมกับผู้ร่วมหัว “จมท้าย” ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท สหรัฐฯ
“พ.ต.ท .ทักษิณ” เอ่ยปากชวนผู้ร่วมวงหลายคน อาทิ นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ขอท้าชิงเก้าอี้เลขาธิการยูเอ็น นพ. สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ร่วมเดินทางไปยังกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
แต่หาได้มีใครตกปากรับคำ ยอมร่วม “ทริปไร้อนาคต” กับ “ผู้นำยุคหมดอำนาจ” ไม่
แม้ กระทั่ง “นกเหล็ก” ที่เคยพาเจ้าของรหัส สร. 1 ไปอวดสายตาชาวโลกทั้งเวทีประชุมสุดยอดเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ที่เมืองซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ตามด้วยการประชุมกลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด (นาม) ที่เมืองฮาวาน่า ประเทศคิวบา และประชุมยูเอ็น ที่มหานครนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐฯ
ยังถูกคณะ “อำนาจใหม่” สั่งให้บินตรงกลับประเทศไทย
ทว่า ก่อนจะถึงรันเวย์ปลายทางดังกล่าว “เครื่องบินเช้าเหมาลำจากประเทศไทย” ได้แวะหย่อน พ.ต.ท. ทักษิณ กับ “ผดุง ลิ้มเจริญรัตน์” เลขานุการส่วนตัว ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ในเช้าวันที่ 20 กันยายน 2549
“ผม ตัดสินใจไปอังกฤษเพราะลูกสาว (นางสาวพินทองทา ชินวัตร หรือเอม บุตรสาวคนกลาง) เรียนอยู่ที่นี่ อีกอย่างคือเพราะอังกฤษเป็นประเทศประชาธิปไตย” พ.ต.ท. ทักษิณให้เหตุผล
“เอม” จึงเป็นคนในสกุล “ชินวัตร” คนแรกที่มีโอกาสพบ “ผู้นำครอบครัว” ที่เพิ่งหล่นจากเก้าอี้ “ผู้นำประเทศ”
“วัน ที่พ่อมาถึงเอมเข้าไปกอดพ่อแน่นเลย แล้วพูดประโยคหนึ่งกับพ่อ… ไม่เป็นไรนะพ่อ พ่อจะได้มีเวลากับพวกเราะเยอะขึ้นไง พ่อจะได้มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น” นางสาวพินทองทาเผย
ขณะที่สมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ อย่างไม่ปกติ ในนาทีแห่งการเปลี่ยนแปลง “ขั้วอำนาจ”
“คุณหญิงพจมาน” ภริยา และ “แพทองธาร” หรือ “อุ๊งอิ๊ง” บุตรสาวคนเล็กของพ.ต.ท. ทักษิณ กบดานอยู่ในเซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง
ส่วน “พานทองแท้” หรือ “โอ๊ค” บุตรชายคนโต ออกตระเวนไปหลบอยู่ใน “ที่ปลอดภัย” หลายแห่ง
“โอ๊ค” เล่าว่าได้รับโทรศัพท์จากคุณหญิงพจมานในช่วงบ่ายของวันที่ 19 กันยายน 2549 ขณะกำลังเดินทางไปสนามฝึกซ้อมยิงปิน โดยมารดาสั่งให้เขากลับบ้านด่วน เพราะสถานการณ์ไม่ค่อยดี
แต่จากนั้นไม่กี่อึดใจ ปลายสายเดิมกลับโทรมาแจ้ง “เปลี่ยนแปลงคำสั่ง”
“คำสั่ง” จากแม่เด็ดขาด-ชัดเจน ให้พื้นที่ “บ้าน” เป็นสถานที่ต้องห้าม และเปลี่ยนพิกัดพื้นที่หลบภัย
“พาน ทองแท้” ถูกสั่งห้ามไม่ให้เขากลับเข้าบ้านพักในซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 เพราะเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป และขอให้หลบไปนอนที่อื่น และอย่าแพร่งพรายให้ใครรู้ที่ซ่อนตัว
หลังฟังคำแม่ “โอ๊ค” แวะไปกบดานที่คอนโดมีเนียมของเพื่อนย่านสาธร
“พอ ไปถึงโอ๊คก็เปิดทีวี.ดู เห็นเขาตัดรายการอื่นทิ้งหมด ก็รู้ว่าผิดปกติแล้ว จนกระทั่งมีการยืนยันว่ามีการปฏิวัติ ก็เลยออกจากคอนโดฯ ประมาณเที่ยงคืน แล้วขึ้นไปนั่งอยู่ในรถตู้ส่วนตัว 3-4 ชั่วโมง”
ชั่วโมงแห่งความวิปโยคผ่านไปหลายเพลา แต่ “ผู้สืบสันดานคนที่ 1″ ของ พ.ต.ท. ทักษิณยังนอนขดตัวอยู่ในรถตู้คันเดิม
กระทั่ง เวลา 02.00 น. เศษของวันใหม่ “โอ๊ค” ตัดสินใจต่อสายถึงเลขานุการของเพื่อนสนิทอีกคน เพื่อติดต่อขอใช้บ้านที่มีทำเลอยู่ใกล้ๆ “เซฟเฮาส์เคลื่อนที่” เป็นที่ซ่อนตัวแห่งใหม่
“ผมโทรไปถามว่าขอไปนอนที่บ้านได้ไหม เขาบอกได้ ก็เลยไปอาศัยนอนที่ใต้ถุนบ้านเขา…. คืนนั้นโอ๊คใส่เสื้อกันกระสุนตลอดทั้งๆ ที่ขี้ร้อน แล้วก็นอนใต้ถุน ไม่มีแอร์ ต้องคอยระวังตัวตลอดเวลาตลอดคืนนั้น”
นายพานทองแท้เผย ความลับในนาทีที่ความรู้สึก “เป็น” กับ “ตาย” มีปริมาณเท่าๆ กัน ก่อนบรรยายต่อว่า “ขณะนั้นโอ๊คคิดเลยว่าถ้าต้องถูกพวกนั้นจับตัวไป เพื่อเรียกพ่อกลับเมืองไทยมาติดคุก โอ๊คจะยิงตัวตายเลย ซึ่งถ้าเขาจับลูกคนใดคนหนึ่งไว้ ยังไงพ่อก็ต้องกลับแน่นอน เพราะฉะนั้นต้องหนีก่อน”
“แล้วก็เกือบจะเกิดเรื่องขึ้นตอนประมาณ ตี 5 มีคนในบ้านตื่นเช้าเดินลงมา โอ๊คได้ยินเสียงแก๊กๆๆ ไม่รู้ว่าใคร ก็เลยตะโกนถาม “ใคร?” เหมือนกับเขาไม่ได้ยิน หรือไม่คิดว่าโอ๊คไม่อยู่หรือไงไม่ทราบ เขาก็ไม่ตอบ โอ๊คเห็นท่าไม่ดี ก็ลุกขึ้นปลดเซฟปืน แล้วถามอีก “ใคร?” เลขาฯ เพื่อนได้ยินโอ๊คตะโกนก็เลยรีบวิ่งมาบอก นั่นคุณย่าเขาเอง ก็เลยโอเค ช่วงนั้นใครเข้ามา โอ๊คยิงแน่ ใครจะมาจับนี่สู้ตาย ตายก็ตาย ไม่ยอมให้จับเป็นตัวประกัน” ทายาทอดีตนายกฯ เล่านาทีระทึกขวัญ
ก่อน ฟ้าสาง… นายพานทองแท้ตัดสินใจย้ายที่หลบภัยอีกครั้ง โดยตามไปสมทบกับมารดาและน้องสาวที่บ้านเพื่อนของอุ๊งอิ๊ง ทั้งหมดกบดานอยู่ที่นั่นอีก 2-3 วัน ก่อนย้ายที่อยู่ใหม่ไปเรื่อยๆ เป็นเวลาร่วมๆ 2 สัปดาห์
นายพานทองแท้ยืนยันว่าหลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 สามแม่ลูกซุ่มใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ ตลอด ไม่ได้เผ่นหนีไปประเทศสิงคโปร์ตามที่มีข่าว
การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของเขาคือ การบินตรงไปอังกฤษด้วยเครื่องบินของสายการบินไทย เพื่อพบหน้าพ.ต.ท. ทักษิณเท่านั้น
“ระหว่าง นั้นเราโทรคุยกับพ่อตลอด พ่อบอกให้อยู่แถวนั้นไปก่อน ไม่มีอะไรหรอก เขาคงไม่ทำอะไรลูก ไม่ทำอะไรแม่หรอก” โอ๊คถ่ายทอดคำปลอบประโลมจากพ่อ
แม้ ขณะนั้นพ.ต.ท. ทักษิณจะทำทีเข้มแข็ง และพยายามให้กำลังใจลูก-เมียที่ยังหาทางออกจากประเทศไม่ได้ แต่จิตใจของเขากลับหาความสงบไม่ได้เลยสักวัน นับจากถูกบังคับให้ปลดระวางจากอำนาจ
“พิณทองทา” ลูกสาวคนกลางกลายเป็น “เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ” ชีวิตเดียวที่มี อยู่เคียงข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ในยามตกทุกข์ ระหกระเหิน ในต่างแดน
นัก ศึกษาสาวปริญญาโท สาขาการบริหารจัดการการเงิน ต้องแวะมาหาพ่อที่ “เครียด” จนแทบ “คลั่ง” ทุกวัน ที่อพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งถูกใช้เป็น “บ้านพักคนตกงาน” ชั่วคราว
“ตอนอยู่อังกฤษ คุณพ่อดื้อจะกลับเมืองไทยให้ได้ บอกจะขอเกิดและตายที่เมืองไทยเท่านั้น และจะพูดแต่ว่าพ่ออยากกลับไปสู้ พ่ออยากกลับไปพิสูจน์ พ่อพูดแต่คำแบบนี้” เอมเล่า
ครั้งหนึ่งพ.ต.ท. ทักษิณออกอาการดื้อดึงถึงขีดสุด ยืนกรานจะกลับบ้านเกิดท่าเดียว ทำเอา “เอม” อ่อนใจทรุดตัวไปนั่งกองกับพื้นอพาร์ตเมนต์ เธอกอดขาพ่อ พร้อมส่งเสียงวิงวอน…
“อย่ากลับเมืองไทยตอนนี้ได้ไหม พ่อก็รู้ว่ามันไม่ปลอดภัย พ่อบอกว่าพ่อไม่สนหรอก พ่อไม่กลัว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พ่อต้องกลับไปสู้ พ่อต้องกลับไปพิสูจน์… เอมรู้สึกว่าพ่อดื้อมาก เอมไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่บอกว่าถ้าพ่อรักลูก รักแม่ พ่อต้องอยู่ที่นี่ก่อน”
ในยามที่ “กำลังใจ” คือเครื่องต่อลมหายใจของ “ผู้นำครอบครัว”
“เอม” เผยเบื้องหลังความสำเร็จในการยึดตรึงพ.ต.ท. ทักษิณไว้ที่เมืองผู้ดีว่า เป็นเพราะได้เทคนิคการเจรจา-บอกบท จากผู้เป็นมารดานั่นเอง!
“แม่ จะโทรมาหาเอมตลอด โดยบอกว่าไปหาพ่อนะ พยายามพูดให้พ่ออยู่เมืองนอกกับลูกก่อนนะ ลูกก็รู้ว่ายังกลับเมืองไทยไม่ได้ แม่จะคอยไกด์ตลอด แม่บอกว่าแม่พูดกับพ่อมากไม่ได้ เพราะพ่อรู้ว่าแม่แอนตี้การเมือง เขาจะไม่ค่อยฟัง ให้ลูกพูดแทน แล้วก็สอนว่าให้พูดยังไง” นางสาวพินทองทาบอก
อย่างไรก็ตามพ.ต.ท. ทักษิณผู้มีอารมณ์แปรปรวนเป็นพิเศษ ได้คิดหวนคืนประเทศอีกหลายครั้ง
เขา เคยมีความคิดถึงขั้นว่าจะแอบนั่งเฮลิคอปเตอร์เข้ามาในภาคอีสาน แล้วกระโดดร่มลงมา จากนั้นจะไปหาชาวบ้านในภาคอีสาน และพากันเดินเท้าเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
“ถ้าไม่ชนะไปเลย ก็ตายไปเลย ก็ต้องสู้กับมัน อย่างดีก็แค่ตาย” อดีตนายกฯ ผู้สูญเสียอำนาจพูดอย่างไม่เกรงกลัวการสูญเสียชีวิต
เมื่อ “พ.ต.ท. ทักษิณ” ยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทำให้ “คุณหญิงพจมาน” ต้องวาง “ชีวิตสมรส” เป็นเดิมพันด้วย
“คุณ หญิงพจมาน” ยื่นคำขาดว่า “หากกลับเมืองไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน เราขาดกัน เราเป็นหุ้นส่วนชีวิตกัน ถ้าเธอไม่ฟังแล้วกลับเมืองไทย ทุกอย่างตรงนั้นมันจบ”
วาทะ “หลังบ้านผู้ทรงพลัง” ครั้งนี้ ถูกถ่ายทอดโดยเสียงของบุตรสาวคนกลาง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลบิดาที่อยู่ ณ แดนไกล
“ที่แม่พูดอย่างนี้เพราะแม่ห่วงพ่อมาก กลัวจะหนีกลับเมืองไทย” เอมกล่าวเสริม
หล่อนพรรณนาถึงห้วงเวลาวิกฤตของครอบครัว “ชินวัตร” ว่า “ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยที่พ่อกับแม่แก้ไม่ได้ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร เดินไปหาแม่ แม่ก็จะหาทางออกให้ ทำอย่างนี้ๆ นะ พ่อก็จะบอกอย่างนี้ๆ แต่วันนี้กลับมีปัญหาที่พ่อกับแม่ยังแก้ไม่ได้เลย”
เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์… “โอ๊ค” ได้ตามมาสมทบที่ลอนดอน
เขาจึงเป็น “ชินวัตรคนที่ 2″ ที่มีโอกาสพบหน้าผู้นำครอบครัว
“ไม่เป็นไรนะพ่อ” คือคำพูดแรกที่ “โอ๊ค” กล่าวกับพ่อ ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสวมกอดกัน
ในหัวของบุตรชาย “จำเลยหมายเลข 1″ เชื่อว่าเหตุผลที่ทำให้รัฐบาล “ทักษิณ” โดนปฏิวัติมีเพียงข้อเดียว
นั่นคือ “คนมันอิจฉา”
นายพานทองแท้ “คิด” และ “เห็น” แต่ความชั่วร้ายของเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549
“ครอบครัวชินวัตรที่เคยอบอุ่น เหมือนถูกคนอื่นบังคับให้เลิกกัน ต้องอยู่คนละที่” เขากล่าวถึงวัน “มหาวิปโยค” อย่างชิงชัง
โดยไม่รู้ว่าฝันร้าย จะกลายเป็นจริง ในอีก 2 ปีต่อมา
หลังจากถูกยึดอำนาจ-ถูกฉีกรัฐธรรมนูญ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ยังถูกฉีก “ทะเบียนสมรส” อีกด้วย
เมื่อ “คุณหญิงพจมาน” ตัดสินใจหย่าขาดกับ “พ.ต.ท. ทักษิณ” ออกจากตระกูล “ชินวัตร” กลับเข้าสู่อ้อมกอดแห่งกำเนิดตระกูล “ดามาพงษ์”
เหตุแห่ง 19 กันยา 49 เปลี่ยนแปลงชีวิต-แยกครอบครัว “ชินวัตร” เป็น 2 ฝ่าย หลังใช้ชีวิตสมรสที่รื่นรมย์ร่วมกันมาถึง 32 ปี!!!
“พิณทองทา” ลูกสาวคนกลางกลายเป็น “เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ” ชีวิตเดียวที่มี อยู่เคียงข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ในยามตกทุกข์ ระหกระเหิน ในต่างแดน
นัก ศึกษาสาวปริญญาโท สาขาการบริหารจัดการการเงิน ต้องแวะมาหาพ่อที่ “เครียด” จนแทบ “คลั่ง” ทุกวัน ที่อพาร์ตเมนต์ใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้าแฮร์รอดส์ ซึ่งถูกใช้เป็น “บ้านพักคนตกงาน” ชั่วคราว
“ตอนอยู่อังกฤษ คุณพ่อดื้อจะกลับเมืองไทยให้ได้ บอกจะขอเกิดและตายที่เมืองไทยเท่านั้น และจะพูดแต่ว่าพ่ออยากกลับไปสู้ พ่ออยากกลับไปพิสูจน์ พ่อพูดแต่คำแบบนี้” เอมเล่า
ครั้งหนึ่งพ.ต.ท. ทักษิณออกอาการดื้อดึงถึงขีดสุด ยืนกรานจะกลับบ้านเกิดท่าเดียว ทำเอา “เอม” อ่อนใจทรุดตัวไปนั่งกองกับพื้นอพาร์ตเมนต์ เธอกอดขาพ่อ พร้อมส่งเสียงวิงวอน…
“อย่ากลับเมืองไทยตอนนี้ได้ไหม พ่อก็รู้ว่ามันไม่ปลอดภัย พ่อบอกว่าพ่อไม่สนหรอก พ่อไม่กลัว อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พ่อต้องกลับไปสู้ พ่อต้องกลับไปพิสูจน์… เอมรู้สึกว่าพ่อดื้อมาก เอมไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่บอกว่าถ้าพ่อรักลูก รักแม่ พ่อต้องอยู่ที่นี่ก่อน”
ในยามที่ “กำลังใจ” คือเครื่องต่อลมหายใจของ “ผู้นำครอบครัว”
“เอม” เผยเบื้องหลังความสำเร็จในการยึดตรึงพ.ต.ท. ทักษิณไว้ที่เมืองผู้ดีว่า เป็นเพราะได้เทคนิคการเจรจา-บอกบท จากผู้เป็นมารดานั่นเอง!
“แม่ จะโทรมาหาเอมตลอด โดยบอกว่าไปหาพ่อนะ พยายามพูดให้พ่ออยู่เมืองนอกกับลูกก่อนนะ ลูกก็รู้ว่ายังกลับเมืองไทยไม่ได้ แม่จะคอยไกด์ตลอด แม่บอกว่าแม่พูดกับพ่อมากไม่ได้ เพราะพ่อรู้ว่าแม่แอนตี้การเมือง เขาจะไม่ค่อยฟัง ให้ลูกพูดแทน แล้วก็สอนว่าให้พูดยังไง” นางสาวพินทองทาบอก
อย่างไรก็ตามพ.ต.ท. ทักษิณผู้มีอารมณ์แปรปรวนเป็นพิเศษ ได้คิดหวนคืนประเทศอีกหลายครั้ง
เขา เคยมีความคิดถึงขั้นว่าจะแอบนั่งเฮลิคอปเตอร์เข้ามาในภาคอีสาน แล้วกระโดดร่มลงมา จากนั้นจะไปหาชาวบ้านในภาคอีสาน และพากันเดินเท้าเข้ามาในกรุงเทพฯ เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้น
“ถ้าไม่ชนะไปเลย ก็ตายไปเลย ก็ต้องสู้กับมัน อย่างดีก็แค่ตาย” อดีตนายกฯ ผู้สูญเสียอำนาจพูดอย่างไม่เกรงกลัวการสูญเสียชีวิต
เมื่อ “พ.ต.ท. ทักษิณ” ยอมเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ทำให้ “คุณหญิงพจมาน” ต้องวาง “ชีวิตสมรส” เป็นเดิมพันด้วย
“คุณ หญิงพจมาน” ยื่นคำขาดว่า “หากกลับเมืองไทยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน เราขาดกัน เราเป็นหุ้นส่วนชีวิตกัน ถ้าเธอไม่ฟังแล้วกลับเมืองไทย ทุกอย่างตรงนั้นมันจบ”
วาทะ “หลังบ้านผู้ทรงพลัง” ครั้งนี้ ถูกถ่ายทอดโดยเสียงของบุตรสาวคนกลาง ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลบิดาที่อยู่ ณ แดนไกล
“ที่แม่พูดอย่างนี้เพราะแม่ห่วงพ่อมาก กลัวจะหนีกลับเมืองไทย” เอมกล่าวเสริม
หล่อนพรรณนาถึงห้วงเวลาวิกฤตของครอบครัว “ชินวัตร” ว่า “ไม่เคยมีปัญหาอะไรเลยที่พ่อกับแม่แก้ไม่ได้ ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร เดินไปหาแม่ แม่ก็จะหาทางออกให้ ทำอย่างนี้ๆ นะ พ่อก็จะบอกอย่างนี้ๆ แต่วันนี้กลับมีปัญหาที่พ่อกับแม่ยังแก้ไม่ได้เลย”
เวลาผ่านไป 1 สัปดาห์… “โอ๊ค” ได้ตามมาสมทบที่ลอนดอน
เขาจึงเป็น “ชินวัตรคนที่ 2″ ที่มีโอกาสพบหน้าผู้นำครอบครัว
“ไม่เป็นไรนะพ่อ” คือคำพูดแรกที่ “โอ๊ค” กล่าวกับพ่อ ก่อนที่ทั้งคู่จะเข้าสวมกอดกัน
ในหัวของบุตรชาย “จำเลยหมายเลข 1″ เชื่อว่าเหตุผลที่ทำให้รัฐบาล “ทักษิณ” โดนปฏิวัติมีเพียงข้อเดียว
นั่นคือ “คนมันอิจฉา”
นายพานทองแท้ “คิด” และ “เห็น” แต่ความชั่วร้ายของเหตุการณ์ 19 กันยายน 2549
“ครอบครัวชินวัตรที่เคยอบอุ่น เหมือนถูกคนอื่นบังคับให้เลิกกัน ต้องอยู่คนละที่” เขากล่าวถึงวัน “มหาวิปโยค” อย่างชิงชัง
โดยไม่รู้ว่าฝันร้าย จะกลายเป็นจริง ในอีก 2 ปีต่อมา
หลังจากถูกยึดอำนาจ-ถูกฉีกรัฐธรรมนูญ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ยังถูกฉีก “ทะเบียนสมรส” อีกด้วย
เมื่อ “คุณหญิงพจมาน” ตัดสินใจหย่าขาดกับ “พ.ต.ท. ทักษิณ” ออกจากตระกูล “ชินวัตร” กลับเข้าสู่อ้อมกอดแห่งกำเนิดตระกูล “ดามาพงษ์”
เหตุแห่ง 19 กันยา 49 เปลี่ยนแปลงชีวิต-แยกครอบครัว “ชินวัตร” เป็น 2 ฝ่าย หลังใช้ชีวิตสมรสที่รื่นรมย์ร่วมกันมาถึง 32 ปี!!!
ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก