อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 22 มิ.ย. 2555
พลันเธอก็ชะงักกึกยืนตัวแข็งทื่อเมื่อถูกอาทิจรั้งไว้แล้วเอามือโอบไหล่บอกว่าอย่าเพิ่งไป ชวนดูภาพที่ฉายต่อ ดรุณีกัดฟันกรอด อาทิจเห็นเงียบไปเลยหันมอง เขาผงะยิ้มแหยๆ เมื่อเห็นว่าคนที่ตนโอบไหล่อยู่เป็นใคร เขารีบขอโทษบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ นึกว่าเพื่อน ว่าแล้วก็รีบจ้ำอ้าวไป ทั้งอายทั้งกลัวโดนด่า
ดรุณีโกรธจนอยากจะกรี๊ดให้ลั่นห้องแต่ไม่กล้า เลยได้แต่ยืนสูดลมหายใจลึกๆ ลึกๆ สะกดอารมณ์เต็มที่
ooooooo
ที่สวนส้มเนื้อที่กว้างขวางของย่าแดง ที่ทุกคนเรียกท่านว่าคุณย่า ปกติจะเงียบสงบเพราะแถวนั้นคนงานอยู่ประมาณ 20 คน ทุกคนทำงานขยันขันแข็ง แต่วันนี้มีเสียงแผดกรี๊ดดดด เสียงแหลมแหวกอากาศไปทั่วสวนส้ม
พวกคนงานพากันวิ่งมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอมาถึงเห็นน้าแก้ววัย 60 เศษ ญาติห่างๆของคุณย่าที่มาดูแลคุณย่า จึงเป็นทั้งญาติและคนคอยรับใช้คุณย่า ยืนหัวเราะท้องคัดท้องแข็งอยู่ ใกล้ๆนั้นดรุณีที่เพิ่งแผดเสียงกรี๊ดจนคนงานแตกตื่น ยืนทำหน้าง้ำ พวกคนงานพากันโล่งอก
“หนูโมโหจริงๆนะคะ น้าแก้วขำอะไร”
“ก็น้าแก้วกำลังสงสัยน่ะสิคะว่า คุณณีโดนพ่อหนุ่มคนนั้นโอบไหล่เฉยๆ หรือว่าโดนจุ๊บมากันแน่ ถึงได้กรี๊ดลั่นสวนยาว 3 รอบอย่างนี้”
ดรุณีทำฮึดฮัดบอกว่าก็ลองดูสิ ตนจะได้ชกให้ บ่นว่าผู้ชายอะไรซุ่มซ่ามบ้ากาม ถ้าไม่คิดว่าเป็นสถานที่ที่ต้องเคารพ จะโวยแล้วอัดเสียให้จุกไปเลย
“เขาคงไม่ได้ตั้งใจหรอกแม่ณี สถานที่ศึกษาหา ความรู้อย่างนั้น คงไม่มีใครคิดจะเข้าไปทำอะไรไม่ดีไม่งาม หรอกน่า” ย่าแดงที่กำลังตัดแต่งกิ่งส้มอยู่ติง แล้วไล่พวกคนงานให้ไปทำงานเสีย หันมาบอกดรุณีว่า “เราก็เหมือนกัน จะมายืนอารมณ์เสียอยู่ทำไม มาช่วยย่าแต่งกิ่งส้มนี่ เดี๋ยวก็อารมณ์ดีขึ้นเอง ได้ประโยชน์ด้วย”
ดรุณีจำต้องหันไปหยิบกรรไกรตัดแต่งกิ่งส้ม งับกรรไกรฉับๆๆ บ่นลอดไรฟัน
“อย่างนี้มันโรคจิตชัดๆ เป็นพวกขาดความรักแหงๆ”
ooooooo
ที่บ้านพักนายประวิทย์ ปลัดอำเภอ พ่อของอาทิจ ชายหนุ่มก้าวเข้ามา เห็นนิตยาและภาณี น้องสาวสองคนกำลังพาน้องๆรดน้ำต้นไม้และพรวนดินที่แปลงพืชผักสวนครัวอยู่หน้าบ้าน นิตยาเหลือบเห็นอาทิจก็ร้องออกมาอย่างดีใจสุดๆ
“พี่อาทิจ!!”
สิ้นเสียงนิตยา น้องๆก็วิ่งกรูกันมาห้อมล้อมอาทิจเป็นพรวน เพราะเขาเป็นพี่คนโตและมีน้องๆอีกถึง 9 คน ภาณีวิ่งไปบอกพ่อกับแม่ว่าอาทิจกลับมาแล้ว ส่วนอาทิจ ยังถูกน้องๆมะรุมมะตุ้มจับแขนกอดขา ดึงเสื้ออยู่ที่หน้าบ้าน
อาทิจกอดและโอบน้องๆไว้บอกว่า “พี่คิดถึงทุกคนที่สุดเลยรู้ไหม”
ประวิทย์และพูนทรัพย์ผู้เป็นแม่เดินอ้าวออกมาโดยพูนทรัพย์อุ้มลูกวัย 8 เดือน น้องคนเล็กของอาทิจ ออกมาด้วย ทุกคนดีใจมากกับการเรียนจบและกลับมาของเขา บรรยากาศอบอุ่นเปี่ยมด้วยความรักของคนในครอบครัว
อาทิจบอกพ่อว่าที่จริงตนอยากเรียกต่ออีกสักสองปีจะได้รับปริญญา แต่สงสารนิตยากับภาณีที่เสียสละหยุดเรียนเพื่อให้ตนได้เรียน เลยเปลี่ยนใจมาหางานทำเพื่อส่งน้องๆเรียนดีกว่า
พูนทรัพย์ถามว่าเขาอยากทำอะไร อาทิจบอกว่าอยากเป็นชาวไร่ชาวนาเป็นเกษตรกร พูนทรัพย์ติงว่าทุนรอนเราไม่มี ที่ดินสักกระแบะมือก็ไม่มี จะทำได้อย่างไร ประวิทย์ตัดบทว่า ตำแหน่งเกษตรอำเภอที่นี่ว่างอยู่ พรุ่งนี้จะลองคุยกับนายอำเภอดู ตนปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริตมานาน ท่านต้องเห็นใจและเมตตาแน่ๆ
การพูดคุยยุติลงทั้งที่อาทิจไม่อยากทำงานที่พ่อจะขอให้เลย
ooooooo
รุ่งขึ้น ขณะประวิทย์จะออกไปทำงาน พูนทรัพย์ จึงบอกให้อาทิจลองคุยกับพ่อดู เขาบอกพ่อว่าอาชีพรับราชการเงินเดือนคงไม่พอที่จะส่งน้องเรียน แต่ประวิทย์ชี้ให้เห็นว่าถึงเงินเดือนจะน้อยแต่เป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และสวัสดิการ
เมื่ออาทิจชี้แจงเหตุผลและความสำคัญของเกษตรกรที่มีต่อประเทศชาติ ทำให้เขาอยากเป็นเกษตรกรให้พ่อฟังแล้ว ประวิทย์ตัดบทว่า
“อย่าเพิ่งฝันล้มๆแล้งๆกับอุดมคติที่ยังจับต้องไม่ได้ สิ่งที่ลูกเรียนมามันยังไม่ถึงเศษเสี้ยวของความยากลำบากที่ต้องเผชิญในความเป็นจริง ลูกยังไม่เคยเจอสภาพ ไม่เคยรับรู้ว่าการเกิดมาเป็นชาวนาจริงๆมันทุกข์ยากขนาดไหน...พ่อบอกได้เลยว่า มันไม่น่าพิสมัยนักหรอก” น้ำเสียงประวิทย์ขมขื่นจนอาทิจแปลกใจ
แต่เมื่อประวิทย์ไปคุยกับนายอำเภอด้วยความหวังเต็มเปี่ยมที่จะฝากลูกชายเข้าเป็นเกษตรอำเภอ ซึ่งนายอำเภอก็ยินดีที่เด็กรุ่นใหม่สนใจการเกษตร แต่พอประวิทย์ถามว่าจะเริ่มงานได้วันไหนดี นายอำเภอบอกว่าเริ่มได้ทันทีถ้าหาเงิน 3 แสนมาได้ ทั้งยังขู่ๆว่ารีบๆหน่อยก็แล้วกันเพราะคนที่มาฝากลูกหลานมีหลายคน
ประวิทย์ที่หน้าตาแจ่มใสเปี่ยมด้วยความหวังในตอนแรก บัดนี้ ห่อเหี่ยวหมองคล้ำไปในพริบตา...
ความรู้สึกเสียใจผิดหวังกับข้าราชการบางคนที่กินนอกกินในกินใต้โต๊ะ ทำให้ประวิทย์ไม่คาดหวังงานราชการกับอาทิจอีก บอกลูกว่า
“พ่อว่าบางทีลูกอาจจะคิดถูก เรื่องที่ลูกอยากทำไร่ทำนา บางทีความเหนื่อยยากแต่เป็นอิสรเสรีอาจจะทำให้ลูกมีความสุขมากกว่าต้องมาทนกับระบบพวกพ้องและการประจบเอาหน้าแบบข้าราชการก็ได้”
อาทิจดีใจมาก เขาบอกพ่อว่าจะไปทำงานอย่างอื่นก่อนเก็บเงินมาซื้อที่สักแปลงค่อยผันตัวเองมาเป็นเกษตรกร
พูนทรัพย์ถามว่าจะไปเช่าที่เขาทำหรือ หาได้เท่าไรก็ไปจมอยู่กับค่าเช่าหมด
“มันอาจจะไม่ยากเย็นขนาดนั้นก็ได้แม่ พ่อพอมีหนทาง ว่าแต่...ลูกจะทนลำบากกับงานในไร่ในสวนได้แน่เหรอ” เมื่ออาทิจยืนยันถึงความอดทนใน 5 ปีที่เรียนมา ประวิทย์ตัดสินใจบอกลูกว่า “ดี...ถ้าลูกตั้งใจและมั่นใจอย่างนั้น พ่อก็จะเขียนจดหมายส่งตัวลูกไปทำไร่ทำสวนกับคุณย่า”
“คุณย่า...คุณย่าไหนครับ” อาทิจถามงงๆ เพราะนับแต่เกิดมาจนอายุ 20 เขายังไม่เคยรับรู้ว่าตนมีคุณย่าเลย
พวกน้องๆก็พากันงงไม่น้อยกว่าเขา ส่วนพูนทรัพย์ ละมือจากทำขนม มองหน้าประวิทย์อย่างแปลกใจแกมหนักใจ
ประวิทย์นิ่ง...เงียบ...แต่ในแววตาเขาแฝงไว้ด้วยความสำนึกผิดและขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด
ooooooo
ที่บ้านคุณย่า คืนนี้คุณย่าออกมานั่งดื่มนมอุ่นๆที่ระเบียง ดรุณีมานั่งดื่มเป็นเพื่อน คุณย่าถามว่าคิดหรือยังว่าจะทำอะไร ดรุณีบอกว่าทีแรกคิดจะสอบเข้าคณะเกษตรจะได้มาช่วยคุณย่าดูแลสวน แต่วันก่อนไปดูงานที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงแล้วเลยลังเล อยากทำอาหารกระป๋องแปรรูป จะได้เอาผักผลไม้ที่เหลือจากคัดไปขายมาแปรรูป ถามคุณย่าว่าดีไหม
คุณย่าเห็นด้วยเพราะงานสวนงานไร่หนักเกินไปสำหรับผู้หญิงอย่างเธอ ดรุณีอ้อนว่าทีคุณย่ายังทำคนเดียวมาได้ตั้งนาน
“ย่าทำมาตั้งแต่ยังสาว ตั้งแต่ที่ดินมีแค่กระผีก มันก็เลยชิน แต่ตอนนี้ที่ดินขยายขึ้นเป็นพันไร่ ย่าว่ามันหนักหนาเกินไปสำหรับหนู”
“ถึงจะหนักแสนหนักแค่ไหน หนูก็จะสู้ค่ะ ถ้าไม่มีใครที่คุณย่าพอจะไว้ใจและวางมือให้รับหน้าที่แทนได้ หนูจะขอรับหน้าที่ทุกอย่างแทนคุณย่าเองค่ะ” ดรุณีฉอเลาะ จนน้าแก้วที่มาเก็บแก้วนมได้ยินก็อดขัดคอไม่ได้ว่า
“แต่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อนนะค้า...”
“มันต้องอย่างนั้นอยู่แล้วล่ะน้าแก้ว” ตอบน้าแก้วแล้วกอดแขนคุณย่าอ้อน จนคุณย่ากอดไว้อย่างชื่นใจ
ooooooo
สามวันต่อมา คุณย่าก็ได้รับจดหมายจากประ-วิทย์ คุณย่าให้ดรุณีอ่านให้ฟัง โดยมีน้าแก้วที่อยากรู้อยากเห็นไปเสียทุกเรื่อง นั่งเช็ดแก้วอยู่ใกล้ๆ เงี่ยหูฟังอยู่ด้วย
“...สุดท้ายนี้ ผมกราบขอโทษในความผิดร้ายแรงของผมที่ผ่านมา ผมหวังว่า คุณแม่จะให้อภัยผม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คุณแม่จะเมตตาอาทิจ และรับอาทิจเข้าทำงานที่สวนของคุณแม่นะครับ...พวกเราจะรอความเมตตาและรอฟังข่าวดีจากคุณแม่ครับ...ประวิทย์”
อ่านจดหมายแล้วดรุณีถามคุณย่าว่าประวิทย์ไหนหรือ ทำไมตนไม่เคยได้ยินคุณย่าพูดถึง...เอ่อ...คุณลุงคนนี้มาก่อนเลย
“เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นแหละ”
อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 22 มิ.ย. 2555
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐ