อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 23 มิ.ย. 2555
“เขาเป็นลูกคนโตของย่า ย่าหวังจะพึ่งเขาให้ช่วยสานต่องานในไร่ เขากลับทำให้ย่าเสียใจด้วยการหนีออกจากบ้าน แถมยังขโมยเงินที่ย่าเพิ่งได้จากการขายข้าวไปด้วย ตอนนั้นย่าจนแสนจน เงินนั่นย่าก็กะจะเอาไปจับจองที่นาไว้ให้เขาทำกินนั่นแหละ”น้าแก้วสอดเข้ามาว่า “อ๋อ...คุณประวิทย์ ที่คุณย่าสั่งไม่ให้แก้วส่งข่าวไปบอกตอนคุณปู่เสียใช่ไหมคะ”
“ก็ในเมื่อเขาหนีไปแล้วไม่มีแก่ใจส่งข่าวกลับมา แล้วเราจำเป็นอะไรต้องติดต่อเขา ในเมื่อเขาคิดดีแล้วว่าจะไป ก็ไม่ต้องอาลัยอาวรณ์กันให้มากความ” ดรุณีถามว่าคุณย่าโกรธขนาดนั้นเลยหรือ “ใช่...ตอนนั้นย่าทั้งโกรธทั้งเสียใจ เลยประกาศตัดไม่ยอมให้เขาเข้าบ้าน จนคุณปู่ตายก็ไม่ยอมให้มาเผาผี”
ดรุณีมองคุณย่าตาปริบๆ ไม่กล้าวอแว เพราะไม่ค่อยจะเห็นคุณย่าหน้านิ่งเสียงแข็งอย่างนี้
ooooooo
ส่วนที่บ้านประวิทย์ ลูกๆก็เพิ่งได้รับรู้เรื่องราวในอดีตของเขากับคุณย่าที่พ่อไม่เคยพูดถึงเลย ประวิทย์ยอมรับกับลูกๆว่า ที่ไม่เคยพูดถึงคุณย่าเพราะตนละอายใจ เล่าให้ลูกๆฟังว่า
“ตอนนั้นพ่อเรียนหนักแถมต้องทำงานในไร่ มันเหนื่อยเกินว่าที่พ่อจะทนไหว พ่อก็เลยหนีมาเรียนอย่างเดียว จนกระทั่งแต่งงานมีลูกแล้วก็ยังไม่กล้ากลับไปกราบขอโทษท่าน เพราะละอายใจในความเลวที่ก่อไว้นี่ล่ะ”
ฟังแล้วอาทิจใจห่อเหี่ยวเชื่อว่าคุณย่าคงไม่ให้อภัยพ่อแน่ บอกว่าพรุ่งนี้ตนไปหางานดีกว่า ประวิทย์ให้ความหวังว่า บางทีจดหมายอาจจะยังไม่ถึง อาทิจแย้งว่าหรืออาจจะถูกขยำทิ้งถังขยะไปแล้วก็ได้
“ไม่หรอก พ่อมั่นใจว่าคุณสมบัติและความจริงใจของลูก จะทำให้คุณย่าเปลี่ยนใจ คุณย่าเป็นคนที่รักผืนแผ่นดินมาก คุณย่าย่อมจะต้องรักคนที่รู้จักและรักที่ทำกินบนผืนแผ่นดินด้วย เชื่อพ่อสิ พ่อรู้จักนิสัยของคุณย่าดี”
ทันใดนั้นเอง ภาณีร้องบอกมาอย่างดีใจว่าไปรษณีย์มา ทุกคนกรูกันไปที่หน้าบ้านด้วยความดีใจ แต่พอรับซองจากบุรุษไปรษณีย์กลายเป็นบิลค่าน้ำ...ทุกคนห่อเหี่ยวไปตามกัน
ooooooo
ที่บ้านคุณย่า...คืนนี้ คุณย่ามานั่งบอกให้ดรุณีเขียนจดหมายตอบประวิทย์ ดรุณีเขียนตามคำบอกของคุณย่าเซ็งๆ
“ถามเจ้าอาทิจดูว่า ถ้าต้องมาทำงานกับย่าโดยไม่มีเงินเดือนเลย เขาจะยังอยากมาอยู่ไหม”
ดรุณีตอบแทนทันทีว่านายนั่นต้องไม่มาแน่ๆ คุณย่าสั่งให้เขียนต่อพลางบอกข้อความว่า...
“แม่จะเลี้ยงเจ้าอาทิจเหมือนที่เลี้ยงลูกทุกคน คือไม่มีเงินเดือนให้ แต่จะส่งเสียค่าเล่าเรียนของน้องสาวสองคนเป็นการตอบแทนการทำงาน ถ้าเขาเต็มใจและตกลงตามนี้ ก็ส่งตัวเขามา”
ดรุณีอดไม่ได้อีก บอกคุณย่าว่าเสียเวลาเปล่าๆ นายคนนี้อย่างมากก็แก่กว่าตนไม่กี่ปี เขาน่าจะมีแฟนแล้วและคงอยากเก็บเงินไว้แต่งงานสร้างครอบครัว ถ้าคุณย่าไม่มีเงินเดือนให้ รับรองล้านเปอร์เซ็นต์เขาไม่มาแน่
“นั่นไง...ตั้งป้อมอิจฉาเขาซะแล้ว” คุณย่าดักคอ
“โธ่...คุณย่าขา...หนูจะไปอิจฉาเขาทำไม หลานคุณย่ามาอยู่ที่นี่ตั้งกี่สิบคนแล้ว หนูเห็นเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อกันทั้งนั้น อยู่ไม่ทนสักราย รายนี้ก็คงเหมือนกันนั่นแหละ”
“ก็ในเมื่อย่าให้โอกาสหลานคนอื่นได้ ทำไมหลานคนนี้ย่าจะให้โอกาสบ้างไม่ได้”
“หนูพูดเพราะหนูหวังดีนะคะคุณย่า หนูกลัวว่าคุณย่าจะปวดหัวเหมือนที่แล้วๆมาน่ะค่ะ ขนาดได้เงินเดือนยังอยู่กันไม่ทนเลย นับประสาอะไรกับคนไม่ได้เงินเดือน เลิกเขียนดีกว่าค่ะ เขียนไปก็เมื่อยมือเปล่าๆ หนูว่าเขาไม่มาหรอก”
“นั่นสินะ...ขนาดพ่อเขายังเกี่ยงงานในไร่ในสวนว่ามันหนักมันเหนื่อย แล้วลูกจะทนได้สักแค่ไหน ลูกไม้มันจะหล่นไกลต้นได้ยังไง” คุณย่าถอนใจอย่างครุ่นคิด
ooooooo
วันนี้อาทิจแต่งตัวจะไปสมัครงาน ก็พอดีบุรุษไปรษณีย์เอาจดหมายมาส่ง จุดประกายความหวังแก่ทุกคนขึ้นมาอีก แต่แล้วก็ห่อเหี่ยวฟีบแฟบไปตามกัน เมื่อเป็นบิลเก็บค่าไฟ แต่พอบุรุษไปรษณีย์จะกลับก็นึกได้บอกว่ามีอีกฉบับแล้วหยิบส่งให้ประวิทย์ พูนทรัพย์ถามเซ็งๆว่าบิลค่าอะไรอีกล่ะพ่อ
“ไม่ใช่บิลแม่...นี่มัน...มันจดหมายจากคุณย่า...” ประวิทย์ดีใจจนเสียงสั่น สิ้นเสียงเขา ลูกๆก็ประสานเสียงร้องกันให้แซด “เย้ๆๆจดหมายคุณย่า...จดหมายคุณย่า!!” อาทิจใจเต้นตึ้กตั้กอยากรู้ข้อความในจดหมายใจแทบขาด
ทุกคนกรูกันกลับเข้ามาในบ้าน นั่งกันหน้าสลอนจ้องอาทิจตาเป๋ง คอยฟังพี่ชายอ่านจดหมายของคุณย่า
“...ขอให้เข้าใจอย่างนึงว่า เงินของฉันได้มาแสนยากจากแผ่นดินทั้งสิ้น การจ่ายเงินทุกบาททุกสตางค์จึงต้องมีเหตุผล ถ้าเจ้าอาทิจต้องการมาทำงานกับฉัน ก็ขอให้ส่งค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนของน้องสาวทั้งสองคนมาด้วย เพราะจากนี้ไป เจ้าอาทิจจะต้องทำงานเพื่อแลกกับการศึกษาของน้อง ถ้าเข้าใจและรับได้ตามนี้ก็เดินทางมาทำงานที่นี่ได้เลย บอกเขาว่าย่าของเขาจะคอยเขาอยู่ที่นี่ก็แล้วกัน หวังว่าแกและเมีย รวมทั้งลูกๆทุกคนคงสบายดี...แม่”
อ่านจดหมายจบ อาทิจมองหน้าพ่อด้วยสีหน้ากังวล บอกว่าสำนวนคุณย่าแข็งปั๋งอย่างกับก้อนหินเลย สงสัยท่านจะดุไม่ใช่เล่น
“ดุแต่ไม่พร่ำเพรื่อ ท่านเป็นผู้หญิงเข้มแข็งมากกว่า การทำงานในไร่ในสวนมันต้องอดทน ถ้ากระดูกไม่แข็งไม่แน่จริงละก็...คุมคนงานผู้ชายเป็นร้อยไม่ได้หรอก”
“ลูกก็ตั้งยี่สิบคนนะคะ เลี้ยงลูกไป ทำงานไปได้ขนาดนี้ ฉันล่ะนับถือจริงๆ” พูนทรัพย์เอ่ยอย่างยกย่องชื่นชม
น้องชายอาทิจเป็นห่วงถามว่าพี่ชายจะโดนไม้เรียวฟาดเอ๊า...ฟาดเอาหรือเปล่าเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกใจคุณย่า ประวิทย์บอกว่าอาจจะโดนหนักกว่านั้นก็ได้ ถามอาทิจว่าได้ยินอย่างนี้แล้วจะสู้หรือจะถอย
อาทิจทำหน้าขรึมบอกว่าก็คงต้องถอย ทำทุกคนห่อเหี่ยวไปหมด แต่ไม่ถึงอึดใจเขาก็โพล่งออกมาว่า
“ยอมถอยมายืนให้เต็มสองเท้าแล้วใส่เกียร์เดินหน้าแบบสู้ไม่ถอย ผมจะสู้เพื่อพวกเราทุกคนครับ”
ประวิทย์ยิ้มเต็มหน้า พูนทรัพย์ชื่นอกชื่นใจจนนํ้าตาคลอ นิตยากับภาณีกระโดดกอดกันกลม ส่วนน้องๆคนอื่นๆพากันกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจกันทุกคน ประวิทย์เสนอว่า แบบนี้ต้องเลี้ยงส่งกันหน่อย บอกลูกๆให้ไปเก็บไข่มาต้มพะโล้ ส่วนพูนทรัพย์ก็จะผัดผักและตำนํ้าพริกให้
อาทิจเอาจดหมายคุณย่ามาแนบอก พึมพำอย่างมีความสุข “คุณย่าของอาทิจ...” เขายิ้มอย่างปลื้มปีติ อยากตะโกนบอกคุณย่าตั้งแต่ที่นี่ว่า นี่คือโอกาสและความหวังที่คุณย่าหยิบยื่นให้ตนกับน้องๆทุกคน...
ooooooo
บ่ายของอีกวัน อาทิจก็ออกเดินทางโดยรถสาย “กรุงเทพฯ–เชียงใหม่–ฝาง” แต่พอไปถึงเชียงใหม่ ต้องหารถต่อไปฝาง เขาเดินไปถามเจ้าของรถ แต่ไม่รู้จะบอกปลายทางอย่างไร เลยบอกไปว่าต้องการไปสวนคุณย่า
แล้วเขาก็แปลกใจที่เจ้าของรถจูงมือไปที่รถ บอกว่ารถตนผ่านสวนคุณย่าพอดีเลย เขาถามว่ารู้จักคุณย่าด้วยหรือ สวนคุณย่า...ชื่ออะไร...อาทิจบอกไม่ถูก แต่เจ้าของรถบอกว่าแค่นี้ก็รู้แล้ว บอกว่าสวนคุณย่าทุกคนรู้หมด บอกอาทิจให้ไปรอที่รถ ตนไปหาผู้โดยสารอีกสักสองสามคนแล้วออกได้เลย
อาทิจจะข้ามถนนไปที่รถ พอถึงกลางถนนเขาช็อกยืนขาแข็งเพราะรถกระบะคันหนึ่งเลี้ยวโค้งมาอย่างแรงและพุ่งเข้าหาเขาราวกับพายุ ซํ้าไม่มีทีท่าจะเบรกด้วย
เสียงอึ่งกับพันคนร้องให้เบรก...เบรก แต่ไม่เป็นผลรถหักเล่ียงวืดไปอีกทาง กระนั้นก็ยังเฉี่ยวจนอาทิจล้มลง
พอรถจอด ดรุณีก็เปิดประตูรถลงมา ตามด้วยน้าแก้วที่รีบไปดูอาทิจที่ค่อยๆลุกขึ้น ถามว่าเป็นอย่างไรบ้างจะไปโรงพยาบาลไหม ดรุณีเดินเข้ามาช้าๆด้วยสีหน้าที่สำนึกผิด เธอยืนดูอาทิจที่พยายามลุกขึ้นอยู่ข้างหลังเขา พอเขาลุกขึ้นมาได้ก็เสียหลักโงนเงนล้มไปข้างหลัง
เจ้ากรรม! เขาล้มทับดรุณีเข้าเต็มๆ จมูกโด่งๆไปชนเอาแก้มเรื่อแดงๆของเธอเข้าอย่างจัง ทั้งคู่จ้องหน้ากันวินาทีเดียวต่างก็ตาเบิกโพลงเมื่อจำกันได้ ดรุณีผละออกจากอาทิจ น้าแก้วบอกให้ขอโทษเขาเสีย ดรุณีเปิดฉากด่าเปิง...
“เรื่องอะไรหนูจะขอโทษ นายนี่ซุ่มซ่ามมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนข้ามถนนนี่ก็คงไม่ดูตาม้าตาเรือเหมือนเคย แล้วไอ้เรื่องชอบลวนลามลามกนี่ก็เหมือนกัน โดนรถชนขนาดนี้ยังจะมีหน้ามาแต๊ะอั๋งผู้หญิงอีก”
อาทิจโต้ว่าเธอนั่นแหละไม่ดูตาม้าตาเรือ ถ้าตนไม่กระโดดหลบมีหวังโดนชนเต็มๆ อึ่งกับพันเห็นด้วย อาทิจใส่ต่ออีกว่า ตนจะรู้ได้ยังไงว่าเธออยู่ข้างหลัง ถ้าคิดจะลวนลาม ตนล้มทับซึ่งหน้าเลยไม่ดีกว่าหรือ อึ่งกับพัน พูดพร้อมกันว่า “มีเหตุผล” อาทิจลุยต่ออีกว่าขับรถชนตนแทนที่จะขอโทษ กลับมาโยนความผิดให้ตนอีก ทำอย่างนี้ถูกหรือ คราวนี้ทั้งน้าแก้ว อึ่ง และพัน พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “นั่นสิ คุณณี...”
พอดีเจ้าของรถคนนั้นพาผู้โดยสารมาคนหนึ่งเห็นดรุณีกับน้าแก้วก็ร้องทักอย่างคุ้นเคยมาก แล้วหันบอกอาทิจว่า
“แหมโชคดีจังน้อง คุณณีเอารถที่สวนคุณย่ามาพอดี เดี๋ยวน้องอาศัยไปกับคุณณีก็แล้วกันนะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ” แล้วหันบอกดรุณี “ฝากน้องเขาไปด้วยนะครับคุณณี เขาจะเข้าไปที่สวนคุณย่าน่ะครับ” เขาบอกอาทิจว่าคนที่สวนคุณย่าใจดีทุกคนแหละ เขายกมือไหว้น้าแก้วกับดรุณี แล้วพาผู้โดยสารที่เพิ่งไปสอยมาได้ไปที่รถ
อาทิจมองหน้าดรุณีที่ยังทะเลาะกันไม่เสร็จ แต่กลายเป็นเขาต้องอาศัยรถไปด้วย เธอตวัดหางตาแล้วเชิดใส่อย่างไม่แยแส
ooooooo
ธรณีนี่นี้ใครครอง ตอนที่ 2
ดรุณีขยับรถเข้าที่จอด ปลดกุญแจรถ คว้ากระเป๋าสะพายและรายการของที่จะซื้อ ปิดประตูรถแล้วหันถามอาทิจที่เดินรวมกลุ่มมากับน้าแก้ว อึ่ง กับพัน ว่าจะไปหาใครที่สวนคุณย่า
“หาคุณย่า” ชายหนุ่มตอบกวน ถูกถามกวนยิ่งกว่าว่ามีธุระอะไร “ธุระส่วนตัว”
ทำท่ากร่างแต่ข่มอาทิจไม่ลง ดรุณีเลยหันไปลงกับอึ่ง พัน และน้าแก้ว ถามเสียงเข้มว่าจะมายืนอยู่ทำไม ให้เอารถเข็นลงมา แล้วถามหารายการของที่จะซื้อกับน้าแก้วว่าเอาไว้ที่ไหน น้าแก้วบอกว่าก็อยู่ในมือคุณณีนั่นแหละ ทำเอาดรุณีหน้าแตกแต่ทำไก๋กลบเกลื่อนไล่ทุกคนให้รีบไปซื้อของตามรายการเร็วๆ เดี๋ยวตลาดจะวายเสียก่อน
“ผมรอที่นี่นะ” อาทิจเอ่ยขึ้นเมื่อรู้ตัวว่าเป็นส่วนเกินของเธอ “คุณไม่ขอโทษผมก็ไม่เป็นไร แค่ไถ่โทษด้วยการให้ผมอาศัยรถไปด้วยก็พอแล้ว”
ดรุณีพูดอย่างไม่แยแสว่าจะรอที่ไหนก็เรื่องของนาย พูดแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์บอกให้ไปรอฝั่งโน้นดีกว่า แดดไม่ร้อน น้าแก้วมีแก่ใจบอกว่าเดี๋ยวซื้อของเสร็จแล้วจะไปตาม ดรุณีเร่งทุกคนไปกันได้แล้ว อึ่งกับพันจึงหิ้วตะกร้า เข็นรถตามไป
อาทิจเห็นดรุณีทำกุญแจรถตก เขาหยิบขึ้นมาจะเรียกดรุณี แต่พอเงยหน้าขึ้นทุกคนก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว เขาจึงเดินไปฝั่งตรงข้าม เข้าไปในร้านอาหาร เจ้าของร้านมาแจ้งรายการอาหารยาวเหยียด เสร็จแล้วถามว่าจะรับอะไรดีครับ
“น้ำแข็งเปล่าแก้วนึงครับพี่ พอดีคุณแม่ผมทำกับข้าวมาให้แล้ว” เจ้าของร้านทำหน้าเซ็ง อาทิจไม่ได้สังเกต เขาจัดแจงเอาห่อใบตองออกมาสองห่อ ห่อหนึ่งเป็นข้าวเหนียวนึ่งอีกห่อเป็นเนื้อย่างแดดเดียว
ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันยังอยู่ฝั่งตรงข้าม ดรุณีชะเง้อมองอาทิจแล้วสั่งทุกคนแยกย้ายไปซื้อของ น้าแก้วบอกว่าดีไปเร็วกลับเร็ว คุณคนนั้นจะได้ไม่ต้องรอนาน
“เร็วแต่ไม่ต้องรอค่ะ หนูไม่ได้รับปากเขานี่คะว่าจะให้เขาไปด้วย” พูดพลางเขม้นมองไปที่อาทิจ “เล่นสั่งข้าวมากินซะขนาดนั้นคงอีกนานกว่าจะกินเสร็จ ถ้าเรากลับแล้วมาไม่ทัน มันก็ไม่ใช่ความผิดของเรา จริงไหมคะ แล้วเจอกันที่รถเลยนะคะน้าแก้ว” พูดแล้วเดินไปเลย น้าแก้วมองตามหลังส่ายหน้าอย่างรู้ทัน แล้วเดินไปอีกทาง
อาทิจไม่ทันกินข้าว ก็มีหญิงจรจัดคนหนึ่งอุ้มลูกเข้ามาขอข้าวเจ้าของร้านกิน ถูกเจ้าของร้านไล่บอกว่าติดหนี้ข้าวเป็นร้อยแล้วยังมีหน้ามาขออีก อาทิจเห็นดังนั้นจึงเรียกหญิงจรจัดมากินกับตน เจ้าของร้านไม่ยอมให้นั่งเพราะไม่ได้ซื้ออะไรที่ร้าน อาทิจเลยให้สั่งน้ำแข็งเปล่าแก้วหนึ่ง แล้วเลื่อนข้าวกับเนื้อย่างแดดเดียวของตนให้หญิงคนนั้นกับลูกกิน
สองแม่ลูกกินอย่างหิวโหย อาทิจมองอย่างเวทนาจนตัวเองลืมความหิวไปเลย
ooooooo
ดรุณีกับน้าแก้ว อึ่ง และพันซื้อของเสร็จกลับมาแล้ว เธอเร่งทุกคนให้ไปกันได้เลย น้าแก้วท้วงติงว่ามันจะดีหรือ เดี๋ยวใครๆจะนินทาเอาได้ว่าคนที่สวนคุณย่าไม่มีน้ำใจ อึ่งกับพันเห็นด้วย ดรุณีโต้ว่าน้ำใจมีไว้ตอบแทนคนที่มีน้ำใจให้เราเท่านั้น
อาทิจได้ยินพอดีถามว่า แล้วการเก็บกุญแจรถที่คนทำตกไว้แล้วไม่ขโมยรถ แต่นำกุญแจมาคืนเจ้าของ อย่างนี้เรียกว่ามีน้ำใจไหม ดรุณีฉุกคิดได้ตบกระเป๋าหากุญแจรถจึงรู้ว่าหายไป
อาทิจยื่นกุญแจรถไปตรงหน้า เธอกระชากไป อาทิจถามว่า ในเมื่อตนมีน้ำใจเธอก็คงไม่กลืนน้ำลายตัวเอง จริงไหม พูดแล้วกระโดดขึ้นท้ายรถกระบะเลย ดรุณีสะบัดไปที่นั่งคนขับกระชากรถออกไป จนคนที่นั่งอยู่กระบะเทหัวทิ่มไปข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลังหัวทิ่มหัวตำ ไปตามกัน
ระหว่างทางกลับไปสวนส้ม อาทิจมองสองข้างทางอย่างศึกษาหาข้อมูล ส่วนอึ่งกับพันนั่งมองอาทิจนึกในใจว่าหมอนี่เป็นใครนะ ทำไมหล่อลากดินขนาดนี้ อาทิจหันมาเจอสายตาของทั้งสองก็ฉีกยิ้มให้แล้วมองไปทางอื่นอย่างไม่สนใจ
ส่วนที่หน้ารถ หลังจากน้าแก้วรู้ว่าอาทิจคือชายหนุ่มคนที่มากอดไหล่ดรุณีที่พิพิธภัณฑ์โรงงานหลวงเมื่อ
วันก่อน ก็หัวเราะชอบใจว่านี่ต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ ถึงได้เจอกันแล้วเจอกันอีก สงสัยว่าหนุ่มนี่คงจะไปสมัครงานกับคุณย่า เหลียวมองข้างหลังแล้วพูดขำๆ ว่าพวกสาวๆที่ไร่คงไม่เป็นอันทำงานกันแน่ ขนาดอึ่งกับพันยังมองกันไม่วางตาเลย
“เดี๋ยวเถอะ...จะทำให้หายหล่อทั้งคนจ้องทั้งคนถูกจ้องเลย” ดรุณีพูดอย่างมันเขี้ยวแล้วกระชากรถวืดดดดเดียว คนข้างหลังก็ถูกเหวี่ยงไปกองกันข้างหน้าแล้วกระดอนมาข้างหลัง ร้องกันลั่นไปหมด
ดรุณียังตั้งหน้าตั้งตาแกล้งคนข้างหลังทั้งที่ตัวเองเพิ่งขับรถเป็นแท้ๆ จนเกือบประสานงากับรถที่สวนมา ดีที่หักหลบได้หวุดหวิด คราวนี้อาทิจทนไม่ได้แล้ว เขาลงไปนั่งเบียดดรุณีออกไป ขอเป็นคนขับรถเอง ดรุณียังทำอวดดีไม่ยอมให้ขับ
“ขับรถประสาอะไร จะพาทุกคนไปตายกันหมดแล้วรู้ตัวรึเปล่า” อาทิจเสียงดัง ดรุณีถามว่าแล้วเกี่ยวอะไรกับเขา “เกี่ยวสิ ในเมื่อผมนั่งรถมากับคุณ”
ดรุณีบอกว่าไม่พอใจก็โบกรถคันอื่นไปเอง อาทิจไม่ยอมเพราะตนต้องไปพบคุณย่าวันนี้ให้ได้ และต้องไปรถคันนี้ด้วยแล้วนั่งเบียด ดรุณีตวาดว่าเขาไม่มีสิทธิ์มาขับรถคุณย่า อาทิจถามว่าทำไมจะไม่มีสิทธิ์ในเมื่อตนก็เป็นหลานคุณย่าเหมือนกัน และก็ขับรถเป็นกว่าเธอหลายเท่า
ทุกคนเลยพากันอึ้งเมื่อรู้ว่าอาทิจเป็นหลานคุณย่า เขาจึงเปิดเผยตัวเองว่าชื่ออาทิจเท่านั้นเอง ดรุณีถึงกับตะลึงว่าที่แท้ก็นายคนนี้นี่เอง!
ooooooo
อาทิจขับรถมาจนถึงสวนส้ม น้าแก้วบอกดรุณีว่าตนจะจัดการกับของที่ซื้อมาเอง ให้เธอพาอาทิจไปพบคุณย่าก็แล้วกัน ดรุณีเดินอ้าวไปเลย จนน้าแก้วต้องพูดออกตัวกับอาทิจว่า เธอคงไม่คิดว่าเขาจะเป็นหลานคุณย่าเลยตั้งตัวไม่ทัน และคงรู้สึกผิดเรื่องขับรถด้วย แก้ต่างให้ว่า เธอเพิ่งขับรถเป็น ไม่ได้ตั้งใจจะแกล้งเขาหรอก
“ผมไม่ติดใจอะไรหรอกครับ เพียงแต่คิดว่าจะทำยังไงถึงจะเอาชีวิตรอดมากราบคุณย่าได้เท่านั้น”
ดรุณีตะบึงตะบอนพาอาทิจไปหาคุณย่า พูดเหน็บว่าพอได้รับจดหมายก็รีบแจ้นมาเลย คุณย่ามองอาทิจที่เข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัว สัญชาตญาณความเป็นย่าหลานทำให้มองกันด้วยสายตาอบอุ่น ชิดเชื้อ
อาทิจเข้าไปก้มกราบแทบเท้าคุณย่า ดรุณีทำแสบแกล้งยื่นเท้าไปใกล้คุณย่าเลยเหมือนอาทิจกราบตนไปด้วย แต่อาทิจก็ไม่สนใจเมื่อคุณย่าถามว่ามาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ มาอย่างไร
อาทิจกับน้าแก้วช่วยกันเล่า คุณย่าเห็นรอยฟกช้ำที่แขนกับศอกของอาทิจถามว่าไปโดนอะไรมา อาทิจไม่อยากมีเรื่องตอบเลี่ยงไปแบบไม่โกหกแต่ก็พูดไม่หมดว่า ตนข้ามถนนแล้วไม่ทันเห็นรถที่แล่นมา กระโดดหลบเลยล้มกระแทกพื้นเอง
คุณย่าบ่นพวกวัยรุ่นที่เพิ่งหัดขับรถแล้วออกมากวนเมือง เตือนเขาต้องระวังตัวให้มาก อาทิจสะใจมากบอกคุณย่าว่า
“ครับ ผมจะระวังพวกวัยรุ่นกวนเมืองพวกนี้ให้มากครับ” พลางปรายตาไปทางดรุณี เธอตีหน้ายักษ์ใส่ ส่วนน้าแก้วรู้แกวแอบขำเบาๆ จากนั้นคุณย่าลำดับญาติให้ฟังว่า
“มาด้วยกันอย่างนี้พ่ออาทิจคงรู้จักกับแม่ณีแล้วสินะ แม่ณีเป็นน้องคนหนึ่งของย่า ก็ต้องมีศักดิ์เป็นย่าของพ่ออาทิจด้วย”
“นายอาทิจต้องเรียกหนูว่า คุณย่า ถูกไหมคะ” ดรุณีดี๊ด๊า พอคุณย่ารับว่าใช่ เธอก็หันไปยืดกับเขาทันที ทำเอาอาทิจกระอักกระอ่วนใจ คุณย่าตัดบทว่าคนไทยเรานิยมนับญาติกันตามอายุ ถามอาทิจว่าอายุเท่าไร พอรู้ว่า 20 เศษ คุณย่าบอกว่าแก่กว่าดรุณี 3 ปีเอง บอกดรุณีว่า ให้เธอเรียกอาทิจว่า “พี่” ก็แล้วกัน ทำเอาดรุณีปรับอารมณ์ไม่ทันหน้างํ้าไปเลย
อ่านละครย่อเรื่อง ธรณีนี่นี้ใครครอง วันที่ 23 มิ.ย. 2555
โดย บทประพันธ์ กาญจนา นาคนันทน์ จากบทละครโทรทัศน์ทางช่อง 3 โดย ปารดา กันตพัฒนกุล
ที่มา ไทยรัฐ